“กะ กูกำลังไปสำนักหมออาคม ฝากมึงเคลียร์เรื่องที่โรงพักด้วย ส่วนหลักฐานเป็นไปตามในคลิปเลย ไอ้ดนัยมันเกิดอาการคลุ้มคลั่งเหมือนผีเข้า ไม่รู้ว่าไปเอามีดสปาต้ามาจากไหน จู่ๆ ก็วิ่งลงมาหาพวกกูแล้วไล่ฟันน้องทุกคนในกลุ่ม”
เสียงสั่นจากอาการหวาดผวา สนทนากับปลายสาย พร้อมกับเหยียบคันเร่ง จนมิดเข็มไมล์ เพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง ขณะที่หนึ่งในผู้รอดชีวิต นั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ คนขับ
เหตุฆาตกรรมเมื่อคืนนี้ เกิดช่วงเวลาตีสามเป็นต้นไป
หลังจากได้ยินเสียงประตูกระแทกดัง ‘ปัง!’ ก็มีเสียงอื่นๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นเสียงคมมีด หรือเสียงโครมครามเหมือนคนวิ่งรอบบ้าน แต่ผ่านไปได้ไม่นาน ทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบสงัด ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดเข้ามาในห้องนอนจนถึงฟ้าส่าง หากคนนำกลุ่มไม่ขึ้นมาตาม เธอคงไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“ชะ ชื่อขวัญใช่ไหม?”
ชายข้างกายเอ่ยถามเสียงสั่น
“ใช่ค่ะ”
ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เมื่อคืน น้องไม่เห็นอะไรเลยเหรอ?”
“ไม่ค่ะ”
“ทะ ทั้งที่อยู่ในห้องนั้นทั้งคืนเนี่ยนะ?”
“ค่ะ”
เมื่อได้รับคำตอบที่ชัดเจน เบ้าตาลึกโปนก็ขยายกว้างอย่างไม่เชื่อหู ก่อนจะหันกลับไปโฟกัสบนท้องถนน พลางใช้เวลานี้ในการรวบรวมสติ ที่แตกกระเจิงไปแล้ว นับครั้งไม่ถ้วน
“พี่คะ เรื่องเงินรางวัล ขวัญยังจะได้รับอยู่ไหมคะ?”
“ฮะ?”
อีกฝ่ายหน้าเหวอ เพราะไม่คิดว่าจะถูกถามถึงเรื่องนี้
“ถึงจะทำภารกิจไม่ครบ แต่ขวัญก็อยู่จนถึงเช้านะคะ”
“ระ รู้ แต่เรื่องเงินรางวัลขอเวลาหน่อย ไม่เกินเดือนนี้”
“ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะขวัญมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงิน”
“น้อง เรื่องนี้มีคนตายหลายคนนะ พี่ต้องรับผิดชอบ”
“แล้วการที่ขวัญต้องอยู่ในห้องนั้นจนถึงเช้า พี่จะไม่ให้อะไรตอบแทนหน่อยเหรอคะ?” หญิงสาวถามกลับด้วยความคับข้องใจ เพราะมีเป้าหมายในการเข้าร่วมชัดเจน หากไม่ต้องการเงินรางวัล เธอคงไม่ยอมสมัครไปทำเรื่องพวกนี้หรอก
“โอเค พี่เข้าใจในสิ่งที่น้องกำลังจะสื่อแล้ว งั้นหลังจากไปหาหมออาคมเสร็จ พี่จะเร่งจัดการเรื่องเงินให้ ตกลงไหม?”
“ตกลงค่ะ”
สาวผมหยักศกสีน้ำตาลเข้ม ตอบรับหนุ่มหน้าตาคม ก่อนจะเบือนหน้าหวาน มองออกไปนอกหน้าต่างของรถคันนี้
‘ขวัญ’ หรือ ‘เพลงขวัญ’ หญิงสาววัยยี่สิบปีบริบูรณ์
ส่วนสูงร้อยหกสิบเอ็ด น้ำหนักสี่สิบห้า เป็นผู้หญิงตัวเล็กบอบบาง ผิวพรรณไปในทางขาวอมเหลือง ดวงหน้ารูปไข่ รับกับทรงผมหยักศก มีหน้าม้าเป็นลอน แต่ดูไม่ค่อยเป็นทรงเท่าไหร่นัก พอมองรวมๆ แล้ว เป็นผู้หญิงธรรมดา ที่มีใบหน้าหวาน ถึงจะดูไม่มีเสน่ห์ เพราะไม่ค่อยชอบยิ้ม แต่ก็ถือว่าสวย
ขวัญเป็นลูกคนโต และมีน้องชายกับน้องสาว ซึ่งทั้งคู่แยกย้ายกันไปอยู่กับพ่อ และแม่ หลังจากทั้งสองหย่ากันแล้ว
ส่วนเธอถูกยกให้อาเลี้ยง (น้องสาวของพ่อ) ตั้งแต่เกิด พอโตขึ้นก็ต้องทำงานอยู่ในร้านอาหารตามสั่ง เพื่อช่วยหาเงินมาจุนเจือคนครอบครัว ขณะที่ตัวเอง ไม่ได้เรียนต่อตั้งแต่จบมอปลาย เพราะต้องใช้เงินส่งเสียให้น้องๆ อีกสองคนเรียน
นอกจากไม่ได้รับการดูแลจากบุพการีแล้ว ยังมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบตั้งแต่เด็กยันโต พ่วงด้วยหนี้พนันบอล ที่ต้องแบกรับภาระ อยู่เพียงลำพัง โดยที่ผู้เป็นแม่ เพิกเฉยต่อเรื่องนี้
พอนึกถึงอายิ่งไม่ต้องพูดถึง ขนาดน้องสาวแท้ๆ ยังรู้สึกเอือมระอาในตัวพี่ชาย เพราะนอกจากจะรับผิดชอบชีวิตลูกๆ ที่เกิดมาไม่ได้แล้ว ยังรับผิดชอบชีวิตของตนเองไม่ได้อีก
ครั้นจะปล่อยผ่านเรื่องนี้เหมือนทุกคน ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะผู้เป็นพ่อเอาชีวิตมาเป็นข้ออ้าง หากไม่ยอมหาเงินมาให้ จะกลายเป็นตราบาปของลูกสาวคนนี้ไปตลอดชีวิต
“ถึงแล้ว”
ระหว่างที่กำลังคิด ถึงเหตุจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน เสียงคนข้างกายก็พูดขึ้น พร้อมกับจอดรถบริเวณหน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านไม้ทรงไทยสองชั้น ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร แม้นภายนอกจะดูโบราณ แต่ยังคงความงามของบ้านสไตล์นี้
“สวัสดีครับ~”
ทันทีที่ก้าวขาลงจากรถ ก็มีเด็กหนุ่มวิ่งออกมาต้อนรับ ซึ่งการแต่งกายคลายกับคนรักษาศีล แต่สีหน้าดูขี้เล่นตามวัย
“พี่เป็นคนที่โทรมาตอนเช้าใช่ไหมครับ?”
“ชะ ใช่”
ชายข้างกายตอบคำถามด้วยท่าทีร้อนรน ขณะที่เด็กหนุ่มลอบสายตากลับมามองหญิงสาว แล้วมองไปที่ด้านหลัง
“ก่อนจะเข้ามาข้างใน พ่อหมอกำชับให้พี่สาวท่องบทสวดในกระดาษใบนี้สามจบ” พูดพร้อมกับส่งกระดาษสีชาให้
“ต้องท่องทั้งคู่ไหม?” คนข้างๆ ถาม
“ไม่ต้องครับ แค่พี่สาวคนเดียวก็พอ”
อีกฝ่ายเจาะจงมาที่เธอ ถึงจะยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แต่ก็ยอมทำตาม พลางไล่สายตาอ่านบทสวดในกระดาษใบเก่า โดยที่ไม่ลืมพนมมือไหว้ตามหลักศาสนาพุทธ
“อืม”
เมื่อท่องบทสวดเสร็จสรรพ จึงคืนกระดาษให้เด็กหนุ่ม
“เก็บเอาไว้บูชาได้เลยครับ”
คิ้วเรียงสวยขมวดติดกันเล็กน้อย พลางกดสายตามองกระดาษในมือที่ไม่ถูกรับคืน เพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามียันต์อยู่ด้านหลังบทสวน แต่ไม่ได้ใส่ใจ จึงจับยัดใส่กระเป๋าเสื้อฮู้ด
“ล้างมือล้างเท้าก่อนเข้าไปข้างในนะครับ”
เราสองคนหยุดยืนอยู่ที่หน้าอ่างปูนสีเหลี่ยม ซึ่งตั้งอยู่ข้างประตูบ้าน มีก็อกน้ำให้เปิดทำความสะอาดตามที่แนะนำ
“จำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยเหรอคะ?”
ขณะที่รอต่อจากอีกฝ่าย ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“จำเป็นสิ ถ้าไม่ให้พ่อหมอช่วย พวกเราคงไม่รอดแน่”
คำตอบที่ได้รับ ดูจริงจัง แล้วหวาดกลัวเกี่ยวกับเรื่องนี้
แอ๊ดดด…
เสียงเปิดประตูไม้สัก ดึงความสนใจไปจากคนทั้งสอง ก่อนที่ชายผมหงอกจะปรากฏตัว แต่ใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นใหญ่ เหมือนถูกของมีคมปาดข้างจนปากแหว่ง ทำให้ชายหนุ่มที่มาด้วยกัน สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ก่อนจะเสียหลักลงไปนั่งอยู่ที่พื้น ขณะที่คนตัวเล็กยังคงยืนนิ่งไม่ได้ตกใจ
“ขอโทษแทนพ่อผมด้วยนะครับ แกขี้แกล้ง~”
เด็กหนุ่มแอบกลั้นขำ ขณะที่กล่าวคำขอโทษ
“มะ ไม่เป็นไร”
อีกฝ่ายบอกปัดด้วยสีหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด พลางชันตัวลุกขึ้นยืน ระหว่างนั้น นัยน์ตาสีน้ำตาลสวยก็เหลือบมองเข้าไปข้างในห้อง แล้วพบว่ามีสายตาคมกริบจ้องมองกลับมา
วินาทีแรก สายตาคู่นั้นทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่างภายในจิตใจ ราวกับว่าเคยรู้จักผู้ชายคนนี้อย่างสนิทสนม แต่พอนึกขึ้นได้ ว่าไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม จนถึงขั้นเกิดความรู้สึกในเชิงชู้สาว จึงละสายตา แล้วรีบดึงสติกลับมา
“นั่งลง แล้วค่อยๆ คลานเข่าเข้าไปหาพ่อหมออย่างสุภาพ” ชายผมหงอกบอกวิธีการเข้าหา ซึ่งคนที่พามาก็ยินดีที่จะทำตาม ขณะที่หญิงสาวยังคงยืนอยู่หน้าธรณีประตูอย่างชั่งใจ เพราะรู้สึกอึดอัด ที่จะต้องเข้าไปในห้อง ที่มีแต่ของไหว้บูชาสิ่งที่มองไม่เห็น เรื่องความน่ากลัว ตัดทิ้งไปได้เลย เพราะไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น แค่ไม่ชอบกลิ่นธูปกลิ่นเทียนและกลิ่นสาป
“จะไม่เข้าไปเหรอครับ พี่สาว”
เด็กหนุ่มไว้ผมรองทรงสีดำธรรมชาติเอ่ยถาม แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบ ก็มีมือหนึ่งมาดึงแขนให้เข้าไปข้างในห้องนั้น
ซึ่งเป็นมือของคนที่พามา และมีท่าทีร้อนรนอย่างรุนแรง ทำให้หญิงสาวต้องมานั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าบุคคล ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘พ่อหมอ’ เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว เขาเป็นชายวัยกลางคน ที่ไม่สวมใส่เสื้อผ้าท่อนบน ส่วนท่อนล่างสวมแค่เพียงผ้าขาวม้าสีดำทมิฬ เนื้อตัวเต็มไปด้วยลายสักยันต์ ไม่เว้นแม้กระทั่งปลายนิ้วมือ บริเวณลำคอสวมสร้อยตะกรุด แล้วนั่งชันเข่าข้างเดียวอย่างทรงอำนาจ อยู่บนเก้าอี้ไม้สักลายโบราณ ที่มีความต่างระดับชั้นกันอย่างชัดเจน
และนอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้ คือเขาเป็นผู้ชายผิวแทน ที่ตัวใหญ่ ไหล่กว้าง มีรอยแผลเป็นบริเวณใต้ดวงตาข้างขวา ส่วนเรื่องหน้าตา ค่อนข้างคล้ายคลึงสุนัขจิ้งจอก แต่มีความดุร้ายผ่านแววตา สามารถทำให้คนเกรงกลัวได้ แต่ไม่ใช่กับเธอ
“สะ สวัสดีครับพ่อหมออาคม ที่พวกเรามาในวันนี้ เพราะอยากให้พ่อหมอช่วยปัดเป่าสิ่งไม่ดี ทะ ที่ตามพวกเรากลับมา” ชายข้างกายพูดเสียงสั่น พร้อมกับยกมือไหว้อีกฝ่าย
“เอ็งไม่ต้องบอก ข้าก็รู้ว่าเอ็งมาที่นี่เพื่ออะไร”
โทนเสียงทุ้มต่ำ เหมือนเสียงคำรามตอบกลับ
“งะ งั้นก็ดีเลยครับ ถ้าพ่อหมอรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว ช่วยพวกเราสองคนด้วยนะครับ ผมยังไม่อยากถูกผีฆ่าตาย” ชายหนุ่มหน้าคมยกมือไหว้ขอร้อง จนแทบจะเข้าไปกราบเท้า แต่ชายผมหงอกที่นั่งขนานข้าง อยู่ในระดับเดียวกัน รีบเข้ามาห้ามปรามเอาไว้ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายถูกเนื้อต้องตัวผู้ที่อยู่สูงกว่า
“ถ้าจะให้ข้าช่วย พวกเอ็งต้องเข้าร่วมพิธีกรรม”
“ได้ครับ! ผมยินดีเข้าร่วม”
คนข้างกายรีบตอบรับ ก่อนจะมีพานทองมาวางอยู่ตรงหน้า ซึ่งเธอยังไม่เข้าใจ ว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร จนกระทั่งมีเงินสดปึกใหญ่ วางลงบนพานทอง ถึงได้เข้าใจ ว่ามีค่าใช้จ่าย
“ออกคนละแสนนะ”
ประโยคนั้น ทำให้คิ้วเรียงสวยถึงกับเลิกขึ้นในทันที
“รึว่าเอ็งมีปัญหา?”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามหญิงสาว ที่นั่งจ้องหน้าอีกฝ่าย
“มีค่ะ เพราะขวัญจะไม่เอาเงินของขวัญไปทำพิธี”
“เฮ้ย! น้อง… (รีบผ่อนเสียงเพราะเกรงใจพ่อหมอ) สนใจชีวิตตัวเองก่อนไหม ถ้าไม่เข้าร่วมพิธีกรรมตามที่พ่อหมอแนะนำ พวกเราจะไม่รอดเอานะ” ฝ่ายชายเอี้ยวตัวมากระซิบข้างใบหูขาวสะอาด ทว่าคนตัวเล็กกลับส่ายหน้า แล้วเอื้อมมือไปหยิบเงินปึกหนึ่งจากในพานทอง กลับมาถือเอาไว้
“ขวัญต้องเอาเงินไปใช้กับสิ่งที่จำเป็น”
“นี่ก็จำเป็น”
“ไม่ค่ะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับขวัญ”
หญิงสาวปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง สร้างความไม่พอใจแก่ใครบางคน ที่นั่งอยู่เหนือกว่า เขาตบเข่าฉาดด้วยความขึงขัง ก่อนจะหยิบขันทองที่ใส่น้ำเย็น มาสาดใส่เราทั้งคู่
ซ่าาา! เคล้ง!
หลังจากสาดเสร็จ ขันทองก็ถูกปาลงบนพื้นไม้
“จะ ใจเย็นก่อนนะครับพ่อหมอ…”
“กูไม่ใจเย็น และไม่สนไอ้อีหน้าไหนทั้งนั้น หากพวกมึงไม่คิดจะศรัทธา รึเชื่อมั่นในคาถาอาคมของกู พวกมึงก็ไสหัวกลับไปซะ!” เสียงคำรามตวาดไล่ ทำให้หญิงสาวลุกขึ้นยืน ทั้งที่เนื้อตัวเปียกปอนไปด้วยหยดน้ำ ก่อนจะรีบสับขาออกไปจากห้อง พร้อมกับเงินหนึ่งแสนที่จะเอากลับไปชดใช้หนี้พนัน
“น้อง!” ร่างสูงวิ่งตามมาดักหน้า
“กลับไปขอขมาพ่อหมอเถอะนะ”
“ไม่ค่ะ” ปฏิเสธพร้อมกับเดินเลี่ยง
“น้อง พี่ไหว้ละ พี่ยังไม่อยากตาย ถ้าน้องไม่ไปขอขมา พ่อหมอจะไม่ยอมทำพิธีกรรมให้ เพราะงั้นกลับเข้าไปเถอะนะ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย เดี๋ยวพี่ออกให้ครึ่งหนึ่ง น้องตกลงไหม?” อีกฝ่ายพยายามยื่นข้อเสนอ ทว่านั่นไม่ทำให้เธอสนใจ
“ไม่ค่ะ เงินตั้งครึ่งแสน ขวัญจะไม่ยอมเสียให้กับเรื่องพวกนี้ ถ้าพี่อยากจะเข้าร่วมพิธีกรรม เชิญพี่ทำไปคนเดียวเลยค่ะ” หญิงสาวยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนจะวิ่งไปโบกรถแท็กซี่ที่ขับผ่านหน้าบ้านพอดิบพอดี แล้วกระโดดขึ้นไปบนรถ
“เฮ้ย! น้องอย่าทำอย่างนี้ดิวะ”
“เงินอีกสองแสนขวัญไม่เอาแล้วก็ได้ โชคดีนะคะ”
นี่เป็นประโยคทิ้งท้าย ก่อนที่รถแท็กซี่จะขับออกไป