นิรันดร์โทรบอกลูกน้องสนิท ให้ส่งคนมาคอยดูแลที่นี่เพิ่มอีกสามคน หรือเผื่อได้ใช้งานอะไรด้วย ก็จะได้ไม่ขลุกขลักนัก พร้อมกับบอกกล้วย ให้ดูแลปลายฝน อย่าคลาดสายตาจากน้องเป็นอันขาด แล้วพาตัวเองฉายเดี่ยว เข้าไปที่ Rehab and Nursing @ P.House อีกครั้งในบ่ายของวันถัดมา เตรียมตัวเต็มที่กับการเผชิญหน้ากับไอ้หมอตี๋นั่น
จอดรถแล้ว พาตัวเองออกเดินสำรวจโดยรอบ
พบว่าที่นี่แบ่งส่วนให้บริการออกจากกันชัดเจน ดูเป็นระบบกว่าที่เขาคะเนเอาไว้มาก ขวามือเป็นส่วนของผู้พักฟื้นเห็นได้จากป้าย แล้วมองตรงไปยังเบื้องหน้าที่เห็นว่าเป็นในส่วนของคลินิกกายภาพบำบัด
มีบางสิ่งบางอย่างดึงดูดให้เขาก้าวเดินไปตามทาง จนหยุดอยู่ที่หน้าคลินิกนั่น
“ติดต่อธุระอะไรหรือคะ”
เสียงถามของเจ้าหน้าที่คลินิกกายภาพบำบัดภายใน Rehab and Nursing @ P.House เอ่ยขึ้น นิรันดร์หันไปมองที่เจ้าหล่อน ใบหน้ายังอ่อนเยาว์ อายุคงยังไม่พ้นเบญจเพส ทักษะการต้อนรับน้อยนิด ดูก็รู้ว่าฝีมือไม่ถึงอาการของเขาแน่ บอกเสียงนิ่ง ที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้
“ผม...ต้องการทำกายภาพบำบัด”
ทางนั้นถามกลับทันที “คุณต้องการปรึกษาเรื่องอาการ
อะไรบ้างคะ”
“ผมปวดหลัง” ตอบออกไปสั้นๆ เจ้าหน้าที่ก็รีบกุลีกุจอ พาไปที่โต๊ะทันที
“รบกวน กรอกชื่อและประวัติในใบทะเบียนนี้ด้วยนะคะ”
นิรันดร์รับกระดาษและปากกาจากทางนั้นมาแล้ว ก็มองหญิงสาวในเสื้อกาวน์แขนยาวขาวสะอาดตรงหน้าอย่างชั่งใจครู่เดียว จึงไล่สายตาอ่านดูเนื้อความคร่าว ๆ บนกระดาษแผ่นนั้น ถามขณะที่มือกำลังจด ๆ จ้อง ๆ จะเขียนรายละเอียดลงไป
“คุณเป็นนักกายภาพบำบัด?”
“ใช่ค่ะ”
ได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย ก็อดนึกถึงอดีตภรรยาที่จากไปแล้วไม่ได้ ปิยมาภรณ์ของเขานั้น เธอเป็นนักกายภาพบำบัดเช่นกัน ตอนพบกันครั้งแรก เขาจำได้แม่นทีเดียวว่าเธอเพิ่งจบใหม่ จึงไฟแรง และมีท่าทีกระตือรือร้นมาก
ถอนใจยาว ไม่ถามอะไรต่อ ก้มลงอ่านสิ่งที่ต้องกรอก แล้วใส่รายละเอียดของตนลงในนั้น
เทียนหอมลอบมองคนมาใหม่ด้วยสายตาติดจะชื่นชมอยู่ไม่น้อย เพราะชายรุ่นราวคราวลุงคือสเปคชายในฝันของตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย มองแล้วก็ว่าชายคนนี้มีใบหน้าหล่อเหลาทีเดียว ดูคล้ายจะมีเชื้อชาติมหาอำนาจผสมในสายเลือดอยู่เล็กน้อย เลยทำให้มองแล้ว ก็ชวนพิศซ้ำอีก ถ้าไม่เกรงสายตาคู่คมดุของเขาเสียก่อน
รูปร่างดูบึกบึนแข็งแกร่ง สูงใหญ่เกินมาตรฐานชายไทย ขนาดใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นแบบธรรมดา ยังเห็นเลยว่าตรงไหล่นั่นกำยำขนาดไหน มัดกล้ามค่อนข้างชัดเจน ดูไม่ใหญ่เทอะทะจนเกินไป เหมาะสมดูดีไปหมดทั้งตัว อีกทั้งบุคลิกภาพยังดูสง่ามีราศี และไม่ใช่คนที่จะพูดจาเล่นหัวด้วยได้ ดูจากคำถามคำตอบสั้น ๆ ของเขาประไร ทำเอาเทียนหอมแทบไปต่อไม่เป็น
น่าจะถือตัวอยู่มากทีเดียว
ขิมแขเคยสอนให้ดูลักษณะของคน ก็ปรากฏเห็นเป็นตามอย่างที่สาวรุ่นพี่บอกเอาไว้แทบทุกอย่าง เลยสงบปากสงบคำ ไม่ถามอะไรให้มากความไปกว่านี้
ได้รับการตรวจและรักษาจากนักกายภาพบำบัดหญิงสาวคนนั้นจนเรียบร้อย เจ้าหล่อนนัดให้มารักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อผลการรักษาที่ดี นิรันดร์คิดว่าอาจต้องมาอีกสักครั้งแต่มาเพราะต้องการสืบหาข้อมูลบางอย่าง เมื่อได้แล้ว เขาคงไม่มาที่นี่อีกเป็นอันขาด ไม่ได้มีอะไรดึงดูดเขามากพอจะให้มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คลินิกกายภาพบำบัดไม่ได้มีที่นี่ที่เดียวเสียหน่อย
แล้วจึงพาตัวเองเดินออกจากคลินิกนั่น มองรอบ ๆ รีสอร์ต เก็บข้อมูลเท่าที่ได้ ค่อยขึ้นรถ ขับออกไป ต่อสายหาเดชาพลเพื่อพูดคุยกันถึงเรื่องที่หารือเมื่อวานนี้
ทันทีที่ร่างสูงใหญ่ของคนไข้ลับหายจากประตูคลินิกไปแล้วนั่นเอง เทียนหอมก็พ่นลมหายใจพรืดออกมาคำโต
“รับมือยากมาก ๆ เลยเคสนี้ เดี๋ยวรอพี่ขิมมาก่อนเถอะ หอมจะส่งต่อให้พี่ขิม” แล้วหมุนตัวกลับเข้าคลินิก เพื่อทำเคสอื่นต่อจากนั้น ก็พอดีเห็นมิตร สาวใหญ่เจ้าของร้านอาหารไม่ไกลจาก Rehab and Nursing @ P.House หอบถุงข้าวกล่องใส่หน้ารถมอเตอร์ไซค์จอดลงพอดี
“ไหงวันนี้มาส่งเองละคะพี่มิตร”
“คนงานพี่สิคะงอแงหนูหอม ไม่ยอมมาทำงาน”
“มาค่ะ หอมช่วย”
“นี่พี่ทำบัวลอยมาให้น้องหอมด้วยนะคะ”
“รักพี่มิตรที่สุดในโลกเลยค่ะ”
เทียนหอมช่วยรับถุงใส่ข้างกล่องแล้ว มิตรก็ว่าขึ้น
“คนไข้หนูหอมนี่ มีแต่หล่อ ๆ ทั้งนั้นเลย เมื่อกี๊ก่อนพี่จะจอดรถ เห็นอยู่คน หน้าตาหล๊อหล่อ ตางี้คมเชียว”
นักกายภาพบำบัดสาวได้ยินก็รู้ทันทีว่ามิตรเล็งใคร หันหน้ามามอง พร้อมกับหรี่ตาถาม
“ที่เดินออกไปเมื่อกี๊นี้ใช่ไหมคะพี่มิตร”
“ใช่ค่ะ นั่นแหละน้องหอม”
“คุณคนนั้นแกก็หล่อดีหรอกค่ะ แต่ดุมาก...” เทียนหอมลากเสียงยาวแสดงถึงความดุที่ตนเพิ่งได้สัมผัสมาหมาด ๆ
“ว๊าย! พี่ชอบของดุ” มิตรหวีดเสียงบอกด้วยแววตาสยิว ก่อนจะกระแอมแก้เก้อให้ตัวเอง “พี่หมายถึงชอบผู้ชายหน้าดุค่ะ ถ้าได้มองหน้าดุ ๆ หล่อ ๆ หุ่นล่ำ ๆ แบบนั้นทั้งวันทั้งคืน พี่ยอมให้ดุค่ะน้องหอม”
เทียนหอมยิ้มแหยเลย ทีแรกเธอก็ชอบเขาหรอก เห็นว่าหล่อ สมาร์ทดี แต่พอได้สัมผัสใกล้ ๆ แล้ว ก็พบว่าชายหนุ่มหล่อที่มิตรชมไม่ขาดปากนั้นวางตัวเหนือคนอื่นมากจนเกินไป เข้าถึงยาก เลยโบกมือลาไม่เอาดีกว่า วางถุงข้าวกล่องแล้ว ออกปากชวนมิตรกินยำมะม่วงเบากุ้งสดด้วยกันก่อนกลับไปทำงานของตัวเอง
ขิมแขมองชาติชาย คนสนิทของนายแพทย์พิริยะที่นำเอกสารมาส่งให้ที่ฝ่ายบริหาร ทักถามอะไรกันครู่เดียวก็ค่อยผละจากมา ตรงเข้าคลินิกกายภาพบำบัดก่อนเวลานัดหมาย
วันนี้เธอนัดกับคนไข้หญิงสูงวัยอายุเฉียดแปดสิบปี พอเดินผ่านประตูเข้ามาแล้ว ก็พบว่าคนไข้นั่งรอเธออยู่ ทางนั้นเห็นเธอก็ยิ้ม ร้องเรียกเธอด้วยสีหน้าแช่มชื่น
“อาคุงหมอมาแล้ว”
จึงยกมือไหว้ท่านพร้อมทักทาย
“สวัสดีค่ะอาม่า ใครมาส่งคะวันนี้”
“ให้อาคุงวอราพงมาส่ง อีว่างพอลี”
วรพงศ์ บุตรชายคนกลางของหญิงคนไข้คอยรับส่งมารดามาทำกายภาพบำบัดที่นี่เป็นประจำ รีบฟ้องขิมแข “คุณแม่ปวดหลังอีกแล้วนะครับหมอขิม”
“อ้าว ไปทำอะไรมาอีกคะ”
“นั่งทำแตงโมกวนน่ะสิครับ”
อาม่าเห็นลูกชายตัวเองเอ่ยปากฟ้องเธอ ก็รีบขัดตัดบทกลัวถูกเธอเอ็ด “อาม่าทำมาฝากคุงหมอ คุงวอราพงลื้อหยิบถุงที่เบาะหลังมาด้วยหรือเปล่า”
“เดี๋ยวผมกลับไปหยิบให้ครับม่า” บุตรชายบอกยิ้มๆ
“ขอบคุณมากค่ะ แต่ม่าไม่ต้องทำมาฝากขิมหรอกนะคะ ดูสินั่งนาน เดี๋ยวหลังได้พังกันพอดี ให้ขิมทายนะ...ม่านั่งกวนกับเตาถ่าน ตรงเก้าอี้ซักผ้าใช่ไหมคะ”
คนไข้สูงวัยยิ้มแป้นไม่ยอมตอบ เท่านี้ก็รู้แล้วว่าจริงอย่างที่เธอทักเอาไว้ คุยกันอีกสองสามประโยค ค่อยพาเข้าห้องรักษาด้านในหลังจากนั้น อบแผ่นร้อนให้หญิงชราแล้ว จึงออกมาดูคนไข้รายต่อไป
บุตรชายของคนไข้ที่ชื่อวรพงศ์ ขยับตัวลุกเดินตรงมาหาเธอ ตอนที่ขิมแขเดินออกมารับเคสใหม่เข้าห้องรักษา เขาส่งถุงให้ ขิมแขยื่นมือออกไปรับ ทางนั้นก็ถือโอกาสกุมมือเธอเอาไว้เสียแน่น แถมยังส่งสายตาที่มองแล้วอยากเอาของส่งกลับคืนให้อีกฝ่ายเสียนัก ถ้าไม่ติดว่าเป็นของฝากจากหญิงสูงวัย มารดาของเขา “นี่ครับที่อาม่าทำมาฝาก ส่วนอันนี้ของฝากของผมครับคุณหมอขิม”
ขิมแขไม่แสดงสีหน้าใด ๆ เธอรับของฝากนั่นแล้วส่งให้ทางแม่บ้านของคลินิก นำไปไว้ที่ห้องพักทางด้านหลัง แล้วเข้าไปดูแลคนไข้รายอื่นต่อจากนั้น จวบจนทำการรักษาคนไข้จนเรียบร้อยแล้ว ส่งกลับจนหมด เทียนหอมถึงเข้ามานั่งคุยด้วย ทำล้อเลียนตามอย่างอาม่าแทบไม่ผิดเพี้ยนเลยสักนิดเดียว
“อาคุงวอราพงนี่แกเหนียวแน่นมาก ๆ เลยนะคะอาพี่ขิม รู้ว่าอาพี่ขิมไม่โสด ก็ยังจะพยายามอยู่อีก”
ขิมแขแกล้งถอนใจยาว ส่ายหน้าเบา ๆ ถามกลับ ทั้ง ๆ ที่พอจะรู้ความหมายของอีกฝ่าย
“เหนียวแน่นอะไรของเรา หืม...”
“อ้าว ก็หยอดขนมจีบให้พี่ขิมนี่ยังไงล่ะคะ”
“คิดมากไปเรื่อยเรานี่”
“งู้ย...ดูตาแกก็รู้ค่ะ คนไม่คิดอะไร ไม่มีทางมองพี่ขิมแบบนี้แน่”
“มองแบบไหน” ขิมแขถามแล้วรอคำตอบจากสาวรุ่นน้อง
เทียนหอมแกล้งทำตาหวานเชื่อมเกินจริง กระพริบตาปริบ ๆล้อเลียนเธอ เลยส่ายหน้าเบา ๆ อีกรอบ ไล่ให้ไปเขียนใบบันทึกการรักษาของตัวเอง เทียนหอมขยับลงนั่งที่ว่างข้าง ๆ หยิบระเบียนคนไข้ขึ้นมามอง แล้วก็ว่าขึ้น เหมือนเพิ่งนึกได้
“เอ้อ! พี่ขิม วันนี้มีเคสมาใหม่เคสหนึ่งด้วย”
“อืม ก็เห็นมีใหม่มาเรื่อย ๆ คนนี้มีอะไรพิเศษเล่ามาเถอะ อย่ามัวอ้อมอยู่เลย”
“แหม พี่ขิมนี่รู้ทันน้องตลอด”
เทียนหอมบ่นแล้วก็นั่งยิ้ม ขิมแขหยุดเขียนรายงานครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเทียนหอมยังเงียบ ไม่เปิดปากเล่าแบบทุกที เลยเอ่ยแซวยิ้ม ๆ
“สงสัยงานนี้ น้องพี่จะสละโสดแล้วมั้ง”
“พี่ขิมอ่ะ คิดไปไกลอีกแล้ว”
เทียนหอมว่าจบก็ลากเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้ ๆ เล่าให้ฟัง
“เคส Low Back Pain ค่ะพี่ขิม มาอย่างหล่อเลยค่ะ อย่างกับ...” เทียนหอมเอาไปเปรียบกับคนในวงการบันเทิงที่เป็นนักแสดงนักร้องคนดัง ที่แม้อายุจะเข้าหลักสี่ปลาย ๆ ไปแล้ว แต่ก็ยังหล่อเหลาไม่ต่างจากสมัยหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
“หล่อแล้วยังไงต่อ”
“ก็ไม่แล้วไงหรอกค่ะ หอมว่าเขาต้องไม่กลับมาอีกแน่เลย เหมือนเขาไม่พอใจการรักษาของหอม”
“อันนั้นก็เป็นสิทธิ์ของคนไข้ที่เขาจะมาหรือไม่มาอีก เครียด
ทำไม พี่รู้ว่าหอมทำเต็มที่แล้ว” ท้ายประโยคปลอบใจเทียนหอมกลับ
“พี่ขิม”
“ฮืม”
“ถ้าเคสนั้นมาอีก พี่ขิมเข้าไปทำแทนหอมได้ไหมคะ”
“ชอบทำไมไม่ทำเองเล่า เรานี่ยังไง” ขิมแขถามขำ ๆ คว่ำใบบันทึกรักษาลงข้าง ๆ หยิบใบที่เหลือมาลงบันทึกต่อ
“อยากให้พี่ขิมทำนี่คะ อาการเขา หอมว่ามันยังไงก็ไม่รู้ อีกอย่างนะพี่ขิม ถ้าเคสนี้ได้เจอพี่ขิม หอมมั่นใจว่าเขาจะต้องมารับการรักษาต่อเนื่องตามนัดแน่ ๆ”
ขิมแขถามกลับอย่างนึกขัน “พี่ดุเบอร์ไหนกัน ถึงจะทำให้คนไข้มาได้ทุกนัดขนาดนั้น”
“ใช่ที่ไหนล่ะคะ พี่ขิมทำเคสไหน หายทุกเคสต่างหาก จนหอมเป็นพีทีเองยังอายเลยเนี่ย
ฟังอีกฝ่ายเล่าจบก็ไม่ได้ซักถามอะไร แล้วพยักหน้ารับว่าจะช่วยดูคนไข้รายนั้นให้ ชวนสาวรุ่นน้องคุยต่อจากนั้น
“หมอพีกลับมาเมื่อวาน หอมรู้ยัง”
เทียนหอมที่เข้าหน้านายแพทย์พิริยะไม่เคยติด ทำปากยื่น บอก “ดีนะ แกไม่แวบมาแถวนี้ เดี๋ยวได้หาเรื่องว่างานเราอีก…ทำไมวันนี้เคสน้อยจัง จะพอจ่ายเงินเดือนคุณหรือเปล่า ปิดคลินิกแล้ว อย่านอนอู้ นอนอบโดยไม่ได้รับอนุญาตล่ะ คราวนี้ผมจะให้ฝ่ายบริหารหักค่าไฟจากเงินเดือนของคุณ” ทำเลียนเสียงนายแพทย์พิริยะประกอบคำพูดเหล่านั้นไปพลาง จนขิมแขได้แต่ส่ายหน้าเบา ๆ ให้คนเจ้าคิดเจ้าแค้น คุยต่ออีกเรื่อง
“เพื่อนเจ้าภูก็มาด้วยนะเมื่อวาน”
เทียนหอมตาโตถามกลับ “คนไหนคะ”
“ก็เพื่อนผู้หญิงคนนั้นของเขาไง”
“ว๊าย! แม่เด็กแก่แดดนั่น ตามมาหาน้องภูถึงที่นี่เลยหรือคะ เด็กสมัยนี้นี่ร้ายจริง ๆ เลยเชียว”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
ขิมแขรีบหยุดปากเทียนหอมแล้วเล่าให้ฟังต่อ “จำได้ไหมที่ของตาล้วนที่ว่าหมอพีอยากได้ แต่แกขายให้คนอื่นไปแล้วน่ะ พ่อเพื่อนเจ้าภูนี่แหละเป็นคนซื้อเอาไว้ แล้วก็สร้างบ้านพักตากอากาศตรงนั้นเลย”
เทียนหอมนิ่งคิดตาม ถามกลับ
“ใช่บ้านหลังสวย ๆ ที่เพิ่งสร้างเสร็จนั่นไหมคะพี่ขิม”
ขิมแขพยักหน้า พร้อมกับคิดไปว่าช่างบังเอิญเสียจริง เทียนหอมก็เดามั่วขึ้นมาอีก “ไม่ใช่เด็กคนนั้น รู้ว่าใกล้บ้านน้องภู ก็เลยไปบอกให้พ่อเขากว้านซื้อที่หรอกหรือคะ”
“ไม่หรอกมั้ง”
“ต้องใช่แน่ ๆ เลยพี่ขิม หนอย...พ่อของเด็กแก่แดดนี่เขาเลี้ยงลูกยังไงคะ คงเป็นพวกมีเงินที่วัน ๆ ปล่อยให้พี่เลี้ยงช่วยดู แล้วตัวก็เที่ยวตะลอน ๆ ไปทั่ว อ้างว่างานยุ่งแน่ ๆ เดี๋ยวเจอหน้านะ หอมจะถามหน่อย ว่าปล่อยให้ลูกสาวตามผู้ชายต้อย ๆ แบบนี้ไม่อายเลยหรือยังไง น่าเกลียดชะมัดเลย ทั้งพ่อทั้งลูกนั่นแหละ”
“อาการหนักแล้วนะหอม”
“ไม่ได้หรอกค่ะ น้องภูนี่ว่าที่สามีแห่งชาตินะคะ หอมต้องปกป้องน้องเอาไว้สุดชีวิต”
“แล้วเคสคุณคนนั้นล่ะ เลิกสนใจแล้ว?”
“คุณคนนั้นหอมก็ไม่ได้ทิ้งค่ะ ผู้ชายมีน้อยต้องคอยกัน คอยเขี่ยพวกชะนีไม่ดี ไม่ให้มายุ่มย่ามสิคะพี่ขิม”
ขิมแขหัวเราะให้กับภารกิจของเทียนหอม เที่ยวกันท่าไปทั่วแบบนี้ไม่ดีแน่ สองสาวคุยกันอีกหลายเรื่องแล้วถึงได้เคลียร์ของในคลินิกจนเสร็จ ค่อยแยกย้ายกลับที่พักของตนเองในเวลาต่อมา
“พี่ขิมคะ”
เทียนหอมยื่นหน้ามากระซิบตอนสายของวันถัดมา ขณะที่เธอกำลังพาอดีตท่านนายพลฝึกเดินจนเรียบร้อยแล้ว ส่งต่อคนไข้ให้ผู้ช่วยอบแผ่นร้อนที่บริเวณหลัง ค่อยผละมาหา
“มีอะไรหอม”
“เคสเมื่อวานมาแล้วค่ะ”
“คนไหน”
เทียนหอมทำหน้าขัดใจเล็กน้อย บอก “ก็คนที่หอมเล่าให้ฟังยังไงล่ะคะ”
เทียนหอมย่ำเท้าเบา ๆ แสดงอาการดีใจออกนอกหน้า เมื่อเคสนั้นกลับมาที่นี่อีกครั้ง แล้วส่งใบบันทึกประวัติการรักษาให้ขิมแขดู พอเห็นว่าเป็นใคร ขิมแขนิ่งไปเป็นครู่
“พี่ขิมช่วยดูเคสนั้นให้หอมหน่อย เดี๋ยวหอมดูเคสใหม่ให้เอง” เทียนหอมอ้อนวอนด้วยท่าทีน่าสงสาร ก่อนจะยื่นใบสมัครส่งมาให้ตรงหน้า เหมือนกับเตรียมมาเอาใจเธอ
“คอร์สที่พี่ขิมอยากเรียน ทางมอ...เขาเปิดรับสมัครแล้วนะคะ ไปด้วยกันไหม รีบส่งก่อนบ่ายวันนี้นะคะ เดี๋ยวเต็ม ได้อดไปอีก”
“ค่าสมัครเท่าไรหอม”
“แพงอยู่เหมือนกันค่ะ หอมยอมควักเงินเก็บมาลงทะเบียนเลยรอบนี้”
ขิมแขรับมาอ่านใจความสำคัญ หัวข้อที่วิทยากรจะสอนแล้วก็ว่า “เดี๋ยวพี่ช่วยพูดกับงานบริหารให้เขาทำเรื่องเบิกให้เราเอง ไม่ต้องเอาเงินตัวเองออกหรอก”
“ขอบคุณค่ะพี่ขิม น่ารัก ใจดี สายเปย์ไม่มีใครเกินพี่สาวของน้องอีกแล้ว” เทียนหอมกระโดดเบา ๆ ด้วยความดีใจ แล้วก็หยุดยืนมองเธออีกรอบด้วยแววตาอ้อนวอน เสียงอ่อยลงอีกสองระดับ
“แต่ว่า ตอนนี้ดูเคสนี้ให้หอมก่อนได้ไหมคะพี่ขิม พลีส...”
“หลอกใช้พี่ตลอดเลยเราน่ะ”
“หลอกที่ไหนคะพี่ขิมนี่ล่ะก็ แปลเจตนาน้องไม่ดีอยู่เรื่อยเลย”
ขิมแขเปิดใบบันทึกประวัติเคสที่เทียนหอมส่งให้ดูคร่าว ๆ หูแว่วเสียงทักทายสดใสเปี่ยมด้วยไมตรีของเทียนหอมที่ด้านหน้าคลินิกแล้ว พอจะหันไปบอกว่าให้รับทำเอง
“สวัสดีค่ะ”
ส่ายหน้าเบา ๆ แล้วก้มลงมองที่ใบบันทึกการรักษาในมืออีกครั้ง เปิดออกอ่านรายละเอียดจนครบถ้วนดีแล้ว ถึงได้เดินตรงไปยังห้องที่ให้การรักษาที่คนไข้รายนั้นในนาทีต่อมา