หลังจากที่มีเซ็กซ์แบบวันไนต์สแตนด์กับพระราม สิ่งที่สีดารู้สึกคือความเขินอายที่กระทำอะไรต่างๆ ลงไปโดยตอบสนองความต้องการทางเพศของตัวเองเป็นหลัก แต่เมื่อได้มาเจอกับพระรามอีกครั้ง สิ่งที่เธอรู้สึกนั้นคือความละอายใจ เพราะเธอรู้อยู่เต็มอกว่าการมาเจอเขาในวันนี้นั้นเป็นไปเพราะเรื่องอะไร
เธอกำลังจะเซ็นสัญญาเป็นเซ็กซ์พาร์ตเนอร์กับเขา
เรื่องนี้สีดารู้สึกเสียศักดิ์ศรีอยู่มากทีเดียว แต่เมื่อเจอเจ้าของใบหน้าคร้ามครันที่เข้ามายังห้องทำงานส่วนตัวของเขาในบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งใหญ่หลังจากที่เลขาฯ นำเธอมาที่นี่ สีดาก็รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างน่าประหลาด เธอยืนขึ้นตามมารยาท ขณะที่เขาผายมือออกมาข้างหน้า
“เชิญนั่ง ไม่ต้องพิธีรีตอง”
เพราะอีกหน่อยก็จะต้องเปิดเผยกันแบบตัวต่อตัว เสื้อผ้าไม่เกี่ยว ไม่ต้องมากพิธีให้น่ารำคาญก็ได้
นั่นคือสิ่งที่พระรามคิด
หญิงสาวไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้ เธอทิ้งตัวลงนั่งตามคำเชิญ ส่วนพระรามก็เดินมาที่เก้าอี้นวมประจำตำแหน่ง ทิ้งตัวลงนั่งแล้วดึงมือมาประสานกันบนโต๊ะ
“ดีใจที่วันนี้ได้เจอคุณ”
ไม่ใช่ดีใจธรรมดา ลิงโลดมากเลยทีเดียวล่ะ เพราะในตอนแรก เขาคิดไปแล้วว่าสีดาคงจะไม่ตกปากรับคำเซ็นสัญญานี้ พอเลขาฯ ของเขาโทรมาบอกในตอนเช้า เขาก็แทบจะบึ่งมาบริษัทเพื่อรอการมาถึงของสีดาเลยทีเดียว แต่จะมารอก็เสียหน้าอยู่ไม่น้อย แสร้งทำเป็นว่าเข้าบริษัทช้า ให้หญิงสาวมารอดีกว่า อย่างน้อยๆ เขาก็รู้สึกว่าตนยังอยู่เหนือใครคนอื่น โดยเฉพาะกับผู้หญิงตรงหน้านี้
“ฉันก็ยินดีที่ได้เจอคุณอีกครั้งเช่นกันค่ะ คุณราม”
สีดารับคำ ทว่าหลีกเลี่ยงที่จะพูดว่า ‘ดีใจ’ ที่ได้เจอเขา เพราะเธอไม่ได้ดีใจ มีแต่ความว้าวุ่นใจและไม่สบายใจมากกว่าที่ต้องทำแบบนี้ และก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะไม่ถามว่าทำไมเธอถึงตอบตกลงที่จะเซ็นสัญญานั้น
หากทว่าคนอย่างพระราม ก่อนที่จะเซ็นสัญญาอะไรที่เป็นเรื่องของธุรกิจ เขาต้องการที่จะรู้จุดประสงค์ของคู่ค้าก่อน เพื่อที่เวลามีเรื่องผลประโยชน์ที่แบ่งไม่ลงตัว เขาจะได้มีเหตุมีผลในการอธิบายว่าเพราะอะไรผลประโยชน์มันถึงเป็นไปในทางนั้น ไม่เว้นแม้แต่กับสีดาเช่นกัน
“ทำไมคุณถึงคิดที่จะเซ็นสัญญาเป็นพาร์ตเนอร์กับผม”
เขาไม่พูดคำว่า ‘เซ็กซ์พาร์ตเนอร์’ เพื่อให้หญิงสาวไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป ท่าทางของเธอในตอนนี้ดูอึดอัดเป็นอย่างมากจนเขารู้สึกได้ ทำเอาเขาอดคิดไม่ได้เลยว่ามีอะไรบางอย่างที่บีบคั้นให้เธอต้องมาเซ็นสัญญานี้
ซึ่งก็จริงอย่างที่ว่า สีดาไม่กล้าตอบ เธอได้แต่เบี่ยงคำตอบไปทางอื่น
“จำเป็นต้องบอกด้วยเหรอคะ”
“คุณไม่อยากพูดเหรอ”
“ฉันคิดว่าแค่เซ็นสัญญาก็น่าจะจบแล้ว”
เธอแสดงอาการชัดเจนว่าไม่อยากพูดถึง แต่ถ้าพระรามอยากรู้แล้ว เขาจะต้องรู้ให้ได้ อย่างไรเสีย เขาก็เป็น ‘ผู้ว่าจ้าง’ ของเธอ เขาสมควรที่จะได้รู้
“ถ้าคุณไม่บอก เห็นทีว่าผมคงจะต้องพักสัญญานี้ไว้ก่อน”
สีดาขมวดคิ้วมุ่น
อะไรกัน ตอนอยากให้เธอเซ็นสัญญาก็คะยั้นคะยอ พอถึงตอนนี้กลับมาทำเป็นเหมือนไม่อยากเสียอย่างนั้น เธอก็อยากจะทำเป็นว่า ‘เออ พักก็พัก ไม่ต้องเซ็นมันแล้ว!’ เหมือนกัน แต่คำว่า ‘เงิน’ มันค้ำคอ ทำให้เธอต้องสูดหายใจเข้าปอดลึก
“แล้วทำไมคุณถึงอยากรู้ล่ะคะ”
“เพราะเราสองคนต้องมีผลประโยชน์ร่วมกัน ผมต้องการรู้เจตจำนงของคุณก่อนเซ็นสัญญา จะได้ไม่ต้องมาผิดใจกันทีหลัง”
วิถีของนักธุรกิจ สีดาไม่เข้าใจหรอก ไม่อยากจะเข้าใจด้วย แต่ก็ช่างมันเถอะ เขาอยากรู้ก็จะบอกแล้วกัน
“ฉันทำเพราะต้องการเงินค่ะ”
เธอว่าไปตามตรงแล้ว เรื่องนี้พระรามก็พอจะเดาได้ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ตกปากรับคำโดยง่าย
“แล้วคุณอยากจะได้เงินไปทำอะไร”
เขาถามเจาะจงลงไปอีก เชื่อว่าคนอย่างสีดาคงจะไม่เล่นตัวให้เสียเวลาหรอกถ้าเธอต้องการเพียงแค่เงินจริงๆ
สีดาเม้มริมฝีปาก ไม่อยากบอกเรื่องส่วนตัวเลย แต่ก็จนมุมเมื่อพระรามถามมาอีก
“ตกลงจะบอกหรือไม่บอก”
“ฉันต้องการเงินไปใช้หนี้นอกระบบให้แม่ค่ะ”
สุดท้ายก็พูดไปจนได้ เธอหวังว่าจะให้มันจบๆ ไป เขาจะได้เข้าใจว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ตรงนี้ ขณะที่พระรามเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ
“ใช้หนี้นอกระบบให้แม่อย่างนั้นเหรอ” เขาคราง จากนั้นก็ออกปากถาม “เป็นหนี้อยู่เท่าไรล่ะ”
สีดาไม่แน่ใจนัก เธอไม่ได้ถามมารดามาก่อน แต่ก็คำนวณอยู่ในใจ “ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แม่บอกว่าต้องจ่ายวันละห้าพัน เดี๋ยวฉันต้องไปถามแม่อีกทีค่ะ”
เรื่องนั้นพระรามไม่ใส่ใจหรอก เขาแค่พยักหน้าอือออเท่านั้น ก่อนจะพูดในเรื่องของตน
“ก่อนที่จะเซ็นสัญญา ผมอยากให้คุณมั่นใจอะไรสักหน่อย”
“เรื่องอะไรเหรอคะ” จู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง ทำให้สีดาเลิกคิ้วสูง
“ผมจะให้คุณไปที่คอนโดฯ ของผม...ตอนนี้เลย”
และสร้างความแปลกใจให้กับเจ้าหล่อนเป็นอย่างมากด้วยคำพูดประโยคนี้ สีดาไม่มั่นใจว่าควรไปหรือไม่ และพระรามก็เหมือนจะอ่านใจของเธอออก
“ผมรับปากว่าจะไม่ทำอะไรคุณจนกว่าคุณจะเซ็นสัญญาฉบับนี้ ไม่ต้องกังวล โอเคไหม ผมมีศักดิ์ศรีมากพอที่จะไม่ขืนใจใครที่ไม่ยินยอม”
ว่ามาอย่างนี้ สีดาจะพูดอะไรต่อได้ล่ะ ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักเท่านั้น พลันพระรามก็กดปุ่มอินเตอร์คอมเพื่อเรียกให้เลขาฯ ให้จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
“เตรียมรถให้ผมที ผมจะพาคุณสีดาไปที่คอนโดฯ”
“เอ่อ...ดาค่ะ”
พระรามชะงัก เหลือบมองหน้าหญิงสาวที่ขัดขึ้นมา
“เรียกว่าดาเฉยๆ เถอะค่ะ”
ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจ นอกจากปล่อยมือออกจากปุ่มอินเตอร์คอมแล้วบอกกับเธอเท่านั้น
“เดี๋ยวเราไปรอข้างล่าง เลขาฯ ของผมคงจะมาอีกไม่ช้า”
พูดจบก็คว้าเสื้อสูทมาพาดบ่าแล้วตรงไปเปิดประตู พยักพเยิดเป็นเชิงเชื้อเชิญให้สีดาออกจากห้อง ส่วนเธอก็ได้แต่ผงกศีรษะขอบคุณเขา ก่อนที่ทั้งคู่จะมายังชั้นล่างของบริษัท