EP 29
“คุณน้องรักชิมหอยเชลล์อบชีสหรือยังครับ”
หมั่นไส้ไอ้นิคกี้นิดๆ ที่บังอาจมองยัยแคระของเขาแบบตาหวานๆ แถมยังบ่อยครั้งด้วย
แต่...ก็...สวย แล้วก็น่ามองกว่าวันอื่นอยู่แหละ
ผมยาวสี ‘Huney Blonde’ ของยัยแคระ เขามักจะเห็นคู่ควงเปลี่ยนมาใช้สีนี้บ่อยครั้ง มันถูกรวบข้างแล้วเอาไปมวยต่ำๆ ไว้ด้านหลัง เครื่องประดับมีแค่สร้อยเพชรเม็ดเล็กๆ น่าจะมาจากเซฟของแม่เขาแหละ
เพราะปกติยัยแคระจะใส่สร้อยประจำ ซึ่งไม่ใช่เส้นนี้แน่ๆ นาฬิกาก็ราคาหลายแสน นั่นก็น่าจะเป็นของแม่เขา คงซื้อไว้ตั้งแต่วัยรุ่นแล้วเก็บในตู้จนลืมแล้วมั้ง มีคนสวยๆ มาอยู่ในมือ แม่เลยปัดฝุ่นข้าวของที่หมกไว้นานให้เอามาใช้แทน แหวนเพชรตรงนิ้วนางข้างขวาก็น่าจะของแม่ ก็เขาไม่เคยเห็นยัยแคระใส่เหมือนกัน
อีกหน่อยนิ้วนางก็คงไม่ว่างแล้วมั้ง
หึ
ใครก็ตามที่กล้ามาตีตราจอง มันต้องผ่านตีนไอ้ปั่นไปก่อน
เด็กในสังกัดใคร ให้มันรู้ซะบ้างนะ ถ้าจะมีต้องผัวทั้งที
ต้องสกรีนด้วยตีนกูก่อน
แน่ใจว่าดีจริง ก็ถึงจะยอมยกให้ ถ้าจะมาทำให้เสียใจ มึงจะไม่ได้ตายดีแน่ๆ
“คุณปั่นรับไวน์มั้ยคะ”
“เอ่อ...ครับ”
เขาหันไปหากรกนกแล้วยิ้มน้อยๆ ก่อนจะรับแก้วไวน์ที่บริกรส่งมาให้ ไม่ได้อยากดื่มสักเท่าไหร่หรอก แต่ก็ไม่อยากทำให้ตัวเองนั่งเฉยๆ กับคอยแอบมองยัยแคระของแม่แค่นั้น
“แต่ดันมีหนุ่มจากโต๊ะอื่นมองมาเยอะด้วยแฮะ ยัยแคระนี่ไม่ธรรมดาละ”
ดูรวมๆ แล้ว การ Present สินค้าของแม่ ก็ใช้ได้ คือไม่ให้เด่นเกินหน้าสาวไฮโซหลายคนในงาน เพราะยัยแคระมาในฐานะเลขา แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่าสาวอื่นมากนัก คนอื่นไม่รู้ว่าจะคิดยังไง
แต่สำหรับเขาแล้ว มองว่าแม่ฉลาดเลือกข้าวของมากองรวมไว้ที่ยัยแคระ จนทำให้ออกมาดูดีได้ไม่น้อยหน้าใครและไม่ข่มใครด้วย
“ขอโทษจริงๆ ค่ะทุกคน ปลื้มนอนดึกไม่ได้ คุณหมอกำชับว่าให้พักเยอะๆ” แล้วแม่ก็ฉลาดเลือกเวลากลับได้ดี คือไม่เร็วเกินและไม่ช้าเกิน เวลาเดินออกมา ขณะที่เวทียังมีการแสดงอยู่ ผู้คนก็มองตามด้วยความสงสัย
“คุณแม่เอารถคันไหนมาครับ”
ที่ต้องเดินออกมาส่งแม่ ก็เพราะกลัวคนในงานจะตำหนิได้ นั่นคือข้อแก้ตัวของเขา
“แวนจ้ะ ว่าแต่น้องรักโทรบอกหรือยังคะ”
“กำลังค่ะคุณท่าน ลุงไหวยังไม่รับสาย แต่น่าจะต้องรออีกสักครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อยค่ะ”
รักศิกาญจน์พยายามติดต่อคนขับรถประจำบ้าน ตั้งแต่คุณท่านบอกว่าจะกลับแล้ว เพราะตอนมานัดเวลาไว้คือห้าทุ่ม แต่นี่แค่สามทุ่มเอง
“ตายจริง คุณแม่ลืมให้น้องรักโทรบอกไหว ว่าจะกลับเร็วกว่าเวลาเดิม เอาไงดี หรือจะกลับเข้าไปนั่งรอในงานก่อน”
“นั่งตรงล็อบบี้เล้านจ์ดีมั้ยคะคุณท่าน”
ก็ลาเจ้าของงานและคนอื่นๆ แล้ว จะกลับไปก็คงไม่เข้าท่านักในความคิด
“ก็น่าจะต้องอย่างนั้นล่ะจ้ะ” อาภัสสราตอบเสียงเนือยๆ
“เดี๋ยวผมไปส่งก็ได้ครับ” อาชาหันไปพยักหน้าให้ชลกรแบบไม่เดือดร้อนใดๆ
“คุณปั่นไม่กลับเข้าไปนั่งคุยกับหนูก้อยก่อนล่ะจ๊ะ หายออกมานานๆ อย่างนี้เสียมารยาทแย่เลยนะ”
“หนูก้อยของคุณแม่คงจะด่าผมมากกว่า ถ้าทิ้งให้คุณแม่ยืนรอรถอยู่ตรงนี้นานๆ ห่วงตัวเองก่อนดีกว่านะครับ ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่นหรอกครับ”
ยอมใจแม่จริงๆ ที่จะแกร่วรอรถแถวนี้ แล้วให้เขากลับไปหาสาวข้างใน คิดอะไรอยู่นะแม่ อยากได้สะใภ้กับอยากได้หลานมาก จนลืมห่วงตัวเองขนาดนี้เชียว
“คุณแม่กลัวจะเสียมารยาทจ้ะ”
“ให้ยัยแคระ เอ๊ย ให้เลขาคุณแม่ไลน์ไปบอกคุณก้อยสิครับ จะได้ไม่รอผม”
“คงต้องอย่างนั้น” อาภัสสราหันไปหาเลขาแบบไม่ต้องเอ่ยปากบอกอะไรอีก
“คุณก้อยบอกว่าไม่เป็นไรค่ะ แล้วให้ไลน์บอกด้วย ถ้าคุณท่านถึงบ้านแล้ว”
“น่ารักจังเลยนะหนูก้อย เป็นห่วงเป็นใยดีจริงๆ ผู้หญิงดีๆ แบบนี้หายากจะตาย” อาภัสสราหันไปหาลูกชาย คล้ายทำหน้าเสียดายแย่ ถ้าปล่อยให้หลุดมือ
“รถมาแล้ว เชิญครับ”
อาชารีบหาเรื่องอื่นมาขวางไว้ และดีใจที่วันนี้เอารถเอ็มพีวีมาใช้ตั้งแต่เช้าแล้ว เพราะมีคิวออกข้างนอกแทบทั้งวัน เลยชอบนั่งรถใหญ่ๆ กว้างๆ จะได้สบายตัว เสร็จก็แวะอาบน้ำเปลี่ยนชุดมางานต่อเลย
“คุณแม่ปวดขาจังเลยล่ะคุณปั่น อยากยกขึ้นไปเหยียดหน่อย จะนั่งตรงไหนดีคะ”
“ก็ต้องเบาะกลางอยู่แล้วครับ”
“โอเค น้องรักเข้าไปนั่งเบาะหลังสุดเป็นเพื่อนคุณปั่นก็ได้”
“ค่ะ”
ถึงจะไม่อยากนั่งใกล้เขาแค่ไหน แต่รักศิกาญจน์ก็ไม่อาจขัดคำสั่งได้ เลยจำต้องเข้าไปเบาะแถวสาม แล้วโน้มตัวมาช่วยยกขาของคุณท่านขึ้นพาดบนเบาะ เพราะเห็นว่าน่าจะเหนื่อยจริงๆ อาชามองการกระทำนั้นนิ่งๆ แต่พอเห็นแม่จะเอนตัวไปหาที่อิง เลยช่วยเอาหมอนตรงเบาะไปสอดใส่หลังกับศีรษะให้
“ขอบใจจ้ะทั้งสองคน”
อาภัสสรารู้สึกเป็นสุขขึ้นมาทันควัน เมื่อลูกปรนนิบัติแบบนี้ กี่ปีแล้วก็ไม่รู้ที่ลูกไม่ได้มาอยู่ใกล้ๆ
“คุณท่านเอาแขนวางบนหมอนนี้อีกใบก็ได้ค่ะ จะได้พักแขนไปด้วย” รักศิกาญจน์ยื่นหมอนอีกใบไปให้ด้วยความห่วงใย ก็นั่งหย่อนแขนนานๆ น่าจะเมื่อย
“ขอบใจจ้ะ”
เสียงหวานๆ แบบนี้ เดาว่าคุณท่านกำลังมีความสุข ก็คงเพราะมีลูกชายคนเดียวมาอยู่ด้วยแหละ
“มาหาแม่บ่อยๆ ก็เป็นเหมือนกันนี่ ทีเมื่อก่อนล่ะต้องให้ฉันไปลากจากออฟฟิศเชียว”
“ชิ! นายยักษ์ขี้แกล้งเอ๊ย”
“นานมากแล้วไม่ได้ออกงาน เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย”
อาภัสสราเอ่ยลอยๆ แล้วมองไปยังลูก เพราะท่านั่งคือขวางรถไว้ เลยง่ายมาก ที่จะมองไปด้านหลัง
“ฝึกไว้ครับ จะได้ชิน เพราะกว่าจะโปรเจ็กต์คุณแม่จะ Success ผมว่าน่าจะออกอีกหลายงานเชียวครับ”
ลูกเอ่ยยิ้มๆ
“ฮึ! ปากคอเราะรายนะเรา” เบื่อจริงๆ เมื่อถูกลูกรู้ทัน ส่วนลูกก็กระตุกยิ้มให้แม่ แล้วไฟในรถก็ปิดลง รถแล่นออกช้าๆ
“เหนื่อยจัง ขอพักสายตาแป๊บนะจ๊ะ”
อาชามองแม่ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง อดสงสารไม่ได้ ปูนนี้แล้วยังต้องลุกมาดิ้นรนอีกรอบ เพื่อหาทายาทรับภาระดูแลมรดก หลังจากที่พยายามมาแล้วตอนเขากลับเมืองไทยใหม่ แล้วเริ่มไปช่วยงานพ่อในบริษัท