14

4328 Words
          เสียงใสแจ๋วของปลายฝนคุยเจื้อยแจ้วตลอดเส้นทาง โดยมีเด็กหนุ่มอีกคนนั่งฟัง พยักหน้าตาม โดยไม่ได้เอ่ยปากพูดตอบโต้สักเท่าไร ใครมองมาอาจคิดว่าเด็กหนุ่มคงคุยตามไม่ทัน แต่ตามจริงแล้ว อีกฝ่ายเต็มใจจะเป็นผู้ฟังของเด็กสาวมากกว่า ภาพของเด็กสองคนบนรถตู้โดยสาร เรียกความสนใจให้คนบนรถอยู่ไม่น้อย เพราะท่าทีของพวกเขาไม่เหมือนกับจะใช้บริการรถสาธารณะแบบนี้ได้เลย คงเพราะแว่วเสียงเด็กสาวถามคนนั่งข้าง ๆ อยู่ตลอดว่าที่นี่คือที่ไหน อีกนานไหมกว่าจะถึงจุดหมาย           ปลายฝนหันกลับมาคุยกับภูผาเรื่องที่ค้างกันอยู่เมื่อครู่ พูดออกมาครู่เดียวก็หยุด แล้วเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ทำไมทำหน้าแบบนั้น”           เด็กหนุ่มมองตอบมาแล้วบอกไม่เต็มเสียงเท่าไรนัก “ภูไม่สบายใจเลยฝน”           “ที่มากับฝนน่ะหรือ”           ส่ายหน้าให้อีกฝ่าย แล้วแก้ไขประโยคใหม่ “ที่เรามาโดยไม่บอกใครเลยน่ะสิ”           “เที่ยวทะเลแค่สองวันเองภู ฝนสัญญา ว่าถ้าฝนสบายใจแล้ว ฝนจะกลับทันที แล้วเดี๋ยววันกลับนะ ฝนจะไปรับโทษกับคุณน้าเอง บอกว่าเป็นฝนที่ฉุดภูขึ้นรถมาด้วยกัน ท่าทางคุณน้าใจดีออก ไม่น่าจะว่าอะไร” คนที่จะดุว่าน่าจะบิดาของตัวเองเสียมากกว่า           ภูผาลอบถอนลมใจอีกครั้ง ที่ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ตอนที่ปลายฝนโทรหาเขา เจ้าตัวร้องห่มร้องไห้จนเขาตกใจ แล้วก็สะอึกสะอื้นบอกว่าตัวเองไม่สบายใจเลยที่ถูกบิดาดุว่าเรื่องเมื่อคืน แล้วก็อยากปลีกตัวไปหาที่เงียบ ๆ นั่งสงบสติอารมณ์สักชั่วโมงสองชั่วโมง จนสบายใจกว่านี้หน่อยก็จะกลับบ้าน พอมาตอนนี้ บอกเพิ่มจากสองชั่วโมงเป็นสองวันแล้ว อยากแย้งจังว่าจะยืดเวลาออกอีกไหม แต่เดี๋ยวปลายฝนก็จะงอนเขาอีก ปลายฝนหยุดร้องไห้แล้ว ก่อนหน้าเอาแต่ร้องไปบ่นไปเรื่องพ่อของตัวเองจนตาบวมตุ่ย บอกว่าพ่อไม่เคยเข้าใจเธอเลย เอาแต่บังคับ ขู่เข็ญ พอเขาเข้าข้างบิดาของเธอ ปลายฝนก็ร้องไห้หนักกว่าเก่าแล้วก็บอกว่าตัวเองจะหนีออกจากบ้าน เขาเลยรีบออกมาเป็นเพื่อน ทีแรกตั้งใจจะพาไปเดินน้ำตกเล็ก ๆ ไม่ไกลจากบ้านนัก แต่ปรากฏว่าปลายฝนอยากไปไกลกว่านั้น แล้วก็ฉุดเขาขึ้นรถสองแถวเข้ามาในตัวเมือง พอถึงตัวเมือง ปลายฝนก็ดึงแขนเขาให้ขึ้นมาบนรถตู้สาธารณะคันหนึ่งด้วยกัน เลยต้องปล่อยเลยตามเลย แล้วค้นหาที่พักในมือถือ จนมาโผล่ที่จังหวัดติดชายทะเลในที่สุด           แล้วตอนนี้โทรศัพท์ของภูผาก็แบตหมดเกลี้ยงแล้ว จะโทรบอกมารดาว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหน ก็ยังไม่มีจังหวะได้ทำเช่นนั้น คิดแล้วก็อดทอดถอนใจเฮือกอีกครั้งไม่ได้ ป่านนี้มารดาของเขาคงรู้แล้วว่าเขาหายไป ท่านคงวุ่นวายใจใหญ่โต เพราะไม่ได้บอกอะไรท่านเลย           คิดว่าถึงปลายทาง จะต้องติดต่อกลับหาท่านให้ได้ บอกว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ใด จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง           “ถ้าฝนสบายใจแล้ว ภูว่าเรากลับบ้านกันพรุ่งนี้เลยดีไหม”           ปลายฝนนิ่งไม่ตอบตกลง แล้วจับจูงมือภูผา พาเดินตามหาที่พักที่ค้นจากโทรศัพท์จนพบ พร้อมเช็คอินที่นั่นในเวลาต่อมา      “ไม่มีค่ะคุณ”           “ลองหาอีกทีได้ไหมคะ สองคนนั่นยังเด็กอยู่นะ” ขิมแขลองมายังที่พักที่เจอในช่องค้นหา ไม่ใช่โรงแรมใหญ่โตอะไร เป็นเพียงอพาร์ทเม้นต์สามชั้นเท่านั้น จึงไม่ได้มีกฎระเบียบเข้มงวดมากมายในการคัดกรองคนเข้าพัก ตอนมาถึงนี่ก็ล่วงเข้าสามทุ่มไปแล้ว ถ้าไม่มัวจอดติดฝนอยู่  ป่านนี้อาจเจอตัวเด็กสองคนนั่นแล้วก็เป็นได้           อ้าปากจะเค้นถามพนักงานที่เฝ้าตรงเคาน์เตอร์ แต่แล้วกลับถูกเสียงทรงอำนาจของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอ ถามขัดขึ้นเสียก่อน           “ที่นี่มีใบอนุญาตหรือเปล่า”           หญิงหลังเคาน์เตอร์มองจ้องไปที่นิรันดร์ พอเห็นวาจาท่าทีของชายร่างสูงดูกร่าง เอาเรื่องก็นิ่งไป ขิมแขอดเหลือบตามองคนที่ขู่ขัดหน้าเธอไม่ได้ คิดอย่างขำ ๆ ว่าคงทำจนเคยตัวสินะ แต่แล้วกลับไม่นึกรังเกียจหรือเขม่นอะไรเขา เพิ่งเห็นข้อดีของการขู่อวดเบ่งก็ครั้งนี้เอง           “เดี๋ยวเช็คข้อมูลดูก็รู้ว่ามีหรือไม่มี เปิดโดยไม่มีใบอนุญาต จะได้สั่งปิดไปซะ”           หญิงคนนั้นตวัดตามองทางนิรันดร์นิ่งอยู่เดี๋ยวเดียว ก็หมุนตัวคว้ากุญแจที่แขวนทางหลังเคาน์เตอร์ พาเดินไปยังห้องพักทางด้านบน           เห็นว่ามุกของเขาใช้ได้ผล ก็อมยิ้มหน่อยหนึ่ง ว่าเบา ๆ           “ขู่จนติดเป็นนิสัย”           นิรันดร์ได้ยินคำพูดของเธอแล้วก็ปลายตามองหน่อยหนึ่ง แล้วขยับเข้ามากระซิบถาม “อย่าบอกนะว่าคุณเริ่มชอบแล้วน่ะ” มองเขาอย่างเคือง ๆ แต่ก็อดอมยิ้มไม่ได้ แล้วเดินตามพนักงานหญิงคนนั้นไป ส่วนเขารั้งอยู่ท้ายสุด           ทันทีที่ไขห้องเข้าไปได้ ก็ยืนกันนิ่ง เพราะไม่มีใครเลยในห้องพัก แต่มีโทรศัพท์ในเคสที่ขิมแขจำได้แม่นว่าเป็นของภูผา วางอยู่บนเตียงนอน           เธอเดินเข้าไปสำรวจในห้อง เริ่มจากโต๊ะที่มีกระเป๋าอีกใบวางอยู่ เดาว่าคงเป็นของปลายฝน ก็วิสาสะเปิดมันออก พบไดอารี่ข้างในนั้น จึงล้วงหยิบมันออกมา สุ่มเปิดขึ้นมาหน้าหนึ่ง พบข้อความข้างใน เขียนด้วยลายมือน่ารัก ๆ             ‘ลูกไม่เคยเปลี่ยน มีแต่คุณพ่อนั่นแหละที่เปลี่ยนไป’           อดเหลือบไปมองคนที่ถูกเขียนถึงในไดอารี่ไม่ได้ แล้วเปิดดูหน้าต่อไปจากนั้น ก่อนจะขนลุกชันขึ้นทั้งตัวเมื่ออ่านข้อความในหน้านั้นจบลง                     ‘เดี๋ยวจะชวนภูไปกระโดดจากผาสูง ๆ ด้วยกัน อย่างน้อยถ้าตาย ก็จะได้มีภูไปเป็นเพื่อน บางที...อาจทำให้คุณพ่อไม่ต้องมาคอยบ่น คอยจู้จี้ คอยดุอีกก็ได้...’                     ขิมแขปิดสมุดลง หันไปถามกับพนักงานหญิงคนที่นำขึ้นมาบนห้องพักห้องนี้ด้วยสีหน้าตื่นตะหนก “แถวนี้มีหน้าผา หรือ จุดชมวิวตรงไหนบ้างไหมคุณ” ทางนั้นนิ่งคิดอยู่เดี๋ยวเดียวค่อยตอบกลับมา พอได้คำตอบแล้ว จึงผลุนผลันวิ่งกลับลงไปยังชั้นล่างดังเดิม โดยมีนิรันดร์ตามหลังมาติด ๆ ด้วยแววตาสงสัย           “มีอะไร เกิดอะไรขึ้นหรือคุณ” เสียงของเขาดังตามหลัง           เธอไม่มีเวลาตอบคำถามของเขา ส่งไดอารี่ให้เปิดอ่านเอาเอง นิรันดร์รับมาเปิดอ่านหน้าที่เธอคั่นไว้จนจบ ก็เป็นเขาที่แทบจะพุ่งตัวนำหน้าไปก่อน และเป็นเขาที่ขับรถของเธอไปยังจุดชมวิวที่ว่านั่น           ขิมแขทั้งอึดอัด ทั้งไม่สบายใจ เมื่อต้องเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวในเวลาดึกดื่นอย่างนี้ ในใจคิดไปต่าง ๆ นานา เครียดและกังวล ไม่รู้จะพบเด็กสองคนนั่นไหม และเมื่อก้าวขาขึ้นไปจนถึง ก็โล่งใจในทันที           เมื่อพบเงาลาง ๆ ของคนสองคนตรงจุดชมวิวตรงนั้น “ภู” ขิมแขได้ยินตัวเองเอ่ยออกไปด้วยเสียงแหบ แผ่วลงเล็กน้อย           ภูผาที่นั่งหันหลังอยู่กับปลายฝนชะงักงัน ในใจคิดว่าตนหูแว่วเสียงมารดา แต่พอหันกลับมา เห็นมารดายืนอยู่ตรงด้านหลังพร้อมกับบิดาของปลายฝน เจ้าตัวก็ออกจะตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ไม่แสดงอาการแต่อย่างใด เสียงที่เอ่ยออกมา ก็ฟังดูอ่อยลงอยู่เหมือนกัน           “คุณแม่...”           “ปลายฝน นี่ลูกทำอะไรลงไปรู้ตัวไหม ลูกกำลังจะฆ่าพ่อ ลูกรู้ไหม ทำไมลูกทำตัวแบบนี้”           ขิมแขคิดว่าจะได้ยินเสียงของชายผู้เป็นพ่อโกรธจัด ตวาดดังลั่น ก้องไปทั่วทั้งบริเวณเสียอีก แต่ความเป็นจริงนั้นคือเสียงเขาเองก็แหบพร่าแผ่วลงเช่นกัน ไม่ใช่เพราะเหนื่อย เธอหันไปมองเขา แววตาที่เห็นคือแววตาของชายที่กำลังหวาดกลัว ราวกับไม่ใช่เขา ไม่ใช่นิรันดร์อย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว           ผู้ชายร่างสูงใหญ่เหมือนหมี กลัวความสูงหรือ           จากตรงที่ยืนตรงนี้ ก็ไม่ได้สูงมากมายอะไรนี่นา แต่หากพลาดพลั้งกลิ้งตกลงไป คาดว่ารอดยาก เพราะด้านล่างเป็นโขดหินและทะเลคลื่นสูง ลมค่อนข้างแรงอยู่เหมือนกัน           ยังคงนึกสงสัยไม่หายว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้คนอย่างเขาหวาดหวั่น หวาดกลัว           ภาพของภรรยาที่ติดอยู่ในซากรถจากอุบัติเหตุตกลงในหุบเหวจนไหม้แทบเป็นชิ้นเดียวกันกับเศษเหล็ก พาดผ่านเข้ามาในหัวของนิรันดร์ในวินาทีนั้น           และที่ทำให้เขาหวาดกลัวคือการต้องสูญเสียบุตรสาวที่รักสุดดวงใจไปอีกคน           ร่างสูงใหญ่เดินตรงเข้าไปหาบุตรสาวของเขาราวกับคนไร้จิตวิญญาณ ปลายฝนเห็นแบบนั้นแล้วก็ดึงแขนภูผาให้ถอยหนี จนไปเบียดเข้ากับราวเหล็กที่กั้นอยู่ทางด้านหลังนั่น ปากก็ร้องห้ามบิดาตัวเองไปพลาง           “คุณพ่ออย่าเข้ามานะคะ ไม่อย่างนั้นลูกกับภูจะกระโดดลงไปเดี๋ยวนี้เลย”           ภูผามองใบหน้าน่ารักและมือเล็ก ๆ ของปลายฝนที่จิกแขนของตนเสียแน่น ก็ค่อยเอื้อมมือแตะเบา ๆ อย่างต้องการปลอบโยนอีกฝ่าย เด็กหนุ่มไม่ได้นึกกลัวเลยสักนิด แต่ที่เขากังวลอยู่ในตอนนี้คือความรู้สึกของปลายฝน ขิมแขเห็นแบบนั้นแล้วให้ใจหายไม่น้อย เข้าไปรั้งแขนนิรันดร์เอาไว้ แต่ก็สู้แรงเขาไม่ไหว จึงออกแรงกระตุกให้เขาหยุดก่อน มองเห็นสถานการณ์แล้ว ก็ว่าแบบนี้คงไม่ได้การแน่ ก่อนหน้ายังนึกชมเขาอยู่เลย มานาทีนี้บอกตามตรงว่าหมดศรัทธาในตัวเขาแล้ว           เลยออกปากรั้งเด็กทั้งสองคนเอาไว้เอง           “ปลายฝน ภูผา อย่าขยับถอยหลังนะลูก เดินเข้ามาหาแม่ก่อน ฝนคะเดินกลับมาหาน้าก่อนได้ไหมลูก หนูอยากตกลงอะไรกับคุณพ่อของหนู เรามาคุยกันตรงนี้มา”           “ไม่ค่ะ ฝนจะไม่ทนกับคุณพ่ออีกแล้ว คุณพ่อเอาแต่ห้ามฝน ฝนไม่อยากกลับบ้านอีกแล้ว กลับไปก็วนไปเป็นแบบเดิมอีก บ้านหรือคุกกันแน่ นี่คุณพ่อเป็นพ่อหรือเป็นผู้คุมคะ!” เด็กสาวบอกจบ ลากแขนภูผาเบียดไปทางด้านหลังอีกครั้ง เห็นแล้วก็หวาดเสียวไม่น้อย ยกมือรั้งเด็กสองคนเอาไว้ พร้อมกับวอนขอเสียงนุ่มนวล           “เดี๋ยวลูก ใจเย็น ๆ ก่อนนะ ขยับออกจากตรงนั้น มาคุยกันตรงนี้ได้ไหมลูก”           เด็กสาวส่ายศีรษะ ร้องว่า “ไม่ค่ะ”           นิรันดร์ยกมือขึ้นอย่างยอมจำนน บอกกับบุตรสาวของตัวเอง“ปลายฝน เขยิบมาทางนี้ก่อนเถอะลูก จะให้พ่อทำอะไร พ่อยอมแล้วทูนหัว ขออย่างเดียว ขยับมาคุยกันตรงนี้ก่อน”           แม่ตัวดีมองบิดาอึดใจเดียว ถามย้ำท่านอีกที “คุณพ่อ ยอมลูกแล้วหรือคะ”           “ใช่ครับ พ่อยอมลูกแล้วทุกอย่าง ตอนนี้พ่อขออย่างเดียว ขอแค่ลูกก้าวขามาข้างหน้า มาคุยกันตรงนี้”           “คุณพ่อต้องสัญญาก่อน ว่าจะยอมลูกแล้วจริง ๆ ไม่พลิกกลับคำไปมาอีก” “ครับ พ่อสัญญาครับ” ปลายฝนคล้องแขนภูผาขยับเดินออกจากราวกั้นเหล็กข้างหลังหนึ่งก้าว พร้อมกับต่อรองในทันทีที่สบโอกาส “คุณพ่อต้องไม่ห้ามพวกเราคบหากัน ห้ามกีดกันลูกไม่ให้ติดต่อพูดคุยกับภูทุกช่องทาง”           “มะ!” คนเป็นพ่อเปล่งเสียงจะกล่าวว่า ‘ไม่’ แบบไม่ทันได้คิดไตร่ตรอง แล้วก็นิ่งไป เมื่อเห็นสีหน้าของบุตรสาว พร้อมกับที่เจ้าตัวขยับถอยหลังหนีอีกครั้ง “เอ่อ ได้ครับ” นิรันดร์เค้นเสียงรอดไรฟันตอบกลับอย่างลำบากยากเย็น “ได้ครับ พ่อสัญญา แค่นี้ใช่ไหมครับที่ลูกต้องการ” “มีอีกค่ะ” เด็กสาวจับตามองบิดาตัวเอง อย่างต้องการกดดันท่านกลับบ้าง “คุณพ่อต้องรักและเอ็นดูภูผาเหมือนเป็นลูกของคุณพ่อคนหนึ่งค่ะ” ให้เอ็นดูไอ้เด็กหนุ่มนี่ ฝันไปเถอะ! แต่นิรันดร์ก็ไม่กล้าเอ่ยปากอย่างที่ใจคิด ได้แต่เค้นเสียงรอดไรฟันออกไปคำเดียวว่า “ได้!” ปลายฝนนิ่งคิดอีกข้อหนึ่งอย่างไว ๆ แล้วว่าต่อ           “ลูกอยากอยู่เที่ยวที่นี่อีกห้าคืนค่ะ”           “โธ่ คืนเดียวก็พอแล้วครับลูก” คนเป็นพ่อต่อรอง สืบเท้าเข้าหาลูกอย่างไม่ให้ดูกระโตกกระตากมากนัก ปลายฝนมัวแต่คิดจะต่อรอง ไม่ทันสังเกต ก็ลดจำนวนคืนลงมาอีกหนึ่งอย่างชั่งใจ ชูมือบอกบิดาประกอบคำขอของตนเอง           “งั้น...สี่คืนค่ะ”           นิรันดร์เดินเข้าหาบุตรสาวจนถึงตัวได้ในที่สุด ยื่นมือออกไปลดนิ้วนางกับนิ้วก้อยของลูกลง ต่อรองกลับเช่นกัน “สองคืนก็พอครับทูนหัว”           คนเป็นลูกมองนิ้วของตัวเองที่ถูกบิดาจับงอลง ก็เด้งนิ้วโป้งตัวเองขึ้น ต่อรองกลับ สีหน้าจริงจัง   “สามคืนค่ะ และห้ามคุณพ่อต่อรองลูกอีกแล้ว”           คนเป็นพ่ออ้าปากจะค้าน ปลายฝนก็หน้าเบ้ จะไม่รับฟัง ขยับออกไปยังริมผา จนคนเป็นพ่อต้องร้องปรามลั่นบริเวณนั้นทันที           “ได้ ก็ได้ครับ สามคืนก็สามคืน”           แล้วเดินหน้าต่อ เพื่อเข้าไปเอาตัวบุตรสาวออกจากจุดเสี่ยงอันตราย เข้าถึงตัวได้ก็รวบร่างของปลายฝนเข้ามาไว้ในอ้อมกอด จูบศีรษะเบา ๆ ด้วยหัวใจที่ยังเต้นระทึกไม่หาย           ขิมแขเข้าไปหาทางภูผาเช่นกัน สำรวจคร่าว ๆ ไม่พบว่าลูกมีอันตรายอะไร จึงชักชวนให้ออกจากบริเวณนั้นในเวลาต่อมา                นิรันดร์พาทั้งหมดขึ้นรถ ขับกลับอพาร์ตเมนต์ที่เด็กสองคนเปิดห้องเอาไว้อีกครั้ง เพื่อเก็บของและเช็คเอาท์ ค่อยตะเวนหาที่พักแห่งใหม่ ที่เหมาะสำหรับพักแบบครอบครัวใหญ่อย่างพวกเขา และบ้านพักริมทะเลในบริเวณที่เป็นส่วนตัวก็คือสถานที่พักของคนทั้งสี่คนในคืนนั้น จอดรถแล้ว จัดแจงเช็คอินเรียบร้อย ปลายฝนก็เข้าไปหาคนเป็นพ่อ จิ้มแขนท่านเบา ๆ บอก           “ขอบคุณนะคะคุณพ่อ”           นิรันดร์มองบุตรสาวของตน ที่อย่างไรแล้วก็ยังเป็นเด็กน้อยของพ่ออยู่วันยังค่ำ ย้ำ “สามคืนเท่านั้นนะ”           ปลายฝนมุ่ยหน้า เพราะคำว่า ‘สามคืน’ ของพ่อ ดังกรอกหูเธอจนแทบหลอนอยู่แล้วเนี่ย           “ค่ะ”           แล้วเอื้อมมือลูบผมบุตรสาวอย่างแสนรัก “ปลายฝนครับ”           แหงนหน้าขานรับท่าน “คะ”           “ลูกอย่าทำแบบนี้อีกได้ไหม สัญญากับพ่อก่อน ว่าไม่พอใจอะไรต้องพ่อตรง ๆ ห้ามเอาชีวิตตัวเองมาต่อรอง หรือเอามาล้อเล่นกับความรู้สึกของพ่อแบบนี้อีก”           ถึงเธอจะเป็นเด็กที่ถูกสปอยล์มาตั้งแต่เกิดจนโต แต่ก็ยังมีความรัก ความเป็นห่วงบิดาแทรกซึมอยู่ทุกอณูของหัวใจ และเนื้อแท้แล้วก็ไม่ใช่เด็กที่นิสัยย่ำแย่นัก ได้ยินคำขอของบิดากอปรกับแววตาเศร้าหมองชนิดที่ไม่เคยมาก่อน ก็รู้สึกตื้อในอกทันที           แม่ตัวดีเบ้หน้าจะร้องไห้ แล้วเข้าไปกอดเอวบิดาแน่นบอกเสียงสั่นเครือ “ลูกขอโทษค่ะคุณพ่อ ลูกทำไปโดยไม่ทันได้คิด ลูกสัญญาค่ะว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ลูกสาวของคุณพ่อรักคุณพ่อที่สุดในโลกเลยนะคะ”           “เราก็แบบนี้เรื่อยเลยนั่นแหละนะ ตามใจก็รัก ไม่ตามใจก็โกรธบ้าง งอนบ้าง นิสัยได้แม่เราเชียว”           ขิมแขมองสองพ่อลูกที่คุยกันดิบดีแล้วก็อดถอนหายใจตามพวกเขาไม่ได้ แล้วหิ้วถุงของในมือเข้าบ้านไปก่อน เอ่ยชวน           “กินอะไรกันก่อนไหมคะ จะได้แยกย้ายไปพักผ่อน”           ดีที่ก่อนหน้าแวะร้านสะดวกซื้อ เตรียมอาหารเครื่องดื่มที่รับประทานแบบง่าย ๆ ติดมาด้วย จึงจัดแจงกินจนเรียบร้อย แล้วค่อยแยกย้ายเข้าห้อง เพราะแทบจะหมดสภาพกันอยู่แล้ว ทั้งเหนื่อย ทั้งเพลีย บ้านพักติดหาดหลังนี้มีเพียงสองห้องนอนเท่านั้น ขิมแขจึงเข้าไปบอกกับนิรันดร์ตอนที่เขากำลังยกสัมภาระเข้าบ้าน           “นี่คุณ”           นิรันดร์หันมามองแล้วถามกลับทันที           “มีอะไรหรือ” “ให้ฉันนอนกับปลายฝนดีกว่า ส่วนคุณกับภูผาก็นอนด้วยกัน” นิรันดร์ได้ยินแบบนั้นแล้ว หันหลังไปหยิบของในรถอีกชิ้น พลันมุมปากกดลงหน่อยหนึ่ง แววตาจุดประกายวาววับขึ้นในทันที ตอบรับโดยไม่อิดออด  “เป็นความคิดที่ดี ผมจะได้นอนประกบลูกชายของคุณ รับรองคราวนี้ไม่มีทางมาล่อลวงยายฝนลูกสาวของผมได้อีกแน่”           บอกจบก็เดินจากไปด้วยท่าทางหมายมาด อาฆาตอยู่ไม่น้อย           นึกว่าจะสงบศึกกันแล้วเสียอีก ตาบ้านี่ยังไงกัน แล้วเดินตามไปบอกเด็กทั้งสองคน ให้นำกระเป๋าข้าวของ แยกเข้าห้องพักของตัวเองหลังจากตกลงกันแล้ว ได้รับความเห็นไปในทางเดียวกัน             “รู้ใช่ไหมว่าปลายฝนเป็นหลานสาวคนเดียวของอัศวหาญญ์วรกุล” เสียงห้าวทรงอำนาจดังขึ้นในห้องนอนของทางฟากฝั่งผู้ชาย ภูผาชะงักมือที่กำลังเอาแปรงสีพัน ยาสีฟัน และกางเกงชั้นในออกจากถุง หมุนคอมองทางบิดาของปลายฝน ตอบรับอย่างสุภาพ           “ทราบครับ”           “อย่าคิดชักจูงปลายฝนไปในทางที่ไม่ดีอีก ไม่อย่างนั้น...”           อดีตนายตำรวจเก่ายกมือขึ้นทำท่าปืน จ่อที่ขมับของตัวเอง ส่งเสียงฟี้วเบา ๆ แววตากร้าววาววับจับจ้อง กดดันเด็กหนุ่มร่วมห้อง มุมปากกดลึก จงใจข่มอีกฝ่ายอย่างไม่คิดปิดบังเจตนาของตน           ภูผามองนิ่ง ๆ ถามกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังปานกัน                    “คุณลุง...คงไม่ได้กำลังคิดจะฆ่าตัวตายหรอกใช่ไหมครับ”           เรียก ‘ลุง’ ยังไม่พอ ยังยอกย้อนกวนประสาทเขาเสียอีก คนมีลูกสาวสวยขยับเข้าไปหา พร้อมกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย ง้างหมัดขึ้น เค้นเสียงถาม           “เมื่อกี้ ว่าไงนะ!”           “คุณลุงรับปากกับฝนแล้วนี่ครับว่าจะรักและเอ็นดูผมเหมือนลูกคนหนึ่ง...และท่าทางแบบนี้ ก็ไม่เหมือนกับจะรักผมได้เหมือนลูกเลยนะครับ” ย้อนความจำย้ำเรื่องที่นิรันดร์รับปากไว้กับปลายฝน พร้อมแกะมืออีกฝ่ายออกอย่างช้า ๆ เดินเข้าห้องน้ำไปก่อน “ไอ้...” คนหวงลูกสาวสบถอยู่กลางห้อง รอเป็นนานไม่เห็นออกมาเสียที ก็เปิดประตูออกไปด้านนอก พอแว่วเสียงประตูปิดลง ภูผาค่อยแง้มประตูห้องน้ำออกมา คว้าหมอนมานอนตรงอีกฟากของเตียงด้วยความโล่งใจ ยิ้ม เมื่อใบหน้าน่ารักของปลายฝนแวบเข้ามาในหัว เด็กหนุ่มมีความบริสุทธิ์ใจ หวังดี และปรารถนาดีกับปลายฝนเสมอ ตนไม่เคยคิดล่วงเกินอีกฝ่ายให้ต้องเสื่อมเสียเกียรติ ได้แต่หวังว่าความรู้สึกดีดีระหว่างกันจะยืนยง มั่นคงตลอดไป จนกว่าจะโตมากกว่านี้ บรรลุนิติภาวะ และพร้อมจะมีความรักแบบหนุ่มสาวอย่างที่มารดาเน้นย้ำมาโดยตลอด ภูผามั่นใจในตัวเองว่าหากลงว่าตนเองรักแล้ว ก็จะมั่นคงอยู่อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปรไปแต่อย่างใด           “ปลายฝน”           “คะ คุณน้า”           “คราวหน้าเวลาหนูมีเรื่องอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจ แล้วอยากเล่า อยากบอกกับใครสักคน นึกถึงน้าบ้างนะลูก คุยกับน้าได้ทุกเรื่องเลย”           “ขอบคุณนะคะคุณน้า ที่บ้าน นอกจากพี่กล้วยก็ไม่มีใครเป็นผู้หญิงเลยค่ะ บางที บางเรื่องพี่กล้วยก็ให้คำปรึกษาฝนไม่ได้”           “งั้นมาคุยกับน้าได้เลยลูก น้ารับฟังหนูทุก...เรื่อง” ขิมแขลากเสียงยาวอย่างต้องการผูกมิตรกับเด็กสาวคราวลูก           ยิ้มแป้นจนตาหยี กล่าวเสียงใสตอบไป “ขอบคุณค่ะ”           นิ่งไปอึดใจ ปลายฝนก็ว่าต่อ “ถ้าคุณแม่ยังอยู่ ฝนคิดว่า คุณแม่ต้องเป็นแบบคุณน้าแน่ ๆ เลยค่ะ”           “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะฮืม...”           “ไม่รู้สิคะ ฝนก็แค่รู้สึกได้ว่าคุณน้าน่ะเป็นคุณแม่ที่เอาจริง แค่ทำหน้านิ่ง ๆ เสียงเข้มเข้าไว้ ลูกก็ไม่กล้าเกเรแล้วน่ะค่ะ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ทำดุเสียงดังไว้ก่อนเพื่อจะให้ลูกกลัว”           พยักหน้าตามที่เด็กสาวว่า “อืม...ถึงว่าสินะ เวลาน้าทำเสียงขรึม ๆ ใส่ตาภูทีหนึ่ง รายนั้นก็กลัวจนหน้าซีดเลยล่ะ”           “ภูผาหน้าซีดตลอดเวลานั่นแหละค่ะคุณน้า”           นึกถึงใบหน้าของภูผาที่ขาวออกซีดก็อดยิ้มตามแม่ตัวดีไม่ได้ พักเดียวเธอค่อยเอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง แล้วล้มตัวลงนอน เตรียมพักผ่อน           “ปลายฝน”           เด็กสาวตะแคงมาหาเธอขานรับ “คะคุณน้า”           “รับปากน้าแล้วนะ ว่ามีอะไรไม่สบายใจ แล้วหาคนคุยด้วยไม่ได้ หนูจะนึกถึงน้า แล้วก็เล่าเรื่องพวกนั้นให้น้าฟังบ้าง”           ปลายฝนยิ้มกว้างในความมืด ตอบรับเบา ๆ “ค่ะ”           อดยื่นมือออกไปลูบผมของอีกฝ่ายไม่ได้ แล้วพลิกตัวไปปิดโคมไฟตรงหัวเตียง เหลือแต่แสงที่เล็ดลอดออกจากบานประตูห้องน้ำลาง ๆ เพียงเท่านั้น ก็เพียงพอให้มองเห็นหน้าอีกฝ่ายเลือน ๆ           นานอยู่เหมือนกัน ที่ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ก่อนจะแว่วเสียงของปลายฝนงึมงำคุยขึ้นมาอีกครั้ง           “หนูอยากมีคุณแม่แบบภูบ้างจัง”           “แม่ของหนูต้องรักหนูมากแน่ ๆ ปลายฝน” “คุณแม่ตายตั้งแต่หนูสองขวบค่ะ”           ขิมแขมองเด็กสาวด้วยสายตาเห็นใจ สะท้อนข้างในลึก ๆ อย่างที่ไม่เคยเป็น แล้วปลอบเบา           “น้าก็ไม่มีคุณแม่เหมือนกัน”           “ทุกคนเล่าเหมือนกันหมดว่าตอนที่คุณแม่เสีย คุณพ่อเศร้ามาก หนูรู้ว่าคุณพ่อยังรักคุณแม่อยู่ ถึงตอนนี้ก็ยังรักยังคิดถึงอยู่เหมือนเดิม แล้วหนูก็ไม่ชอบเลยเวลามีสาว ๆ มาทำท่าสนิทสนมกับคุณพ่อ ผู้หญิงพวกนั้นอยากเป็นแม่ใหม่ให้หนูค่ะคุณน้า”           ยิ้มให้กับข้อสันนิษฐานของเด็กสาว ถามต่อให้อีกฝ่ายได้เล่าได้ระบายความในใจ           “เยอะเลยหรือ”           “เยอะค่ะ บางทีหนูก็จำชื่อผิด บางคนก็ชื่อซ้ำกัน แต่หนูรู้ว่าพ่อไม่มีวันลืมคุณแม่ได้หรอกค่ะ คุณพ่อพูดเสมอว่าคุณพ่อจะรักคุณแม่เพียงคนเดียวจนกว่าคุณพ่อจะหมดลมหายใจ”           ขิมแขปวดแปลบในยอดอก รู้สึกถึงน้ำตาที่รื้นออกจากดวงตาของตัวเอง เธอยกมือขึ้นปาดมันออก ปลายฝนหันขวับมองอย่างสงสัย           “คุณน้าร้องไห้หรือคะ”           “คง...ซึ้งใจมั้งลูก”           “เรื่องคุณพ่อน่ะหรือคะ”           “ท่าทางเขาไม่เหมือนคนที่จะรักใครไปจนหมดลมหายใจได้เลยนะ”           “ถ้าคุณพ่อได้ยินคุณน้าพูดแบบนี้ ต้องโกรธแน่ ๆ เลยค่ะ”           “โกรธทำไมกัน”           “ไม่รู้สิคะ หนูแค่รู้สึกว่าช่วงนี้คุณพ่อดูแปลกไป”           เด็กสาวเอ่ยถึงบิดาแล้วเงียบ เรียกเธออีกครั้ง        “คุณน้าคะ”           “ว่าไงลูก”           ปากขานรับอีกฝ่ายออกไปแล้ว แต่ทางนั้นเงียบ ไม่มีเสียงตอบใด ๆ กลับมา ขิมแขเลยตะแคงไปมองหน้า พบว่าเด็กสาวที่นอนอยู่ข้าง ๆ หลับไปแล้ว คงจะเพลียนั่นเอง           “คุณน้า...มาเป็นแม่ให้หนูบ้าง ได้ไหมคะ”           เสียงงัวเงียนั่นเจือไปด้วยความเหงา ว้าเหว่และอ้างว้าง จะว่าไปเด็กคนนี้ก็น่าสงสารอยู่ไม่น้อย ก่อนหน้าจะเจอกันไม่รู้ว่าถูกคนเป็นพ่อเลี้ยงดูอย่างไรบ้าง แต่ระยะเวลาที่ได้พบกันไม่กี่ครั้ง  ก็เห็นได้ว่าพื้นฐานนิสัยของปลายฝนเป็นเด็กดีอยู่ทีเดียว พูดคุยด้วยเหตุและผล ปลายฝนรับฟัง และยอมรับ เข้าใจได้ทันที สังเกตดูแล้ว คาดเดาเอาว่า ผู้ปกครองของเด็กสาวบางครั้งก็ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ดีหน่อยที่ยังไม่แต่งงานอีกรอบ แล้วหาแม่ใหม่ให้ลูกสาวตัวเอง ถ้าได้คนที่เข้าใจก็ดีไป หากเจอคนที่ไม่ได้รักเด็กจริง ๆ ก็นึกเวทนาปลายฝนอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน           “หนูเป็นเพื่อนของภู เรียกน้าว่า...แม่ ก็ได้นี่จ๊ะ”           บอกพร้อมกับหัวใจหวิว ๆ เหมือนจะขาดออกจากขั้ว จนนึกแปลกใจตัวเอง หันมองทางเจ้าของคำขอ เห็นหลับตา คงหลับไปแล้ว ยกมือขึ้นลูบผมดกดำเงางามของเจ้าตัวเบา ๆ พร้อมกับความรู้สึกอุ่นวาบที่แผ่ซ่านทั่วทั้งหัวใจของเธอในวินาทีนั้นเอง 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD