เมื่อรถยุโรปคันหรูจอดเทียบหน้าเพนท์เฮ้าส์ บอร์ดดี้การ์ดที่สวมสูทดำก็เดินมาเปิดประตูให้กับปริญ เขาก้าวขาออกมาแล้วโน้มตัวเข้าไปในรถอีกครั้งเพื่อที่จะอุ้มคนตัวเล็กที่นอนหลับอยู่ในอ้อมอกเขาเมื่อครู่
เหล่าบรรดาลูกน้องต่างพากันมองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยความสงสัย ปกตินายตัวเองไม่เคยพาผู้หญิงเข้ามาที่นี่ อยู่ๆ วันนี้มีผู้หญิงมาด้วยแสดงว่าผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นคนพิเศษแน่นอน
“อื้อออ....ปล่อย”
น้ำเสียงงัวเงียเอ่ยขึ้นประท้วงคนตัวสูงที่กำลังอุ้มเธออยู่ให้ปล่อยเธอลง แต่ปริญไม่ได้สนใจคำพูดใดๆ เขาเดินเข้าไปด้านในใช่นิ้วเรียวกดรหัสผ่าน ก่อนที่จะกดลิฟต์ขึ้นไปชั้นบนสุด ปริญได้ซื้อโครงการนี้ไว้ทั้งหมด ทำเป็นห้องอย่างดี เพื่อให้ลูกน้องได้อยู่กับเขาด้วย ปริญดูแลลูกน้องทุกคนเป็นอย่างดี มีสวัสดิการให้ จนลูกน้องเกิดความรักและเทิดทูนนายตัวเอง แต่ไม่วายยังมีคนที่คิดที่จะหักหลังเขา
“พวกมึงมองอะไรกัน”
แค่ประโยคเดียวกับแววตาที่เย็นเฉียบ ทำเอาลูกน้องนับสิบคนที่ยืนอยู่ข้างกายรีบก้มหน้าหลุบต่ำไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง พูดจบเขาก็ก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์ทันที ลิฟต์เลื่อนขึ้นและหยุดที่ชั้นสูงสุดของตัวอาคาร
ปริญก้าวขาออกมาข้างนอกแล้วเดินเข้าไปด้านในห้องของตัวเอง ภายในตกแต่งด้วยโทนสีเบจตัดสีขาวและสีน้ำตาลเข้ม ทำให้ห้องดูหรูหราและกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม ด้านในถูกแบ่งเป็นสัดส่วน มี ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องนอน ฟิตเนสและสระว่ายน้ำเล็กๆ อยู่ด้านนอกระเบียง ทั้งหมดอยู่ในพื้นที่กว่า 400 ตารางเมตร ซึ่งมันกว้างขวางมากเลยทีเดียว
กชมนถูกนำตัวไปวางไว้ที่โซฟาสีเบจที่ห้องนั่งเล่น เขายืนเท้าเอวจ้องมองคนตัวเล็กที่ตื่นขึ้นมาแล้วทำหน้าเลิ่กลั่ก เธอกวาดสายตามองไปทั่วห้องเพื่อสำรวจทางหนีทีไล่ ว่าจะออกไปจากที่นี่ยังไงดี
“มองทางออกเหรอ อยู่ตรงโน้น”
นิ้วชี้ข้างขวาของปริญชี้ไปที่ประตูแล้วกระตุกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย
“แต่เธอผ่านด่านลูกน้องฉันไปให้ได้ก็แล้วกัน หึ”
น้ำเสียงเรียบเฉยเย็นชาเอ่ยขึ้น เมื่อพูดจบเขาก็ดึงเนกไทออกจากคอ แล้วปลดกระดุมเสื้อออกสามเม็ด แขนเสื้อถูกพับขึ้นมาครึ่งท่อน ก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งข้างๆ กชมน ทำเอาเธอสะดุ้งเล็กน้อย มือข้างขวายกขึ้นมาโอบบ่าเล็กดึงกายของเธอให้แนบชิดเขา กลิ่นหอมอ่อนๆ ประจำกายเธอมันลอยเข้าจมูกปริญ เขารู้สึกชอบมันเอาเสียมากๆ จนอยากจะจับเธอฟัดอีกรอบ
“อย่าแม้แต่จะคิดหนี ไม่งั้นฉันเอาเธอตายแน่”
มือหนาบีบไหล่บางแน่น เขาพูดเน้นเขี้ยวเน้นฟัน สายตาทอดมองดวงตากลมโตด้วยความเกรี้ยวกราดดุดัน ราวกับพญาราชสีห์ที่กำลังจ้องมองหนู จนกชมนต้องพยักหน้าถี่ๆ เพื่อเป็นการบอกกลายๆ ว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
ครืดดดด....ครืดดดด....ครืดดดด
“ว่าไง”
(นายครับจับตัวไอ้หนอนบ่อนไส้ได้แล้วครับ)
“อย่าเพิ่งฆ่า เดี๋ยวกูไปจัดการเอง”
โทรศัพท์เครื่องหรูที่อยู่ในมือของปริญถูกกำไว้แน่นแทบแหลกคามือ น้ำเสียงเย็นยะเยือกชวนให้คนฟังรู้สึกเสียวสันหลังวาบ คนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนรู้สึกใจสั่นไม่น้อย สายตาของปริญทอดมองไปข้างหน้าอย่างยากที่จะคาดเดา แววตาที่แข็งกระด้างดูเหี้ยมโหดจนคนที่แอบมองรับรู้ได้
“ไปกับฉัน”
พูดจบเขาก็ดึงร่างบางขึ้นให้ลุกยืนตามเขา
“จะไปไหนคะ”
“เดี๋ยวเธอก็รู้เอง”
เขายิ้มร้ายใส่เธอจนกชมนรู้สึกหวั่นใจไม่น้อย เธอค่อยๆ พยายามก้าวขาเดินตามเขาให้ทัน แต่มันเจ็บจนแทบจะเดินไม่ไหว ปริญหันมามองกชมนที่เดินตามหลังเขามาราวกับเต่าที่แสนเชื่องช้า เขาทำหน้าดุดันส่งสายตามองมายังคนตัวเล็ก ตอนนี้เขารู้สึกอารมณ์เสียไม่น้อยเลยทีเดียว มือหนากระชากแขนเรียวเล็กให้เดินตามเขามาเร็วๆ โดยที่ไม่สนใจเธอเลยว่าจะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหน ไม่สนเลยด้วยซ้ำว่าตอนนี้เธอไม่สบายอยู่
ปริญลากกชมนไปที่ลิฟต์และกดลงไปชั้นล่างสุด ประตูลิฟต์ถูกเปิดออกแล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าไปด้านใน ไม่นานก็ลงมาถึงชั้นล่าง ทั้งสองเดินมาที่รถยุโรปสีดำเพื่อออกไปสู่จุดหมายที่เขาต้องการ บอร์ดี้การ์ดร่างสูงเปิดประตูรถให้ทั้งสองขึ้นไปนั่งข้างใน เมื่อทั้งสองเข้าไปแล้วประตูก็ถูกปิดลงเบาๆ รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปจากเพนท์เฮาส์ ไม่นานก็มาจอดอยู่ที่โกดังเก่าๆ แสงไฟส่องสว่างมีเพียงเสาต้นเดียวเท่านั้น
ปริญลากกชมนลงมาจากรถ ให้เธอเดิมตามเขามาภายในโกดังที่เก่าๆ ราวกับโกดังร้าง เขาเดินไปที่มุมห้องของโกดังซึ่งตอนนี้ไม่ได้มีของอะไรอยู่ที่นี่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ปริญใช้นิ้วโป้งมือข้างขวาสแกนลายนิ้วมือแล้วกดรหัสผ่านอีกทีหนึ่งเพื่อให้ประตูนั้นเปิดออก มันเป็นห้องกว้างมีที่มีทุกอย่างทันสมัยราวกับคนละโลกกับด้านนอก ที่มีแต่ต้นไม้ใบหญ้า ฝุ่นหนาเกอะกัง อีกมุมหนึ่งมีโซฟารับแขกตัวสีดำอย่างดี มีโต๊ะเตี้ยตรงกลาง และก็มีตู้เย็นเล็กๆ ที่อัดแน่นไปด้วยเบียร์เต็มตู้อยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง ตอนนี้มีผู้ชายสี่คนนั่งรอเขาอยู่ที่โซฟาตัวสีดำตัวหรู
“พกสาวมาด้วยเหรอ”
ภูวิศเอ่ยขึ้นพลางจ้องมองกชมนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า สายตาแทะโลมของเขาทำเอาคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างกายเธอขมวดคิ้วยู่เป็นปม ของที่เขาใช้แล้วเขาไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องนอกจากเขาจะเบื่อแล้วโยนทิ้งไปเอง
“ทำหน้าแบบนั้นของหวงเหรอไอ้ปริญ?”
“มานั่งข้างๆ พี่สิน้องสาวคนสวย”
คีทหนุ่มลูกครึ่งไทยเยอรมันเอ่ยขึ้น พลางแสยะยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจ กชมนทำตัวไม่ถูกรีบเกาะแขนปริญไว้แน่น ดูท่าทางผู้ชายสองคนนี้คงไม่น่าไว้ใจ ถึงปริญจะร้ายกาจ แต่อย่างน้อยเธอก็รู้จักเขามากกว่าสองคนนี้ก็แล้วกัน
“เด็กที่ไหนวะ”
โคเรย์เอ่ยขึ้นพลางกระตุกยิ้มมุมปากให้ปริญ แต่สายตากับมองไปที่ใบหน้ามนของคนตัวเล็กไม่ละตาจนกชมนเองต้องรีบหลบมาอยู่ข้างหลังปริญ
“เลขาฯ กู แต่ดันรู้เรื่องเยอะไปหน่อย เลยจะเชือดไก่ให้ลิงดู”
ความสงสัยถูกแสดงออกมาทางสีหน้าของกชมนทันทีที่ปริญเอ่ยขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาแสดงความเจ้าเล่ห์ออกมาให้เห็น เขาตวัดหางตาไปมองคนตัวเล็กที่ยืนเกาะแขนเขาอยู่ แล้วเดินไปหย่อนก้นนั่งที่โซฟาอีกตัว มือหนาตบลงที่เบาะโซฟาให้เธอมานั่งลงข้างๆ เขา กชมนทำตามอย่างว่าง่าย
“เลขาฯ เหรอ จากสภาพแล้วคงโดนมายับเลยสิ มึงนี่เบาๆ มือหน่อยก็ไม่ได้ ของสวยๆ งามๆ ช้ำหมด”
เคย์เดนเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วใช้สายตาสำรวจทั่วเรือนร่างของกชมน ตอนนี้เธอเหมือนกำลังยืนอยู่ในดงเสือที่จ้องจะตะครุบเหยื่อ
“ได้แล้วก็ส่งต่อมาให้กูก็ได้นะกูไม่ถือ”
ภูวิศเอ่ยพลางกระดกเบียร์ในกระป๋องต่อ สายตายังคงจ้องมองกชมนไม่ลดละ ปริญจ้องมองภูวิศด้วยสายตาเย็นเฉียบ
“เงียบปากไป”
นัยน์ตาคมแสดงความขึงขังอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพวกเพื่อนๆ เริ่มพูดจาแทะโลมหญิงสาว ใบหน้าหล่อเหลาดูจากสีหน้าแล้วก็รู้ว่ากำลังหงุดหงิด จนเพื่อนๆ รับรู้ได้
“ไหนไอ้คนทรยศ”
เขาเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยความเหี้ยมโหดน่ากลัว
“อยู่ห้องเชือด ตามมา”
พูดจบทั้งห้าก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ห้องเล็กๆ ที่อยู่อีกมุมหนึ่งภายในห้องนี้
“มานี่!!”
ปริญเดินกลับไปกระชากแขนกชมนที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่โซฟาให้ลุกขึ้น เธอไม่รู้นี่นาว่าเธอจะต้องไปด้วย เขาลากเธอเข้ามาในห้องมืด ขาเธอแทบพันกันเกือบล้มหน้าฟาดพื้น ภายในห้องมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเต็มไปหมด ไม่มีแม้แสงเล็ดลอดส่องเข้ามา มีเพียงโคมไฟกลางห้องหนึ่งดวงเท่านั้นที่ส่องสว่างอยู่ ชายร่างสูงถูกตรึงไว้กับผนังห้อง ตามเนื้อตัวของผู้ชายคนนั้นเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด ราวกับว่าเขาถูกทรมานมาสักพักแล้ว สภาพเขาในตอนนี้แทบไม่ได้สติ หัวห้อยลง คอตั้งชันไม่ไหว แขน ขา มือไม้ไร้เรี่ยวแรง
“ดูซะให้เต็มตาโทษของคนทรยศมันเป็นยังไง!!”
น้ำเสียงราบเรียบแปลเปลี่ยนเป็นตวาดดังลั่นจนหญิงสาวตัวสั่นงันงก ดวงตากลมโตคู่สวยพยายามเก็บซ่อนความหวาดกลัว เธอเลือกที่จะเปลี่ยนจุดโฟกัสไปทางอื่น แต่ก็ต้องถูกมือหนาของปริญจับหน้ามนของเธอให้หันมาดูผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า
“ดูดีๆ นะอย่าให้คาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว”
น้ำเสียงแผ่วเบาชวนขนลุกกระซิบข้างๆ หูของกชมน แต่มันแฝงไปด้วยความเย็นยะเยือกจนคนฟังราวกับถูกสาปให้เป็นก้อนหิน เธอยืนนิ่งมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าตาไม่กะพริบ
“มึงเดี๋ยวเด็กมึงก็เป็นลมล้มพับไปหรอก”
คีทเอ่ยขึ้นเพราะรู้ดีว่าเพื่อนของตัวเองกำลังจะทำอะไร เขาเองก็ไม่ได้ใจแข็งเหมือนปริญที่จะฆ่าคนแบบเลือดเย็นโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร ถ้ายิงให้ตายนัดเดียวน่ะทำได้ แต่ทรมานจนกว่าจะตายเขาไม่เอา
บอร์ดี้การ์ดสวมสูทสีดำส่งมีดปลายแหลมมาให้ปริญ เขามองมันอยู่คู่หนึ่ง ปลายมีถูกเกลี่ยไปมาที่ใบหน้าสวยอย่างช้าๆ ราวกับคนซาดิสจนเธอตัวสั่นเทาราวกับลูกนก มีดปลายถูกแทงเข้าไปที่อกข้างซ้ายของชายผู้นั้น แล้วคว้านลึกเป็นวงกว้างอย่างช้าๆ เสียงกรีดร้องโหยหวนชวนขนลุกดังขึ้นจนคนในห้องอดที่จะสงสารไม่ได้ มีดแหลมถูกดึงออกแล้วเขาใช้มือตัวเองควักเข้าไปที่อกข้างซ้าย กระชากหัวใจผู้ชายคนนั้นออกมาให้กชมนดูต่อหน้าต่อตา มันยังเต้นเป็นจังหวะอยู่เลย ปริญโยนมันทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อมาเช็ดคราบเลือดออกจากมืออย่างใจเย็น
“กรี๊ดดดดดดดดดดด”
เสียงกรีดร้องดังลั่นด้วยความหวาดกลัว ดวงตากลมโตอาบเคลือบไปด้วยหยาดน้ำตาสีใส
“นี่ไงจุดจบของคนทรยศ”
เสียงแหบพร่ากระซิบเบาๆ ข้างๆ หูของกชมนอีกครั้ง ตอนนี้เธอสมองขาวโพลนไม่รับรู้อะไร คนตัวเล็กเป็นลมล้มพับลงไปนอนกองอยู่กับพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่นจนเนื้อตัวเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด
“เชี่ย!! มึงเล่นบ้าอะไรคนสวยกูเป็นลมเลย”
ภูวิศทำท่าจะอุ้มกชมนแต่ก็ต้องถูกสายตาแข็งกร้าวของปริญห้ามเอาไว้จนเขาไม่กล้าที่จะแตะต้องตัวเธอ ปริญใช้ท่อนแขนแกร่งอุ้มร่างบางขึ้นสู่อ้อมอก
“สงสัยนักโทษคนนี้จะถูกละเว้นเป็นกรณีพิเศษรึเปล่าวะ”
เคย์เดนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ พลางหันมาสบตากับภูวิศ
“เสือก!!”
ปริญเอ่ยด้วยโทนเสียงปกติ แววตาเฉยชาไร้อารมณ์
“แล้วน้องเขารู้เยอะไหม?”
โคเรย์อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“ไม่เท่าไร...แค่รู้ว่ากูค้าอาวุธแล้วใช้ท่าเรือของบริษัทตัวเองลักลอบส่งของให้ลูกค้า”
“เชี่ย!!...ไม่เยอะเลยเนอะ ถ้าเกิดเรื่องแดงขึ้นมาจะทำยังไงกัน”
“เธอไม่กล้าหรอก”
พูดจบเขาก็เดินไปที่ประตูทางเข้าที่เขาเดินเข้ามา ลูกน้องที่อยู่หน้าประตูเปิดประตูให้เขาเดินออกไปจากห้องนี้ โดยที่ไม่สนใจเพื่อนทั้งสี่ของเขาที่ยืนมองหน้ากันอย่างงงๆ เลยแม้แต่น้อย ทำไมเขาถึงเชื่อใจเธอได้ขนาดนั้น