ตอนที่ 2.1 ระแวง

4673 Words
สามวันต่อมา...ทุกอย่างเกิดขึ้นและดำเนินไปอย่างรวดเร็ว หลังจากได้รับอีเมล์เคสคนไข้ของตะวัน พร้อมกับวิธีการเดินทางไปยังโรงแรมกลางทะเลของธนภพ ภาคภูมิก็รีบจัดการธุระหลายสิ่งหลายอย่างภายในคลินิกของตัวเอง ยิ่งเรื่องเคสคนไข้นัดประจำของเขา เขายิ่งให้ความสำคัญเป็นพิเศษ รีบโทรไปไหว้วานรุ่นน้องจิตแพทย์ที่สนิทกันให้แวะเวียนเข้ามาดูและพูดคุยกับคนไข้ซึ่งมีอยู่ประมาณสี่ถึงห้าราย โชคดีที่พวกเขาตอบตกลงและยืนยันว่าจะดูแลให้เป็นอย่างดี ก่อนจะโทรแจ้งให้คนไข้เป็นรายคนรับทราบ ว่าจะไม่ได้พบเขาในอีกสองเดือนนี้ ใช่...สองเดือนกับการไปอยู่บนเกาะ ใช่ว่าจิตแพทย์หนุ่มอย่างเขาจะไม่เคยเดินทางไปไหนไกลๆ อัมสเตอร์ดัมแทบจะเป็นบ้านหลังที่สองของเขา อีกทั้งยังมีนิวยอร์กที่เขาหลับตาเดินเข้าตรอกซอกซอยเองได้ ยังไม่รวมโซลที่ถึงกับมีเพื่อนจิตแพทย์ชาวเกาหลีที่นั่น แล้วเจ้าตัวก็ชอบชวนให้เขาไปเที่ยวบ้านอยู่บ่อยๆ ด้วย ทว่าเมืองที่เขาเคยไป ล้วนแล้วแต่อาศัยอยู่เพียงชั่วคราว มากสุดก็แค่สองสัปดาห์ แต่นี่... สองเดือน! แถมยังเป็นที่ไม่คุ้นเคยอีก และที่สำคัญที่อยากบอกให้รู้ไว้ว่า... ภาคภูมิเกลียดอากาศร้อน! ครั้งหนึ่งเคยไปพักผ่อนกับตะวันที่กระบี่ แม่เจ้าโว๊ย! ร้อนตับแลบ นี่ไม่ใช่ทะเลธรรมดา มันต้องเป็นน้องทะเลทรายซาฮาร่าแน่ๆ จากทริปโรแมนติก จึงกลายเป็นทริปแบดโรแมนซ์เสียอย่างงั้น เขางอแงใส่อดีตคนรัก จนอีกฝ่ายต้องคอยเอาอกเอาใจตลอดทั้งทริป แล้วนี่ไปอยู่บนเกาะที่ล้อมรอบด้วยน้ำทะเล เบื้องบนคือดวงอาทิตย์ที่ทำงานไม่เว้นวันหยุดราชการอีก คิดแล้วก็เกิดอาการหวั่นเกรงอยู่หน่อยๆ ก็ได้แต่หวังว่าโรงแรมของธนภพจะมีเครื่องอำนวยความสะดวกอย่างเครื่องปรับอากาศบ้างล่ะนะ ในอีเมล์บอกว่าเกาะแห่งนี้ชื่อว่าเกาะราชาใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งเกาะในจังหวัดภูเก็ต ระยะทางจากฝั่งประมาณ 9 กิโลเมตร สามวันในการเตรียมตัว แพทย์หนุ่มไม่ได้ทำรีเสิร์ชหาข้อมูลอะไรไปมากกว่าสิ่งที่อดีตคนรักส่งมาให้ เพราะเขาเลือกที่จะให้ความสำคัญกับการจัดการเคสของตัวเองให้แล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์ ขนาดกระเป๋าเสื้อผ้า คนเป็นจิตแพทย์หนุ่มก็ยังเก็บเอาคืนสุดท้าย ราวกับเป็นวันไนท์มิราเคิล “พี่ลืมที่ชาร์จแบต!” ว่าแล้วรู้สึกตะหงิดๆ ตั้งแต่ออกจากบ้าน มัวแต่พะว้าพะวงอยู่แต่กับพาสปอร์ตซึ่งลืมคิดไปว่าการเดินทางครั้งนี้ เป็นเพียงแค่การเดินทางภายในประเทศ จนลืมส่วนเล็กส่วนน้อยอย่างเครื่องชาร์จแบตมือถือเสียได้ “เจริญเถอะ หาซื้อเอาแถวนั้น พิมพ์ว่าในสนามบินต้องมีขาย” คนปลายสายคือน้องสาวซึ่งรับหน้าที่เป็นสารถีขับรถไปส่งที่สนามบินดอนเมือง เธอสบถ หากแต่ไม่ถือความพี่ชาย เพราะรู้ดีว่ามักเป็นแบบนี้กันทั้งบ้าน “อืม...” ภาคภูมิครางรับในลำคอ พลางสอดส่ายสายตามองหาร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทว่าตั้งแต่ไล่ดูหลังออกมาจากเกท เขาพบแต่ร้านขายทริปทัวร์ ร้านให้เช่ารถ และร้านแลกเปลี่ยนเงินตราเท่านั้น เห็นทีคงต้องออกไปหาซื้อเอาข้างนอก