“เดี๋ยวคุณท่านจะให้บัวไปบอกปานหรือว่านิ่มนะ ว่าเลขาส่วนตัวของคุณท่านแนะนำมา”
“จะดีเหรอคะคุณท่าน เดี๋ยวคนในบ้านก็เกลียดน้องรักหมดสิคะ”
เพิ่งทำงานวันแรก ก็ติเชฟประจำของคุณท่านแล้ว คงไม่ดีแน่ๆ วันหลังได้หอบข้าวจากบ้านมากินเองแน่ๆ
“ใครจะกล้าเกลียดน้องรักของคุณท่านได้คะ อีกอย่างนะ คุณท่านว่าบอกต่อหน้า ดีกว่าปล่อยให้แขกเอากลับไปว่าลับหลังเรานะ จริงมั้ยจ๊ะ”
“ก็จริงค่ะ”
“สรุปให้คุณท่านบอกได้”
“ค่ะ”
“แล้วไม่กลัวถูกคนในบ้านเกลียดเหรอคะ”
“ถ้าคนในบ้านรักน้องรัก แต่แขกของคุณท่านไม่ Happy น้องรักก็เลือกอย่างแรกดีกว่าค่ะ”
“ปากหวานแต่เช้าเลยนะ อยากได้อะไรหรือเปล่าเรา”
“เปล่าค่ะ น้องรักแค่พูดตามความรู้สึกค่ะ”
“ขอบใจมากจ้ะ ที่ห่วงคุณท่าน กินผลไม้เถอะ”
“ค่ะ”
ผลไม้เป็นแก้วมังกรกับแคนตาลูป เมื่อเปิดฝาตามหลังคุณท่านดู มีแค่อย่างละสามชิ้นเท่านั้น ดีที่เป็นคนกินน้อย เลยไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่ถ้าใครกินจุ รับรองว่าถ้านั่งกินข้าวกับคุณท่านเสร็จ คงได้แอบหนีไปหาอะไรเติมกระเพาะต่อแน่ๆ หรือถ้าใครเคยมาเป็นแขกแล้ว ก็อาจจะต้องโซ้ยอะไรรองท้องมาก่อนชัวร์
“น้องรักยังจำปานได้ใช่มั้ยจ๊ะ ลูกของปลา”
“จำได้ค่ะ แต่จำแม่ไม่ได้”
จำไม่ได้ก็แปลกแล้ว เพราะเห็นตั้งแต่เธอยังตัวเล็กๆ โน่น และรู้สึกจะอายุเท่ากับนายนั่น เอ๊ย คุณปั่นของคุณท่านอีกด้วย
“จำได้ยังไง ก็ปลาออกจากบ้านนี้ตั้งแต่น้องรักยังเล็กๆ อยู่เลย ตอนนี้ปานอายุสามสิบห้าปีแล้ว เท่ากับคุณปั่นเลยล่ะ แม่เขาคลอดหลังคุณท่านแค่ไม่กี่วัน”
รักศิกาญจน์นั่งฟังควบคู่กับเคี้ยวผลไม้แบบไม่เปิดปากไปด้วย ในหัวก็พยายามคิดไปด้วย จำได้ว่าตอนตัวเองย้ายออกจากบ้านนี้กับแม่ อายุแค่สิบกว่าขวบ ส่วนปานชีวันเป็นสาวแล้ว สวยด้วย เวลาใส่ชุดนักเรียนมัธยมปลายแล้วเด่นมาก
“คุณท่านให้เป็นผู้จัดการบ้านแทนคนเก่าตั้งแต่ห้าปีก่อนแล้ว ถึงปลาจะมีประวัติไม่ค่อยดี ขโมยของจนคุณท่านต้องไล่ออก แต่ปานก็ไม่เหมือนแม่เลยนะ เป็นเด็กดี ขยันทำงาน ว่านอนสอนง่าย คุณท่านเลยขอรับไว้อุปการะเอง จะได้ส่งเสียให้เรียนสูงๆ ขืนปล่อยให้ไปกับแม่ เดี๋ยวมีผัวใหม่ เกิดทำอะไรปานขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบล่ะ จริงมั้ย”
“ค่ะ”
“เด็กสิบสาม กำลังจะเริ่มเป็นสาว ปลาก็ยิ่งไวไฟอยู่ด้วย คุณท่านเคยได้ยินว่าก่อนหน้า มีลูกชายแล้วคนหนึ่งนะ ไม่ได้เลี้ยงเองหรอก ให้ฝ่ายชายเลี้ยง ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง น้องรักเคยได้ยินหรือเปล่า”
“ไม่เคยเลยค่ะ”
“นั่นสินะ จะเคยได้ยังไง ก็น้องรักยังเด็กๆ อยู่เลย” รักศิกาญจน์แค่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไรต่อ นอกจากรอฟังเท่านั้น
“แล้วปานเองก็ไม่ได้ทำให้คุณท่านก็ผิดหวังนะในเรื่องงาน เพราะดูแลความเรียบร้อยทั้งหมดในบ้านได้ดีเยี่ยมเลย จะผิดหวังหน่อย ก็ตรงที่ไม่ยอมเรียนต่อเท่านั้นล่ะ คงอยากจะทำงานเก็บเงินล่ะมั้ง”
“คุณปานจบอะไรคะคุณท่าน”
“หยุดเรียนตอนจบมอปลาย คุณท่านบอกให้ต่อ ก็ไม่ยอม อยากทำงานกับคุณท่านมากกว่า เพราะตอนเรียนจะไม่ได้เงินเดือน แค่ค่าขนมวันละร้อยเท่านั้น”
“น่าจะเรียนต่อก่อนค่อยทำงานนะคะ” ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ยอมเรียนต่อ อาจจะได้งานดีๆ ทำ แต่งานที่นี่ก็ไม่ได้ขี้เหร่นี่นา เงินก็ดีด้วย
“อาจจะคิดว่าเรียนไปก็คงไม่ได้เอาความรู้มาใช้เท่าไหร่ล่ะมั้ง ยังไงก็คงจะต้องทำงานกับคุณท่านอยู่แล้ว เงินเดือนก็เยอะกว่าพวกที่จบสูงๆ ด้วย”
คุณท่านคงไม่อยากได้ความคิดเห็นอะไร เลยแค่ฟังกับเคี้ยวต่อ ในใจก็สงสัยไปด้วย ว่าในเมื่อมีคนทำงานให้อยู่แล้ว จะให้รักศิกาญจน์คนนี้มาทำอะไรหนอ กับอีกหนึ่งความสงสัยก็คือ ทำไมปานชีวันไม่เลือกเรียนสูงๆ จบมาจะได้มีงานดีกว่านี้ทำ เพราะคุณท่านส่งได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะในไทยหรือเมืองนอก
“แหม ทำงานกับคุณท่านก็ไม่ใช่งานไม่ดีนะยะยัยรัก ผู้จัดการบ้านได้ตั้งสี่หมื่นห้าละ กินหรูอยู่ดีด้วย”
แต่หลังจากชั่วโมงหนึ่งผ่านไป รักศิกาญจน์ก็รู้แล้ว ว่างานของตัวเองคืออะไร มันไม่ได้เบาะๆ หรือเบาๆ อย่างที่คุณท่านเอ่ยสักนิด เพราะตรงหน้า
“ทำงานวันแรก เอาแบบเบาะๆ เบาๆ ก่อนก็แล้วกันนะ”
มีเครื่องเพชรห้าชุดใหญ่ และอีกเป็นร้อยชุดในตู้เซฟสูงท่วมหัว หลายใบซุกซ่อนอยู่ในห้องแต่งตัว ตู้เสื้อผ้าบังไว้อีกทอด หากจะใช้งานจะมีปุ่มกดเปิดเล็กๆ ในตู้ ถ้าไม่รื้อหาดีๆ ไม่มีทางเห็น
ตู้ก็จะเลื่อนออก จริงๆ แล้วนี่ทำเอาไว้แค่หลอกตาเท่านั้น เพราะจำได้ว่าคุณท่านมีห้องสำหรับเก็บเสื้อผ้าอีกหลายห้อง และล้วนแล้วจะต้องเปิดแอร์ทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืน คือแต่ละห้องจะมีแอร์สองตัว สลับกันทำงานประจำ เธอเคยสงสัยจนต้องถามแม่
“คุณท่านกลับผ้าจะเสียทรงค่ะ เลยต้องเปิดแอร์ให้ตลอด”
ดีหน่อยที่ตัวเองกับแม่ได้นอนห้องแอร์ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เลยไม่รู้สึกน้อยอกน้อยใจใดๆ แต่ไม่รู้ว่าคนในบ้างบางคนที่ห้องพักมีแต่พัดลมจะคิดยังไง เธอเองก็เดาไม่ออก เพราะตั้งแต่แม่พาย้ายออกไปอยู่บ้านข้างนอกแล้ว ก็ไม่ค่อยได้เข้ามาคลุกคลีกับใครอีกเลย กระทั่งตอนนี้
“ในนี้นอกจากคุณท่าน แรม กับบัวบานแล้ว ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรอยู่ รวมน้องรักอีกคน ก็เป็นสี่”
อยากถามว่าทำไมถึงเป็นเธอกับแม่ด้วย แต่คิดว่าคุณท่านคงจะมีเหตุผลอยู่แล้ว เลยเดินไปเอาโน้ตบุ๊กมาเปิดเพื่อเตรียมทำงาน
“คุณท่านจะให้น้องรักทำอะไรบ้างคะ”
“ไม่ใช่แค่น้องรัก แต่เป็นเราจ้ะ”
“ค่ะ”
“เราจะ Run รหัสเครื่องเพชรไว้แต่ละชุด รวมทั้งข้าวของชิ้นอื่นๆ ด้วย แต่วันนี้เอาเครื่องเพชรไปก่อน บันทึกที่มาว่ายังไง ราคาเท่าไหร่ตอนซื้อ ราคาตอนนี้ประมาณไหน ซื้อจากไหน ประเทศไหน ใครซื้อให้ เนื่องในโอกาสอะไร มีทั้งหมดกี่ชุดในโลกนี้ ปัจจุบันยังมีขายอยู่หรือไม่มีแล้ว รวมทั้งรายละเอียดอื่นๆ เท่าที่คุณท่านจะจำได้”
“ค่ะ”
“เสร็จแล้วก็พริ้นต์ออกมาเคลือบพลาสติกแล้วใส่ไว้ในกล่องนี้ เครื่องของน้องรักกับเครื่องคุณท่านมีเก็บไว้คนละไฟล์ ส่งให้แรมเก็บไว้ในมูลนิธิ ทนายสุเทพ แล้วคุณปั่นอีกคนละไฟล์”
“ค่ะ”
รักศิกาญจน์อึ้งในความรอบคอบของคุณท่านจริงๆ เพราะถ้าเป็นตัวเองก็คงไม่ได้คิดไกลหรือให้ใครๆ มาช่วยเก็บข้อมูลมากขนาดนี้ แต่ก็อย่างว่าแหละ ของราคาเป็นร้อยล้านก็มี