พลันจังหวะนั้นกลับมีสายซ้อนเข้ามา จิตแพทย์หนุ่มดึงมือถือออกห่าง เป็นเบอร์แปลกที่ไม่ได้บันทึกไว้ในเครื่อง “พิมพ์แค่นี้ก่อน มีสายซ้อน” เมื่อกดวางจากน้องสาว ก็รีบรับอีกสายหนึ่งทันที “สวัสดีครับ” “ภาคภูมิใช่ไหมครับ?” เสียงไม่คุ้นเคยดังขึ้น “ใช่ครับ นั่นใครครับ?” “พี่ภพเองนะ พอดีพี่ขอเบอร์มาจากตะวัน เราจะมาดูอาการลูกชายพี่แทนตะวันใช่ไหม?” “อ้าว! พี่ภพ สวัสดีครับ ใช่ครับพี่ ตะวันฝากผมไว้” ก่อนเลือกกลับไปหาเมียที่อังกฤษ... “แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน ตะวันบอกว่าภูมิจะเดินทางวันนี้” “ตอนนี้ผมถึงสนามบินภูเก็ตแล้วครับ กำลังจะหาทางไปหาพี่ ตามแผนที่...” “พี่เจอละ ทางซ้ายๆ” รุ่นพี่พูดเพียงแค่นั้น สายก็ตัดไป ภาคภูมิเหลียวมองตามทิศทางดังกล่าว ก่อนจะพบกับผู้ชายตัวสูง คนคุ้ยเคยในความทรงจำ ธนภพ  สมบูรณ์สุข รุ่นพี่ต่างคณะในมหาวิทยาลัย ยังคงเป็นผู้ชายร่างผอมสูง หน้าตาใจดี อบอุ่นตามแบบฉบับชายในฝันของผู้หญิงหลายคน เขาเรียนเก่ง   แถมยังทำงานเก่ง พอจบปริญญาตรี สาขาบริหาร ก็เรียนต่อปริญญาโทในสาขาเดียวกัน หลังจากนั้นก็ก้าวเข้าสู่วงการธุรกิจโรงแรมอย่างเต็มตัว ด้วยความเก่งกาจ ฉลาด มีไหวพริบ ชายหนุ่มจึงสามารถสร้างโรงแรมที่เป็นดั่งน้ำพักน้ำแรงแรก ให้ขึ้นไปเป็นหนึ่งในห้าของโรงแรมที่ดีที่สุดในภูเก็ตได้ ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ระหว่างนั้น จากวัยเรียนสู่วัยทำงาน ธนภพเห็นควรแก่เวลา จึงตัดสินใจแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งผู้ซึ่งเป็นดั่งรักแรกตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย ทั้งสองใช้ชีวิตคู่ตามครรลองครองธรรมอย่างที่มนุษย์สมควรจะมี ก่อนให้กำเนิดพยานรักตัวน้อยเพียงหนึ่งเดียว แต่น่าเสียดายที่ชีวิตสมบูรณ์สุขดั่งนามสกุลกลับมีอันต้องอันตรธาน เมื่อภรรยาของธนภพเสียชีวิตจากการช่วยชีวิตลูกน้อยให้พ้นอันตรายจากท้องทะเล ภาคภูมิลากกระเป๋าเดินทางสองใบใหญ่เข้าไปหา ก่อนยกมือไหว้รุ่นพี่ที่ไม่ได้เจอกันนานร่วมสิบปี “รบกวนภูมิหน่อยนะ พี่พึ่งใครไม่ได้แล้วจริงๆ” พี่ภพยังคงยิ้มให้ หากแต่ในแววตากลับสะท้อนความเศร้าหมองให้เห็น “พอรู้ว่าเป็นพี่ภพ ผมไม่ลังเลเลยที่จะช่วย ผม...เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยนะครับ” ธนภพรู้ดีว่าภาคภูมิหมายถึงอะไร รุ่นน้องที่เป็นถึงจิตแพทย์คนนี้คงได้ฟังเรื่องราวร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับเขาจากตะวันแล้ว เขาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มจาง “พี่ดีใจที่เป็นภูมิ ถ้าไม่ใช่ตะวัน ก็มีภูมินี่แหละที่พี่อุ่นใจ ขอบคุณมากที่มาช่วยพี่กับลูก เรื่องค่าใช้จ่ายบอกพี่ได้เลยนะ” “พี่ภพ พูดแบบนี้ผมเสียใจแย่ ที่ผมมาครั้งนี้ก็เพราะพี่ พี่เคยทำอะไรให้ผมกับตะวันตั้งมากมาย เป็นเกียรติด้วยซ้ำที่วันนี้ได้กลับมาตอบแทนพี่บ้าง เรื่องเงินไม่ต้องพูดเลยนะครับ ผมไม่คิด ผมทำให้ด้วยใจ” หมอหนุ่มผิวขาวส่ายหน้า เน้นย้ำทุกคำพูด เจตนาดีของรุ่นน้องที่แสดงออกมา ทำให้รุ่นพี่อย่างธนภพซึ้งใจ ก่อนหลุดหัวเราะ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ภาคภูมิก็ยังคงทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นได้เสมอ “ดีแบบนี้ ไอ้ตะวันมันหนีไปมีคนอื่นได้ยังไง...” จู่ๆ น้ำเสียงก็ขาดห้วน      ธนภพชะงัก เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังพูดถึงเรื่องไม่ควรพูด ส่วนคนฟังเห็นอีกฝ่ายหน้าเจื่อน เลยรีบยิ้มให้ เพื่อแสดงตัวว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้แล้ว “คงเพราะดีเกินไปมั้งครับ เขาถึงไม่ชอบ” “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก มันแค่โง่เกินไปน่ะ แต่ก็ใกล้จะหายโง่แล้วมั้ง” ภาคภูมิเลิกคิ้ว มองธนภพอย่างงุนงง รุ่นพี่หนุ่มพรูลมหายใจ ก่อนส่ายหน้าไม่ขยายความ ก็ถ้าคนไม่มีใจให้ จะกลับมาอ้อนวอนขอให้ทำอะไรสำคัญๆ แทนแบบนี้ได้ยังไงล่ะ “รีบไปเถอะ เห็นว่าวันนี้พายุจะเข้าเกาะ” รุ่นพี่หนุ่มเอ่ย ก่อนจะช่วยถือกระเป๋าให้ทั้งสองใบ ภาคภูมิหน้าเหวอรีบวิ่งตามไปยื้อแย่งเพราะเกรงใจ ทว่าเจ้าของโรงแรมกลับไม่ยอมอยู่ท่าเดียว กระทั่งเดินไปถึงรถ ก็ยังแบกของหนักยัดใส่ท้ายรถ แถมยังเปิดประตูให้เข้าไปนั่งอีก บริการดีประหนึ่งเป็นเซอร์วิสจากโรงแรม “พี่ภพอย่าทำแบบนี้อีก ผมเกรงใจ” “ทำแบบไหน? ดูแลอะเหรอ?” ธนภพเลิกคิ้วถามขณะคาดเข็มขัดนิรภัย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้า เขาจึงยิ้มออกมา “ไม่ได้สิ คนสำคัญของเกาะ พี่ก็ต้องดูแลเป็นพิเศษ จะว่าไป เป็นภูมิมารักษาลูกพี่ก็ดีเหมือนกัน เขาต้องชอบเราแน่ๆ เพราะพูดเก่งเหมือนแม่เขา” “พี่หลอกด่าผมว่าพูดมากหรือเปล่า?” “อ้าวรู้ทัน...” “พี่ภพ...” ธนภพระเบิดหัวเราะ มองหมอหนุ่มที่ทำหน้ายู่ ก่อนจะพบว่าใบหน้าอีกฝ่ายเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ จึงล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้ “ขี้ร้อนเหรอเรา” “นิดหน่อยครับ” ไม่...เขาอยากจะบอกว่าเขาโคตรของโคตรขี้ร้อน แต่กลัวอีกฝ่ายจะหาว่าปัญหาเยอะ เลยตอบไปแบบครึ่งๆ กลางๆ มือขาวรับผ้ามาเช็ดซับไปตามวงหน้า เสี้ยววินาทีที่ได้รับคำตอบ ธนภพยิ้มจาง แววตาหม่นสลดลงเล็กน้อย ภรรยาของเขาก็ขี้ร้อนเหมือนกัน แต่เพราะรักเขา อีกฝ่ายเลยยอมทนอยู่ด้วยกันบนเกาะนั่น ถ้าเขาไม่เป็นคนยึดถือความต้องการตัวเองเป็นหลัก เธอคงไม่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับแบบนี้ ทั้งหมดมันคือความผิดของเขาเอง ที่ขวัญต้องตาย มันเป็นเพราะเขา “รีบไปไม่ใช่เหรอครับ เดี๋ยวจะไม่ทันพายุเอา อีกอย่าง...ผมอยากเจอลูกของพี่แล้ว ระหว่างที่เราเดินทางไปด้วยกัน พี่ภพช่วยเล่าอาการของเขาให้ผมฟังได้ไหมครับ?” เสียงภาคภูมิดึงสติชายหนุ่มให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง ธนภพพยักหน้า ก่อนจะขับรถออกจากลานจอด มุ่งหน้าสู่ท่าเรือ   ///   อีกด้านหนึ่งบนเกาะราชาใหญ่... ท้องฟ้ายามนี้มืดครึ้ม เมฆสีเทาอัดเป็นมวลแน่นเคลื่อนคล้อยต่ำ น้ำทะเลที่เคยเป็นสีฟ้าใสเมื่อครู่ กลับแปรเปลี่ยนเป็นสีขุ่นทะมึน ซ้ำยังมีคลื่นยักษ์โหมซัดเข้าหาดทรายจนเกิดเสียงซู่ฟังดูน่ากลัว บางช่วงบางเวลาสายฟ้าแล่นปลาบแปลบให้ได้เห็น อีกทั้งยังตามมาด้วยเสียงครืน สั่นสะเทือนเลือนลั่นไปถึงแผ่นดินเล็กที่มีขนาดไม่กี่สิบตารางกิโลเมตร มีชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งกำลังวาดโครงร่างคร่าวๆ ของอาคารที่เพิ่งก่อรูปเห็นแค่โครง เพื่อจะนำมันไปประกอบการออกแบบภายในให้เจ้าของกิจการ นักศึกษาฝึกงานไฟแรงเพิ่งเดินทางมาถึงที่นี่เมื่อไม่กี่นาทีก่อน ก็ก้าวลงสมรภูมิหน้างานโดยทันที ไม่ได้บอกกล่าวใคร เพราะวินาทีแรกที่ก้าวลงมาเหยียบบนผืนทราย เป็นวินาทีเดียวกับที่เห็นโครงสร้างที่ถูกทำค้างไว้ ไม่มีใครอยู่บนเชิงดอยแห่งนี้ คงเพราะพายุที่กำลังจะมา มือแกร่งจับปากกาคู่ใจจรดลงกระดาษวาดแบบที่รองด้วยคลิปบอร์ดบนท่อนแขน ค่อยๆ ลากเส้นตามสิ่งที่ตาเห็น แต่ในขณะนั้นเอง เม็ดฝนบนฟากฟ้าก็หยดแหมะลงบนกระดาษ เขาขมวดคิ้วจ้องมองมันอย่างหงุดหงิด ก่อนแหงนหน้าสำรวจสภาพอากาศ แว่นตากันแดดถูกถอดออกแล้ววางพักไว้บนศีรษะ ท้องฟ้าสีเทาเข้มประจักษ์สู่สายตา พร้อมกับแสงสว่างวาบคล้ายแสงแฟลชกล้องถ่ายรูป เขา        ถอนหายใจ แล้วรีบเก็บสิ่งสำคัญไว้ในกระเป๋าด้านในของเสื้อยีนส์ ปากกาเขียนแบบที่คนของหัวใจให้ไว้เป็นของขวัญ เปรี๊ยง! เสียงสายฟ้าฟาดลงใกล้ๆ ชายหนุ่มถึงกับทรุดกายนั่งยองด้วยความตกใจ “ไอ้เหี้ย! อย่าเพิ่งรับน้องตอนนี้” เขาสบถให้ฟ้าดิน ราวกับเป็นคนไม่เชื่อเรื่องลี้ลับ ไม่นานสายฝนก็พร่างพรูเป็นม่านสีขาว เวลานั้นว่าที่สถาปนิกหนุ่มก็กลายเป็นหนูติดจั่น เขากลับด้านคลิปบอร์ดแล้วยกขึ้นเพื่อบังเม็ดฝน พร้อมกับสอดส่ายสายตามองหาทางลง เมื่อครู่ขึ้นมาบนนี้ได้เพราะการปีนป่าย รู้แน่ว่าร่องดินที่มีหินแทรกเหมือนเขาที่เอาไว้เล่นเป็นกีฬาเอ็กซ์สตรีมตรงนั้น ไม่ใช่ทางขึ้นและทางลงที่ถูกต้อง เพราะหากก้าวพลาดหรือรองเท้าไร้ประสิทธิภาพเหยียบดินโคลนลื่นๆ กลับทางเดิม มีหวังได้ตกเขา ดิ่งลงทะเลลึกอย่างที่ไม่ต้องควานหาศพแน่ เปรี๊ยง!! สายฟ้าสีเงินแล่นปราดเข้ามาใกล้มากขึ้น ราวกับถูกของบางสิ่งล่อให้เข้าหา เป็นเหตุให้ชายหนุ่มดิ้นรนหาทางหนี ทันใดนั้นสายตาพลันเหลือบไปทางด้านหลังโครงสร้างที่คาดว่าในอนาคตจะกลายเป็นโรงแรมหรูบนชะง่อนผา ตรงนั้นมีลานกว้างและบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งตั้งอยู่ ทางลงคงอยู่บริเวณนั้นไม่ผิดแน่ คิดได้เช่นนั้นก็รีบวิ่งมุ่งหน้าไปทันที ขณะวิ่งฝ่าสายฝน มือแกร่งไม่ลืมกอบกุมจับเอาไว้ที่ปากกาเขียนแบบ เขาจะไม่ให้มันเปียก หรือว่าพังแน่ ขายาวหยุดตรงชายคาบ้านหลังเล็ก พลันทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงกรีดร้องแว่วออกมาจากด้านใน ตอนแรกคิดว่าบ้านหลังนี้มีไว้เพื่อวิศวกรใหญ่ใช้พักขณะคุมงานก่อสร้าง ที่ไหนได้ เมื่อมองลอดกระจกหน้าต่างเข้าไปกลับพบว่า ภายในมีรายละเอียดมากกว่าจะเป็นที่พักชั่วคราว มีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน แถมยังมีห้องแยกออกมาอีกหนึ่งห้องซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องนอน ชายหนุ่มรีบมองหาต้นตอของเสียง ก่อนสบเข้ากับเด็กคนหนึ่งซึ่งนั่งคุดคู้ ซุกกายและใบหน้าเข้าซอกเตียง ฉับพลันคนมองภายนอกขมวดคิ้ว หัวใจกระตุกแรง เด็กชายตัวเล็กในวันวานยามนี้แขนขายาวเติบโตตามกาลเวลา แต่ถึงอย่างนั้นคนเป็นน้าก็จำได้ว่านี่คือหลานของตน “ทานตะวัน!” เขาเรียกชื่อเด็กคนนั้น พร้อมกับวิ่งไปหมุนลูกบิดหวังเปิดประตู ทว่ามันถูกล็อคจากภายใน ชายหนุ่มวิ่งกลับมาที่หน้าต่างบานเดิมอีกครั้ง ก่อนออกแรงทุบมันเพื่อเรียกสติหลานชาย “ทานตะวัน! น้าชะเอง เปิดประตูให้น้าหน่อย” เด็กชายวัยเจ็ดขวบกรีดร้อง น้ำตาไหลรินอาบแก้ม สองมือยกขึ้นปิดหูเพราะกลัวต่อเสียงภัยธรรมชาติ ทั้งฟ้าร้องคำราม ทั้งลมกรรโชกแรง ทั้งหมดกำลังดึงความทรงจำเลวร้ายให้ผุดชัดเจนขึ้นในสมอง ยิ่งนึกถึงคลื่นทะเลดำมืดที่ครั้งหนึ่งเคยกลืนกินแม่ไปต่อหน้าต่อตา เขายิ่งรู้สึกว่าหัวใจคงได้ใกล้แตกสลายในไม่ช้า คนอยู่ด้านนอกเห็นความหวาดกลัวแทบแดดิ้นก็ยิ่งร้อนรน หลานเพียง    คนเดียวกำลังเผชิญปัญหาที่มองไม่เห็น ซึ่งเขาได้ฟังและรับรู้มาจากปากคนเป็นพี่เขย วินาทีนั้นชายหนุ่มตัดสินใจใช้ข้อศอกกระแทกกระจกหน้าต่าง เศษแก้วแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ก่อนล้วงมือเข้าไปปลดล็อคกลอน แล้วเปิดบานหน้าต่างออก    ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายรีบปีนข้ามเข้าไปหาหลานรัก ทานตะวันยามนี้สลดเศร้าไม่ท้าแสงแดด อีกทั้งยังคำรามร้องดั่งคนเสียสติ น้ำตาปะปนน้ำมูกเปรอะเปื้อนเลอะเต็มใบหน้า ก่อนหน้านี้สติเคยดีเพราะใช้ยามว่างไปกับการวาดรูปอยู่กับพี่เลี้ยง ก่อนคนเป็นพี่เลี้ยงจำเป็นจะถูกเรียกใช้ให้ไปช่วยทำหน้าที่หลัก อย่างการรับแขกที่มาเข้าพักในโรงแรม ไม่ได้คิดว่าคล้อยหลังแค่ไม่กี่นาที พายุคลั่งจะตัดขาดเขาจากลูกชายเจ้าของโรงแรมแบบนี้ อันที่จริงหน้าที่หลักถูกลดทอนให้เหลือแค่หน้าที่รอง จากรีเซปชั่นมือฉมังกลายมาเป็นพี่เลี้ยงจำเป็นในช่วงสี่ห้าเดือนที่ผ่านมาอย่างเต็มตัว หลังคุณหนูลูกเจ้าของโรงแรมสูญเสียแม่ผู้ให้กำเนิดไปพร้อมกับความเป็นตัวตน เขาก็คอยดูแลอยู่ไม่ห่างตามคำสั่งของธนภพ เรียกได้ว่าแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง ยกเว้นก็แต่เวลานอนที่คนเป็นพ่ออย่างธนภพจะมารับช่วงต่อ แต่เพราะครั้งนี้คนต้อนรับไม่พอแถมยังไม่มีใครพูดภาษาฝรั่งเศสได้ เพราะแขกที่ว่าคือคณะนักธุรกิจชาวฝรั่งเศสหลายสิบคน ที่ไว้ใจเลือกให้ที่นี่เป็นสถานที่    ตกลงเจรจาธุรกิจหลายพันล้าน เขาจึงจำเป็นต้องไปออกหน้ารับ ทุกกระบวนการใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที เห็นเมฆดำลอยลิ่วเข้ามาใกล้ในขณะที่ต้อนรับพาแขกเข้าห้องประชุม จึงละล่ำละลักรีบจัดการเพื่อให้ทันขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนคุณหนู หากแต่ไม่     ทันท่วงที ใครๆ ก็รู้ ว่าเวลาพายุเข้าที่นี่ มันเลวร้ายไม่ต่างอะไรกับวันที่ภูเก็ตเกิดสึนามิ “ทานตะวัน! น้าชะ นี่น้าชะ” ชายหนุ่มในชุดยีนส์เปียกชุ่มดึงแขนเด็กชายให้ออกมาจากมุมมืด คนถูกเรียกหวาดกลัวแต่ก็ยอมมองผู้มาใหม่ สติเกือบดับกลับมามีชีวิตอีกครั้ง นัยน์ตาวาววามสะท้อนเห็นหนึ่งคนในความทรงจำลางเลือน “น้าชะ...” เสียงเล็กเอื้อนเอ่ย ทวนชื่อพร้อมกับทบทวนความจำ “ไม่ต้องกลัวนะ น้าอยู่นี่แล้ว” มือแกร่งเอื้อมเช็ดคราบน้ำตาออกจากแก้มให้ ทั้งน้ำเสียง ทั้งแววตาที่ประจักษ์ ไม่นานเด็กน้อยก็นึกออก หลายครั้งน้า   คนนี้เคยมาเล่นกับเขาบ่อยๆ เคยแม้กระทั่งวาดรูปดอกทานตะวันเพื่อเป็นของขวัญ     วันเกิดให้แก่เขา เคยแม้กระทั่งโอบกอดเขาในวันฝังร่างแม่ในทุ่งทานตะวันท้ายเกาะ ทันทีที่ความทรงจำเกี่ยวกับคนตรงหน้าพรั่งพรู เด็กชายตัวผอมก็โถมกายเข้ากอดน้าแท้ๆ ของตัวเอง รัดรั้งคอ แทรกกายเข้ากลางระหว่างขาที่นั่งยอง ทำเอาคนไม่ทันตั้งตัวหงายหลังล้มไม่เป็นท่า คนเป็นน้ารีบเอากายรองรับหลานที่กอดตนไว้แนบแน่น เด็กน้อยซุกหน้าเข้าอกแกร่งหลังเสียงฟ้าผ่าดังลั่นอยู่ไม่ไกล ตัวบางสั่นเทาจนชยางกูรรู้สึกได้ เขารีบกอดปลอบโดยการลูบเบาๆ ตรงแผ่นหลัง “ทำไมอยู่คนเดียว พ่อไปไหน?” เขาสงสัยตั้งแต่แรก ทำไมพี่ภพปล่อยให้ทานตะวันอยู่ในบ้านเล็กบนเชิงเขาเพียงลำพัง “พ่อไปรับคนสำคัญ ให้ทานตะวันอยู่กับพี่หน่อง แต่พี่หน่องต้องไปรับแขกที่โรงแรมเมื่อกี้นี้เอง” “คนสำคัญ?” ชยางกูรขมวดคิ้ว ดึงร่างเด็กชายออกห่าง “ใครจะสำคัญเท่าทานตะวัน” “พ่อบอกแค่ว่าวันนี้จะไปรับคนสำคัญ อีกไม่นานคงกลับมา” ตอนเช้าตรู่ห้วงนิทราถูกปลุกด้วยจุมพิตที่หน้าผากจากคนเป็นพ่อ กระซิบบอกข้างหูว่าวันนี้จะไปรับคนสำคัญของทานตะวันมาให้ เด็กชายวัยเจ็ดขวบถ่ายทอดคำพูดของพ่อได้ไม่หมด เพราะไม่รู้จักความสำคัญของนัยยะ แค่คนสำคัญกับคนสำคัญของทานตะวัน ความหมายก็ต่างกันลิบลับ เหตุนี้คนฟังเข้าใจผิด คิดว่าสำคัญกับคนเป็นพ่อเสียเต็มประตู ใจใฝ่ดีคิดเข้าข้างพี่เขย คนสำคัญที่ว่าอาจเป็นหุ้นส่วนที่คิดร่วมลงทุนโรงแรมกลางทะเล แต่เสี้ยววินาทีต่อมาจิตฝั่งร้ายก็ครอบงำความคิดไปทั้งหมด... คนสำคัญที่ว่า...ใช่แม่ใหม่หรือเปล่าวะ? ชยางกูรสุมความหงุดหงิดผ่านสีหน้ามึนตึงอย่างช่วยไม่ได้ ธนภพไม่เคยให้ความสำคัญใครไปมากกว่าครอบครัวของตัวเอง ไม่คิดเลยว่าพี่เขยจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ เสียลูกพี่ลูกน้องของเขาได้ไม่กี่เดือน ก็คิดหาแม่ใหม่ให้ทานตะวันเสียแล้ว แบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับพี่ขวัญเลยสักนิด อีกอย่าง...รู้ทั้งรู้ว่าหลังเกิดเหตุการณ์เลวร้าย ลูกตัวเองหวาดกลัวกับสิ่งรอบด้านมากแค่ไหน ยังจะปล่อยให้อยู่คนเดียว ไกลสายตา ห่างหัวใจได้ขนาดนี้ กลับมาต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ส่วนคนสำคัญคนนั้น เขาขอไม่ต้อนรับ อีกทั้งยังขอเป็นปฏิปักษ์แทนพี่ขวัญอีกด้วย “แล้วทำไมไม่ตามพี่หน่องไปโรงแรมด้วย อยู่คนเดียวมันอันตราย” หลานชายส่ายหน้าเป็นพัลวัน เข็ดขยาดหวาดกลัวถ้าต้องไปที่นั่นอีก อดีตร้ายฝังใจก็เกิดตรงชายหาดหน้าโรงแรมนั้นเอง ให้อยู่ที่นี่คนเดียว ไม่เห็นเดือน ไม่เห็นตะวันเสียยังจะดีกว่า ที่นี่ไม่ได้น่ากลัว เดินไปตามทางอีกหน่อยก็ถึงหมู่บ้านของ    ชาวเกาะแล้ว “ทานตะวันอยู่คนเดียวได้ แต่ปกติพี่หน่องจะอยู่เป็นเพื่อนตลอด แต่เมื่อกี้มีแขกหลายสิบคนเพิ่งมาถึง มีแต่พี่หน่องที่พูดกับแขกฝรั่งได้” น้าชายได้ฟังก็ถอนหายใจส่ายหน้า จะหาความผิดคิดเอาความจากใครก็ไม่ได้ ถ้าต้องโทษ เขาขอโทษพี่เขยของตัวเองเป็นคนแรก ทานตะวันสบมองวงหน้าคมคายที่เอาแต่ขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะสำรวจลงไปทั่วตัว อ้อมกอดคนเป็นน้าเปียกชื้นลามมาถึงเสื้อผ้าของตัวเอง “น้าชะเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวไม่สบาย” ได้ยินหลานชายพูดอย่างนั้น คนฟังเพิ่งนึกขึ้นได้ เขายันกายพาร่างทานตะวันให้ลุกนั่งด้วยกัน พายุคลั่งยามนี้อ่อนกำลังลงเหลือเพียงห่าฝนตกกระหน่ำ เขาดันตัวหลานให้นั่งขอบเตียง ก่อนเดินไปปิดผ้าม่านทุกด้านจนบ้านทั้งหลังมืดสลัว ไฟฟ้าใช้การไม่ได้เพราะถูกตัดขาดด้วยภัยธรรมชาติ จังหวะหนึ่งเหลือบเห็นตะเกียงแบบใช้ถ่านบนโต๊ะเขียนหนังสือซึ่งตั้งอยู่ริมหน้าต่าง คนเป็นน้าเดินไปเปิดสวิชต์ ตะเกียงไฟคล้ายมีเปลวเทียนอยู่ด้านในเกิดแสงสีส้มสลัว เขาเดินกลับมาหาหลานชาย จับหัวไหล่บางแล้วโน้มหน้าเข้าไปหา “น้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ทานตะวันห้ามไปไหน มีอะไรให้รีบเรียกน้า” ทานตะวันรับคำด้วยการพยักหน้า ก่อนถดกายถอยหลังขึ้นเตียง ซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม นอนมองคนเป็นน้าถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น เสื้อยีนส์ตัวหนักถูกถอดออกเป็นอย่างแรก ไม่ลืมของสำคัญที่อยู่สาบกระเป๋าด้านใน ชายหนุ่มล้วงมันออกมา แล้ววางไว้บนโต๊ะหนังสือ ก่อนจะถอดเสื้อยืดสีดำตัวในออกตาม กายหนากำยำ      สีแทนต้องแสงสีส้มดูเป็นภาพหนังในนิยาย ประหนึ่งพระเอกที่หลบฝนในบ้านร้างร่วมใต้ชายคาเดียวกับนางเอก ถอดเสร็จก็ก้มหยิบท่อนบนทั้งสองชิ้นโยนใส่ตะกร้าผ้าที่วางติดริมตู้เสื้อผ้า ก่อนจะคว้าเอาผ้าเช็ดตัวในตู้ของหลาน ที่วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ แล้วจับมันพาดไหล่ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อแว่วเสียงเปิดฝักบัวให้ได้ยิน เด็กน้อยทานตะวันเปลี่ยนท่านอนหงายเป็นตะแคง ดวงตาสะท้อนความเศร้าหมองทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวผืนบางยังพอทำให้เห็นต้นไม้เขียวครึ้มและสายฝนโปรยปราย จิตใจหวาดกลัวเมื่อครู่เริ่มจมดิ่งสู่ความคิดถึง ทานตะวันนึกภาพแสนสุขในความทรงจำที่มีร่วมกับคนเป็นแม่ แม่ขวัญเป็นคนร่าเริง เป็นพลังงานด้านบวกให้ทานตะวันสดใส ชอบสอนนู่นสอนนี่ด้วยท่าทีตลกขบขัน อยู่กับแม่ขวัญ ทานตะวันไม่เคยเบื่อ ตื่นเช้ากินไข่เจียวรสอร่อยฝีมือแม่ ก่อนออกไปโรงเรียนก็จุ๊บแก้มทั้งสองข้างของกันและกัน พอกลับมาก็จะเจอแม่ขวัญยืนโบกมือให้ที่ริมชายหาด พร้อมกับทาร์ตไข่หวานๆ ที่ทำเองกับมือ ‘แม่ขวัญทำไว้สามชิ้น ให้พ่อภพ ให้แม่ขวัญ แล้วก็นี่พิเศษสุด เพิ่มชีสให้น้องทานตะวันสุดหล่อ’ ยังจำรอยยิ้มของแม่ขวัญได้ไม่ลืม ฉับพลันที่หวนนึกถึงเรื่องในอดีตที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน น้ำตาใสก็ผุดไหลจากหางตา นอกหน้าต่างเลือนรางพร่าเบลอ หัวใจดวงเล็กไม่เคยเจอกับเรื่องสูญเสียที่ทำให้เจ็บปวดขนาดนี้ ด้วยวัยเพียงเท่านี้ ก็ไม่อาจหาวิธีเยียวยาความชอกช้ำ ทุกวันมีแต่คิดถึงเรื่องเก่าๆ และจบลงที่ภาพแม่ตะเกียกตะกายดันร่างตัวเองให้หลุดพ้นจากท้องทะเล นับแต่วันนั้น...มันกลายเป็นฝันร้ายที่ฝังลึกในจิตใจไปเสียแล้ว ถ้าเขาไม่ดื้ออยากเล่นน้ำต่อถึงมืดค่ำจนเป็นตะคริว แม่ก็คงไม่ต้องลงไปช่วยเขาแล้วสังเวยชีวิตแทนเขาแบบนี้ เด็กชายนึกถึงตรงนี้ก็กัดฟัน ทั้งยังหลับตาแน่น คู้ตัวราวกับคนทนพิษบาดแผลไม่ไหว วินาทีต่อมามือเล็กข้างหนึ่งหยิกบิดท้องตัวเองจนเกิดเป็นรอยแดง บางทีความเจ็บปวดอาจช่วยให้เขาหายทรมาน บางทีเจ็บปวดมากๆ อาจทำให้เขาหลุดพ้นไปหาแม่ขวัญ จู่ๆ ความคิดอันหลายหลายมีอันต้องหยุดชะงัก เมื่อใครอีกคนหนึ่งกระชากผ้าห่มออกจากร่าง แล้วคว้าตัวของเขาเข้าไปกอด “น้าอยู่นี่” น้าชะมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ทานตะวันเองยังไม่รู้ตัว กระทั่งมือแกร่งเลิกเสื้อยืดของเขาขึ้น คราวนั้นสติถึงบังเกิด เด็กชายเบิกตากว้างด้วยความตกใจ กลัวว่าน้าชายจะเห็นร่องรอยการทำร้ายตัวเอง จึงรีบยื้อเสื้อลง ทว่าคนเป็นน้ากลับใช้แรงที่มากกว่าบังคับแย่งแล้วจ้องมอง รอยเขียวช้ำทั่วช่วงท้องประจักษ์ต่อสายตาชยางกูร “ทำร้ายตัวเองทำไม ไม่เจ็บรึไง?” เสียงดุดันคาดคั้น ไม่เข้าใจการกระทำของหลานตัวน้อย อายุแค่เจ็ดขวบ ทำไมถึงคิดทำร้ายตัวเองได้ถึงขนาดนี้ “พ่อรู้    หรือเปล่า?” “ไม่ๆๆ น้าชะอย่าบอกพ่อ ทานตะวันกลัวทำพ่อเสียใจ” “......” “มันทนไม่ได้ ทานตะวันไม่ได้อยากเจ็บ แต่ก็ต้องเจ็บ” คำพูดของเด็กชายยิ่งทำให้ชยางกูรงุนงง หลานของเขากำลังเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า เขารู้เพียงแค่นั้น แต่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของภาวะนี้ เขารู้เพียงแค่ว่าไม่อยากให้หลานต้องทำตัวเอง จึงเอ่ยสั่งออกไป “ห้ามทำอีก ถ้าพ่อรู้ ต้องเสียใจมากแน่ๆ มีอะไรให้บอกน้า ห้ามเก็บไว้     คนเดียว เข้าใจไหม?” ทานตะวันจำต้องพยักหน้ายอมคนเป็นน้า เพราะกลัวตามประสาเด็ก “พี่ภพปล่อยให้ลูกเป็นถึงขนาดนี้ได้ยังไงวะ” เห็นหลานชายเป็นหนักกับตาเอาตอนนี้ ชยางกูรถึงกับบริภาษใส่คนเป็นพี่เขย นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อาการแบบนี้ควรได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน แล้วนี่อะไร...ทิ้งลูกไปรับคนสำคัญห่าเหวอะไรนั่น ก๊อกๆๆ “น้องทานตะวันๆ พี่หน่องเองจ้ะ” เสียงหนึ่งดังแทรกความคิดอันชวนให้หงุดหงิด ทั้งน้าทั้งหลานมองหน้ากันชั่วครู่ ก่อนจะเป็นทานตะวันที่รีบลงจากเตียงเพราะอยากหนีจากชยางกูร เด็กน้อยวิ่งไปที่ประตูก่อนเปิดให้คนเรียก “พี่หน่องขอโทษนะเด็กน้อย โอ๋ๆๆๆ เมื่อกี้ฝนตกหนักมาก เอารถยนต์ขึ้นมาไม่ได้เลย แถมแขกก็ยังงี่เง่าอีก” พี่หน่อยคือเกย์บุคลิกดี เป็นหัวหน้ารีเซปชั่นนิสที่ทำงานได้เพอร์เฟ็ค เพราะการดูแลเอาใจใส่แขกที่มาพัก ธนภพถึงกับไว้วางใจให้มาดูแลทานตะวันชั่วคราว    อีกด้วย “ไม่เป็นไรครับ” ทานตะวันส่ายหน้า ในขณะที่ถูกหน่องทั้งกอด ทั้งลูบเพื่อปลอบปะโลม “ทานตะวัน มีเสื้อผ้าของพ่อบ้างไหม น้าหาแล้วไม่เจอเลย”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD