ตอนที่ 1.2

4319 Words
มาถึงตรงนี้ คนฟังเริ่มเป็นฝ่ายหน้าตึงบ้าง คำว่าไม่เคยรักใคร และไม่มีใครมารักจริง จี้จุดสะกิดขั้วหัวใจจนเจ็บจี๊ด คนเลือดร้อนกระชากต้นแขนหมอหนุ่มยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ “ไม่รู้อะไรอย่าพูดมาก” เขาเคยรักและยังรักคนๆ หนึ่ง แล้วก็ยังหวังว่าชาตินี้จะได้รับรักตอบกลับมา ภาคภูมินิ่วหน้า ขืนกายออกจากการจับกุม หลุดออกมาได้ก็ถอยห่างรักษาระยะ “คุณก็เหมือนกัน ไม่รู้อะไรเรื่องของผมก็อย่าพูดมาก...นิสัยแย่แบบนี้นี่เอง คุณสุดที่รักถึงได้ไม่เลือก” สองประโยคสุดท้ายพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะตวัดหน้ากลับไปมองอีกฝ่าย ส่งท้ายการพบปะกับคนเลือดร้อนไว้เพียงเท่านี้ “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างในวันนี้ ทั้งที่คุณช่วยผมจากอดีตคนรัก ทั้งแว่นตา ทั้งอาหาร แล้วก็เวลาอันมีค่า ถ้าเราได้เจอกันอีก ผมจะค*****นให้คุณทุกบาททุกสตางค์ก็แล้วกัน” “ไม่จำเป็น เพราะผมไม่ต้องการ” ชยางกูรทำหน้าถมึงทึงใส่ พลางก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายไม่ลดละ จนกระทั่งใบหน้าของคนทั้งคู่อยู่ในระยะประชิดเพียงฝ่ามือกางกั้น ภาคภูมิเอนหลังถอยหนีอย่างไว้มาด รอดูว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร “......” “เจอกันทีไรมีแต่เรื่องซวยๆ ขอไม่เจอกันอีกจะดีกว่า” ฝากฝังคำพูดทำร้ายใจไว้แค่นั้น ก็เดินจากไปราวกับคนไม่รู้จักกัน        หมอหนุ่มพ่นลมหายใจ นิ่วหน้าสุดแสนระอามองตามคนปากร้าย “คนอะไรนิสัยไม่ตรงปก หน้าตาก็ดี แต่นิสัยแย่ชะมัด สาธุ...ชาตินี้ขออย่าได้เจอกันอีกเลย เพี้ยง!” /// ลิ้นกับฟัน พบกันทีไรก็เรื่องใหญ่ น้ำกับไฟ ถ้าไกลกันได้ก็ดี หมากับแมวมาเจอะกัน สู้กันทุกที ต่างไม่เคยมีวิธีจะพูดจา... เสียงเพลงซึ่งขับร้องโดยนักศึกษาปีสามดังกระหึ่มภายในห้องอาหารของโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งถูกจองไว้เพื่อจัดงานเลี้ยงส่งให้รุ่นพี่ปีสี่สถาปัตยกรรมศาสตร์โดยเฉพาะ มีโต๊ะจีนวางเรียงกันนับสิบ แต่ละโต๊ะมีว่าที่บัณฑิต นั่งพูดคุย ดื่มเหล้าเคล้าเสียงเพลงกันอย่างสนุกสนาน รุ่นน้องสายรหัสต่างพากันดูแล คอยเสิร์ฟน้ำ    ชงเหล้าให้รุ่นพี่ “ไอ้ชะ ตกลงมึงจะไปภูเก็ตเมื่อไหร่ กูเห็นมึงจะไปๆ มาสามสี่วันละ ไหงวันนี้มางานเลี้ยงอำลาได้วะ?” ม่อน หนึ่งในแก๊งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงยานคาง ในมือถือแก้วเหล้าผสมน้ำเปล่าที่เหลืออยู่ค่อนแก้ว “มีเรื่องนิดหน่อย เลื่อนไปอีกสองสามวัน” คนถูกถามแกว่งแก้วเหล้าในมือ นั่งเอนพนักเก้าอี้ เหยียดขายาวๆ เข้าใต้โต๊ะ “แล้วมึงอะพิมพ์” คนถามละความสนใจ หันไปถามเพื่อนซี้ผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่ม สมัยเรียน พิมพ์ใจคือคนที่ช่วยลาก ช่วยดึง ช่วยสาดคำเสียๆ ให้พวกผู้ชายในคณะได้สำนึก เวลาแฮงค์เหล้า ติดสาว จนไม่ยอมไปเรียน ก็ได้มันนี่แหละที่กระชากหัวกลับ พากันเรียนจนถึงปีสี่แบบถูลู่ถูกังมาได้ พิมพ์ใจเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ก่อนจะเสยผมที่ปรกหน้าตัวเอง พวงแก้มแดงก่ำ ท่านั่งมาดแมนไม่ต่างกับผู้ชาย “กูอะระ คือกูได้ฝึกงานอีเกียร์แถวบางนา กูไม่ต้องบินไปหนาย ไอ้ม่อน สมองมึงนี่นะ ไปหมดละ” “เอ้าอีนี่ กูแค่ต้องการถามสารทุกข์สุกดิบของเพื่อนครับ ตอบไม่ดีแบบนี้ ระวังเจอตีนพี่ม่อน” “อิจฉาว่ะ พวกมึงแม่ง อีพิมพ์ก็อีเกีย ไอ้เหี้ยม่อนก็อินเด็กซ์ ไอ้เหี้ยชะดีสุด ออกแบบภายในให้โรงแรมใหม่ที่ภูเก็ต” เจมส์ถอนหายใจ “ไอ้เจมส์ มึงก็ใช่ย่อย รับธุรกิจมาจากป๊าไม่ใช่ไง๊?” พิมพ์ตวัดหน้ามอง “ร้านข้าวมันไก่เนี่ยนะ?!” ใครหลายคนในวงเหล้าต่างส่ายหน้า หัวเราะหึๆ ในลำคอ พิมพ์ใจกระดกเหล้าจนหมดแก้ว พลางกวักมือเรียกน้องรหัสตัวโย่งมาชงแก้วใหม่ให้ “เออ ก็ดีกว่าไม่มีงาน มึงก็ทำๆ ไปก่อน เผื่อเวิร์ค” “เวิร์คเหี้ยไรมึง กูเรียนสถาปัตย์ แต่ให้ไปสับไก่เสิร์ฟลูกค้า แล้วที่ผ่านมากูจะเรียนต่อโมเดลทำเหี้ยไรคร้าบ ดีนะที่ปีนี้ป๊ายังยอมให้ฝึกงานร้านออกแบบเฟอร์นิเจอร์แถวบ้าน ให้ขายข้าวมันไก่อย่างเดียวกูคงอกแตกตาย” “อีเจมส์ มึงอย่านอยด์ มึงดูกูนี่ เรียนสถาปัตย์ แต่ไปเต้นคาบาเร่ต์ที่พัทยา แอ๊บว่าไปออกแบบให้ผับที่เปิดใหม่ใกล้ๆ ค้า!” “ใครจะแรดอย่างมึง สุรเกียรติ์ พ่อให้มาเรียนออกแบบ เสือกไปเต้น ถ้าพ่อมึงรู้นะ มึงเจอตีนแน่” “อีสัดเจมส์! หุบปากเน่าๆ ของมึงเลย ห้ามเรียกชื่อจริงกู! เรียกชื่อในวงการกูสิอิดอก!” ชายไม่แท้รูปร่างผอมสูง สมาชิกคนหนึ่งในวงเหล้า พ่วงด้วยการเป็นสายรหัสแหวใส่คนเตี้ยล่ำ “ค่า อีหลินปิงงงง” เจมส์ยื่นหน้าล้อเลียนใส่อีกฝ่ายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม    คนถูกล้อลุกพรวด ฟาดมือตบใส่หัวไอ้เพื่อนตัวดี ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันตั้งแต่ปีหนึ่งแบบไม่ยั้งแรง “โอ๊ย!” “สมน้ำหน้า หลินปิงพ่อมึงสิ! กูฟ่านปิงปิงในวงการคาบาเร่ต์เว้ย” “โว๊ะ! กูมีเพื่อนแบบพวกมึงได้ไงเนี่ย” ม่อนถอนหายใจ ส่ายหน้าทั้งเสียงหัวเราะ ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับชยางกูรที่เอาแต่นั่งเงียบอีกครั้ง “เป็นไงมึง?” “อะไร?” ชยางกูรเสตาขุ่นๆ มองคนถาม “รักครั้งแรก หัวใจก็แตกสลาย เร็วเกินไปไหม กับความผิดหวัง” “เสือก” พูดเพียงคำเดียวก็ยกแก้วเหล้ากระดกดื่ม คนถูกด่าว่าเสือกไม่คิดติดใจเอาความ เพราะถือเป็นคำพูดปกติ แต่สิ่งที่ทำให้ติดใจ กลับเป็นสีหน้า แววตา และอารมณ์ของเพื่อนซี้ เขารู้ว่าชยางกูรแอบรักใครคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนตลอดมา แล้วเขาก็รู้ด้วย ว่ามันดูแลใครคนนั้นเป็นอย่างดี ยอมทนอยู่ในสถานะเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อฝ่ายเดียวมาตลอด เอาใจใส่ ชนิดที่ว่ายุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม เหมือนหมาหวงก้าง จนกระทั่งวันหนึ่งกลับต้องเสียมันไปให้กับคนอื่นอย่างซึ่งหน้า ทำอะไรไม่ได้ แม้แต่เห่า เพราะคนอื่นที่ว่า กลับเป็นคนที่กระดูกชิ้นนั้นเฝ้าฝันอยากโดนเป็นเจ้าของมาตลอดเสียอย่างนั้น ไอ้ชะก็เลยต้องแดกแห้วไปโดยปริยาย เห็นแววตาดุดัน ไม่มีแววเล่นก็ได้แต่นึกเป็นกังวล ลอบมองอยู่ห่างๆ “เก็บไว้ในใจมีแต่จะหนักเปล่าๆ ปล่อยวางเหอะไอ้ชะ ชาตินี้มึงไม่ได้ไอ้สุดหรอก มันโคตรรักไอ้รุ่นพี่หน้าหล่อนั่นเลยไม่ใช่รึไง ตัดใจเหอะเพื่อน” คำพูดของม่อน เล่นเอาคนฟังถึงกับเจ็บจุก ซ้ำรอยแผลสดให้ปริแตกมากขึ้นไปอีก “แม่งนอกจากจะไม่ปลอบใจกูแล้ว ยังเหยียบซ้ำอีก” แซลม่อนหัวเราะ พลางเอื้อมมือมาตบไหล่เพื่อนซี้ “มันเรื่องจริงนี่ กูพูดครั้งนี้ครั้งเดียว เพื่อให้มึงจำ จะได้เจ็บแค่ครั้งเดียวไงวะ ปล่อยสุดที่รักไป แล้วเอาหัวใจมึงคืนกลับมา ยังมีคนอีกเยอะ ที่ชีวิตนี้มึงต้องเจอ” “กูรักใครไม่ได้อีกแล้วว่ะ” “.......” “กูคิดถึงแต่มัน” ใช่...เขาไม่มีหัวใจให้ใครอีกแล้ว มันเอากลับคืนมาไม่ได้ ชาตินี้ทั้งชาติ คงฝากไว้แค่เพื่อนสนิทที่ชื่อสุดที่รัก ถึงจะครอบครองไม่ได้ แต่สถานะความเป็นเพื่อนก็ยังผูกพันเขากับมันเข้าไว้ด้วยกัน ได้ดูอยู่ห่างๆ ได้ช่วยเหลือเวลามันลำบากก็พอแล้ว “เห่ย...อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่ไม่นอนนะเว้ย ใครจะรู้วะ บางที...มึงไปฝึกงานที่ภูเก็ต อาจจะเจอคนที่ทำให้มึงหลงรักหัวปักหัวปำก็ได้ อย่าเพิ่งปิดตายหัวใจดิวะ” ชยางกูรส่ายหน้าเบาๆ นึกปฏิเสธ และไม่ยอมรับ สาบานต่อฟ้าดิน...ไอ้ชะคนนี้จะไม่รักใครอีก แล้วก็คงไม่มีใครมาทำให้เขาหลงรักจนหัวปักหัวปำอย่างที่ไอ้ม่อนว่าหรอก สุดที่รักคือคนที่เขาอยากทะนุถนอมที่สุด นอกนั้นใครหน้าไหนก็ไม่นึกเอ็นดู “กูว่าจริง” จู่ๆ พิมพ์ใจก็โผล่เข้ามาร่วมบทสนทนา แขนเรียวพาดไหล่    ชยางกูรเอาไว้ นัยหนึ่งคือต้องการหลักยึดไม่ให้ตัวเองล้มจากเก้าอี้ “ดูอย่างพี่ชายกู แม่งรักกับแฟนตั้งแต่เรียนมหาลัย จนตอนนี้สามสิบกว่าแล้ว เพิ่งจะมาเลิกกัน เพราะจับได้ว่าแฟนมีชู้ อีเหี้ยยยยย ชีวิตแม่งไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ เว้ย รักได้ ก็หมดรักได้ หมดรักแล้ว ก็เจอรักใหม่ได้ มึง...เข้าใจที่กูพูดปะวะ?” ชยางกูรขมวดคิ้ว ทอดสายตาขุ่นไปยังหน้าเวที มองรุ่นน้องร้องรำทำเพลงอย่างเลื่อนลอย โดยมีเพื่อนทั้งสองทำหน้าแดงก่ำนั่งขนาบข้าง บทเพลง ท่วงทำนอง หรือแม้กระทั่งเสียงพูดของเพื่อน ทุกอย่างล้วนเข้าหู แต่เข้าไปไม่ถึงใจเลยสักนิด คิดถึงไอ้เอ๋อ...คิดถึงหน้าเอ๋อๆ ตาเศร้าๆ ของมัน “กูว่า กูเหมือนจะเข้าใจนะ” แซลม่อนกรอกตาใช้ความคิด “เออเหรอ? แต่กูว่ากูพูดไม่รู้เรื่องละ ลิ้นแม่งเปลี้ย” “อีสัด” “เฮ้อ! พูดถึงพี่กูแล้วก็สงสารมันนะ จริงๆ มันเป็นคนเข้มแข็งแล้วก็โลกสวยมาตลอด แต่ดั้น! มาเจอคนเหี้ยๆ พวกมึงรู้มะ ว่าตอนนั้นมันกินไม่ได้ นอนไม่หลับ จัดการความคิดตัวเองไม่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นถึงจิตแพทย์ ให้คำปรึกษาคนอื่นมาตลอด แต่แค่เยียวยาปลอบใจตัวเอง ยังทำไม่เป็นเล้ย! เหมือนคนช็อตอะ เขาว่ากันว่า เวลาคนร่าเริงมาถึงจุดเศร้า แม่งน่าสงสารยิ่งกว่าคนธรรมดา กูยืนยันร้อยเปอร์เซ็นว่าจริง เพราะเห็นกับตามาแล้ว” “ความรักไม่เข้าใครออกใครหรอกว่ะ สักวันเขาก็ต้องเจอคนใหม่ที่ดีกว่า” ม่อนแสดงความเห็นข้ามหน้าคนตัวสูง “กูก็หวังว่าอย่างงั้น ขออย่าให้มันเจอคนที่เหี้ยกว่าก็แล้วกัน” คำว่าเหี้ย     คนเมากระแทกใส่หน้าชยางกูรไปเต็มๆ “มึงเมาละเนี่ย” ชยางกูรนิ่วหน้า เมื่อกลิ่นแอลกอฮอล์กระแทกจมูกเต็มเปา “มึงก็เหมือนกันนะไอ้ชะ อย่าไปทำเหี้ยใส่ใครเขาล่ะ ถ้าไม่รัก ก็อย่าไปให้ความหวัง อย่าไปหลอกลวงให้เขาหลงรักจนตัดใจจากมึงไม่ได้ เพราะคนที่รักใครแล้วรักจริง เวลาเจ็บ...มันน่าสงสารว่ะ” เธอเห็นมาแล้วกับตา ว่าคนถูกคนรักหักหลัง มันน่าสงสารแค่ไหน “พูดไรเนี่ย กูไม่ได้เลวแบบคนที่พี่มึงเจอนะ มึงเมาละ” “เออ! เมา! กูยอมรับ” “เดี๋ยวๆ อีพิมพ์ เราต้องขึ้นไปแสดงบนเวที” สุรเกียรติ์ท้วง เมื่อเห็นพิมพ์ใจคอพับคออ่อน “กูเมา!” พิมพ์ใจฟาดแขนสะเปะสะปะ ก่อนจะยิ้มกริ่มไปหากะเทยยักษ์ “แต่กูไหว...” ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงประกาศเรียกจากพิธีกรดังขึ้น “ขอเชิญพี่พิมพ์ พี่ฟ่านปิงปิง พี่ม่อน พี่เจมส์ขึ้นเวทีเต้นประกอบเพลงด้วยนะคะ ขอเสียงปรบมือด้วยค่า” คนถูกเรียกชื่อพากันลุกขึ้นยืนด้วยสภาพโงนเงน เสียงปรบมือมาพร้อมกับเสียงโห่ร้องดังเกรียวกราว ไม่รู้ว่าโห่ไล่ หรือโห่ให้กำลังใจ “พวกมึงทำไรกันเนี่ย?” ชยางกูรมองเพื่อนสลับไปมา นี่พวกมันเล่นพิเรนทร์อะไรกัน “พวกกูลงชื่อแสดงเอาไว้ เต้นให้เด็กมันดู อึก!” “ไหวแน่นะอีพิมพ์?” “ไหวดิอีห่าสุรเกียรติ์” “โว๊ะ! บอกว่าฟ่านปิงปิง” “ไอ้ชะ ไหนๆ มึงก็มาแล้ว ขึ้นไปเต้นกับพวกกูดิวะ งานนี้ได้บุญด้วย” “ได้บุญยังไงวะ?” คนตัวสูงงุนงง หากแต่ไม่ทันได้ทักท้วงอะไรอีก กลับถูกเพื่อนตัวดีอย่างไอ้ม่อนและไอ้เจมส์ ทั้งดึง ทั้งลาก ทั้งกระชากให้เดินไปยังหน้าเวที ได้บุญที่ว่า ชยางกูรเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ เมื่อก้าวขึ้นมาอยู่บนเวทีร่วมกับพวกมัน ระยะเวลาสามนาทีที่เสียงเพลงดังกระหึ่ม ไอ้พวกเพื่อนตัวดี ทั้งเต้น ทั้งเด้งเป้า โดยมีฤทธิ์แอลกอฮอล์เป็นตัวกระตุ้น บทเพลงจบลง พิมพ์ใจคว้าไมค์ขึ้นมาพูด “ได้ข่าวว่างานละครสถาปัตย์ปีนี้ยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างมาก แต่งบที่ได้ยังมีไม่พอ วันนี้กูเลยจะมาช่วยน้องๆ หาเงินไปสมทบให้ โดยการ...เปิดประมูลเพื่อนกูเอง!” “กรี๊ดดดดดดดดดด” เสียงกรีดร้องดังระงม เมื่อพิมพ์ใจดุนดันแผ่นหลัง   แซลม่อนและชยางกูรให้มายืนด้านหน้าเวที คนตัวสูงดีกรีเดือนหมกเม็ดตื่นตระหนก หันหน้ามาแหวใส่ “มึงทำไรเนี่ย กูไม่เอา!” “เอาน่าไอ้ชะ ใจๆ หน่อยดิวะ ตอนเรียนมึงได้ทำห่าไรเพื่อคณะบ้าง ไม่มี๊! ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะเว้ย ที่จะได้ช่วยหาเงินให้คณะ เอาน่า...ถือว่าช่วยน้องๆ” “จะให้กูไปทำห่าอะไร!” พิมพ์ใจโบกไม้โบกมือราวกับจะบอกว่าไม่ต้องห่วง ก่อนจะพูดใส่ไมค์อีกรอบ “ใจเย็นๆ พวกชะนี ลิง บ่าง และค่างน้อย ประมูลนี่...อย่าคิดไปไกลถึง 18+ นะคะ” “โห่!!!!!!” “คนที่ประมูลเงินได้สูงสุด พี่ชยางกูรและพี่วีรภาพ สองหนุ่มสุดหล่อ จะไปส่งบ้านในคืนนี้ หรือจะแวะแดกอะไรก่อนก็แล้วแต่ แค่นี้คงชื่นใจพอเนอะ” “กรี๊ดดดดด พอค่า เอาค่า มาเลยค่า!!!” เสียงโหยหวนดังลั่น พร้อมร่างเด็กสถาปัตย์ทั้งสี่ชั้นปีที่กรูกันเข้ามาจับจองที่ว่างด้านหน้าเวที ทุกคนต่างชูไม้ชูมือ ต้องการอยากเป็นผู้ชนะในการประมูลครั้งนี้ “อีพิมพ์! จะดีเหรอวะ?” ชยางกูรเหงื่อแตกพลั่ก มองกลุ่มนักศึกษาด้านล่างที่ทำตัวเหมือนปลาสวายอย่างหวาดหวั่น “ไม่ถามไอ้ม่อนมันหน่อยวะ?” พูดจบก็หันไปหาเพื่อนซี้ เพื่อหวังจะหาแนวร่วม ทว่ากลับต้องเจอกับร่างสูงพอๆ กันของแซลม่อน ที่กำลังเอามือประสานท้ายทอย พร้อมกับส่ายเอวไปมาเกิดเป็นท่าล่อแหลม สร้างเสียงกรี๊ดเกรียวกราวเพิ่มดีกรีความสนุก เฟ้ดเฟ่! เมื่อเห็นเพื่อนตัวดีมีทีท่าว่าจะเอ็นจอยกิจกรรมแบบสุดๆ ชยางกูรจึงไม่คิดที่จะอยู่ต่อ รีบหมุนกายหมายจะลงจากเวที แต่แล้วเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกพิมพ์ใจลากแขนกลับมาเสียก่อน “เอาล่ะๆ เริ่มจากพี่ชะก่อนเลย เริ่มต้นที่ห้าร้อย!” “ไม่เอาเว้ย!” ชยางกูรยื้อแย่งแต่ก็ไม่เป็นผล “พันนึงค่า!!” “สองพันค่า!!” “สี่พันค่า!!” “โหหหหห” “ห้าพันโว๊ย!” เพื่อนปีสี่คนหนึ่งตะโกนแทรกออกมาเพื่อปั่นราคา เสียงขานจำนวนเงินเงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง เพราะดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสู้ไหว พิมพ์ตะโกนนับหนึ่ง จนถึงสอง และในตอนนั้นเองที่มีเสียงๆ หนึ่งดังเล็ดลอดขึ้นมา พร้อมกับแขนเรียวที่ชูขึ้น “หมื่นห้าค่ะ” บรรยากาศโดยรอบเงียบกริบ แสงไฟสปอร์ตไลท์ตวัดใส่เจ้าของเสียง       ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว เป็นหญิงสาวผิวขาวใส ตาเรียวรีออกหมวย ริมฝีปากจิ้มลิ้ม “รินลณี เพื่อนซี้คิดไม่ซื่อเป็นผู้ชนะ ให้เยอะขนาดนี้ ไม่ต้องนับสาม ปิดการประมูล!” พิมพ์ใจพูดกรอกไมค์ ก่อนเปลี่ยนบรรยากาศให้กลับมาครึกครื้นดังเดิม แม้ว่าจะมีเสียงโอดครวญของสาวเล็ก สาวใหญ่ สาวไม่แท้ตามหลังมาก็ตาม เมื่อคนที่เหลือหันไปให้ความสนใจการประมูลครั้งต่อไป ชยางกูรก็เดินลงจากเวทีมาหยุดตรงหน้ารินลณี เพื่อนชั้นปีเดียวกันที่ยืนส่งยิ้มตาฉ่ำรออยู่ก่อนแล้ว “เมาจนเพี้ยนแล้ว ตื่นมาอย่างงล่ะว่าเงินหายไปไหน” “เล็กน้อยน่า ถือว่าช่วยน้องๆ” “ใจบุญ” “ถือว่าช่วยตัวเองด้วย” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว มองหญิงสาว เห็นอีกฝ่ายส่งสายตามีนัยยะมา ก็รับรู้ได้ว่าเพื่อนคนนี้ คิดกับตนอย่างไร จริงๆ แล้วที่ผ่านมา รินลณีหรือรินก็มีท่าทีแสดงออกมาตลอด ว่าเธอนั้นชอบพอเขา หากแต่สาวเจ้าไม่กล้าเปิดเผยออกมาตรงๆ ไม่เคยรุกล้ำถามหาความรู้สึก ไม่เคยทำให้เขารู้สึกลำบากใจ พวกเขาจึงอยู่บนความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนมาโดยตลอด ทว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอกัน หญิงสาวอัดอั้นและทนเก็บความรู้สึกที่มีให้ชายหนุ่มต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว งานเลี้ยงส่งจบลงที่เวลาตีหนึ่งกว่า แม้ชาวคณะสถาปัตย์ขึ้นชื่อว่ากินโหด ดื่มเหี้ยม ทว่าวันนี้ถือเป็นวันส่งท้าย ก่อนพวกปีสี่จะออกไปฝึกงาน ทุกคนจึงจัดเต็ม ดื่มกันจนเมาหัวราน้ำ ก่อนจะพากันเดินโซซัดโซเซออกจากโรงแรม บ้างมีรุ่นน้อง      ปีหนึ่งถึงกับหิ้วปีกช่วยพยุง ต่างฝ่ายต่างโบกมือล่ำลาและแยกย้ายไปคนละทิศ      คนละทาง พิมพ์ใจเองก็ไม่ต่างกัน คนก๋ากั่นเต้นเย้วๆ กระดกเหล้าเพียวบนเวทีไม่ยอมหยุด ถึงเวลานี้กลับเมาคอพับคออ่อน พูดแทบไม่รู้เรื่อง ชยางกูรและวีรภาพถึงกับต้องช่วยกันพยุงแขนกันคนละข้าง โดยมีกลุ่มเพื่อนสนิทและรินลณีเดินตามหลังมาไม่ห่าง “พิมพ์ บ้านมึงอยู่ไหนนะ?” ชยางกูรเอ่ยถาม รู้จักกันมาตั้งสี่ปี เขายังไม่เคยไปบ้านพิมพ์ใจเลยสักครั้ง ความสนิทมีมากจนเรียกได้ว่าซี้ย่ำปึ้ก แต่บางทีเรื่องที่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเบอร์โทรศัพท์หรือแม้แต่ที่อยู่ เขากลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันเท่าไหร่นัก “อือ” คนถูกถามผงกหัวขึ้นเพียงเล็กน้อย ก่อนจะทิ้งดิ่งลงเช่นเดิม “เอ้า! พวกมึงมีใครเคยไปบ้านมันไหม?” ทุกคนส่ายหน้า ส่วนรินลณียกมือ “เราเคยไปครั้งนึง แต่ไม่แน่ใจอะ บ้านพิมพ์ต้องเข้าซอย เลี้ยวไปเลี้ยวมา” หญิงสาวมึนงง เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ใบหน้าแดงระเรื่อดูน่ารักไม่หยอก ทันใดนั้นเอง มีเสียงเรียกเข้ามือถือของพิมพ์ใจที่เหน็บอยู่ตรงกระเป๋าสะพาย ชยางกูรฉวยมันมาดู ก็เห็นเป็นชื่อที่บันทึกเอาไว้ว่า ‘พี่ชาย’ ชายหนุ่มกดรับและรอฟัง “พิมพ์อยู่ไหนอ่ะ ดึกแล้วนะ ให้พี่ไปรับหรือเปล่า?” “คุณเป็นพี่ชายของพิมพ์ใจหรือเปล่าครับ?” “...ใช่ครับ” “ผมเป็นเพื่อนพิมพ์ ตอนนี้พิมพ์เมามาก จะไปส่ง แต่ไม่รู้จักที่อยู่” “ไอ้พิมพ์เอ๊ย!” คนปลายสายสบถงุ้งงิ้ง “คุณอยู่ที่ไหนครับ เดี๋ยวผมไปรับพิมพ์เอง” “แชร์โลเคชั่นมาก็ได้ เดี๋ยวผมไปส่ง ดึกดื่นแล้วมันอันตราย” ไหนๆ พิมพ์ใจก็อยู่กับเขา ให้เขาไปส่งคงจะเร็วกว่าที่ต้องรออีกฝ่ายมารับ “ไม่รบกวนคุณดีกว่าครับ ผมเกรงใจ นี่มันก็ดึกมากแล้ว” อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ไม่รู้เพราะเมาหรืออะไร ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่ามันนุ่มน่าฟัง เสี้ยววินาทีหนึ่งเขานึกอยากเห็นพี่ชายคนอกหักของพิมพ์ใจขึ้นมา “งั้นแล้วแต่คุณ พวกเราอยู่ที่หน้าโรงแรม xxx” “โอเคครับ ผมจะไปถึงไม่เกินสิบนาที” “ไม่ต้องห่วง ขับรถดีๆ ก็พอ” หลังจากวางสายไปได้เกือบสิบนาที รถยนต์สีขาวมุกก็แล่นเข้ามาจอดบริเวณหน้าโรงแรม ชยางกูรสะกิดม่อนให้ช่วยกันพยุงร่างพิมพ์ใจลุกขึ้น ทว่าในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงเรียกจากฟ่านปิงปิงแห่งพัทยาคาบาเร่ต์โชว์ดังขึ้น “ชะ! รินอ้วก!” ชยางกูรหันไปมอง ก็เห็นรินลณีโก่งคออ้วกอยู่ริมสวนด้านข้างของโรงแรม โดยมีสุรเกียรติ์ทำหน้าเหวอ คอยประคองหลังให้ “เจมส์ฝากพิมพ์หน่อย” ชายหนุ่มจับต้นแขนพิมพ์ใจยื่นให้เจมส์รับหน้าที่ต่อ ก่อนจะเดินเข้าไปหารินลณี “ไหวไหม? ไม่เคยดื่มเยอะก็ยังจะดื่มอีก” รินลณีเงยหน้ามองชายหนุ่มทั้งน้ำตาเล็ด ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือ     ชยางกูรเอาไว้ “ไม่ไหวแล้ว ไปส่งเราเลยได้ไหม?” ชยางกูรพยักหน้า ทำท่าจะเดินนำ แต่ด้วยแข้งขาคนเมาเกิดอ่อนแรงกะทันหัน รินลณีทำท่าจะล้ม คนถูกรั้งเกิดสัญชาตญาณ รีบคว้าเอวบางเอาไว้ได้ทัน ภาพคล้ายคนกอดและสบตากันประจักษ์ต่อสายตาทุกคู่ รวมไปถึงใครอีกคนซึ่งกำลังจะเปิดประตูออกมาจากรถ มือขาวชะงัก จับที่เปิดไว้อย่างนั้น มองคนที่เพิ่งต่อล้อต่อเถียงกันเมื่อช่วงบ่าย ประคองร่างหญิงสาวหน้าตาน่ารักด้วยความอ่อนโยน “โอ๊ยยยย ละครสุดๆ สะดุดขา ส่งสายตาปิ๊งๆ” เสียงเจมส์ดึงสติภาคภูมิ หมอหนุ่มเบือนสายตาหนี ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมต้องหลบเลี่ยง ตอนแรกกะจะลงไปรับร่างน้องสาวตัวดีกับมือ แต่ตอนนี้คงขอแค่นั่งรออยู่บนรถ “ฝากด้วยนะ กูจะไปส่งริน” ชยางกูรตะโกนบอกคนที่ยืนออกันอยู่ทางนี้ พร้อมกับโอบเอวพารินลณีขึ้นรถของตัวเองซึ่งจอดอยู่ใกล้ๆ “จ้าพ่อพระเอก ส่งให้ถึงห้องเขานะเว้ย อย่าให้รู้ว่าแอบแว่บไปห้องตัวเองก่อน” “วี๊ดวิ๊วๆ” “อีชะ กูก็เมา ไปส่งกูด้วย!” สุรเกียรติ์ตะโกนไล่หลังอย่างขบขัน ก่อนจะหันไปแตะมือกับม่อน เจมส์ ชยางกูรไม่ได้สนใจคำแซวทั้งหลายแหล่ เขาปิดประตูให้รินลณี ก่อนจะก้าวขึ้นรถยังฝั่งคนขับ แล้วออกรถจากไปทันที ทิ้งให้กลุ่มคนที่เหลือจัดการกันเอง “เอ้า! ก้าวขาก่อนดิ ไม่ใช่ทิ้งตัวเลย” เจมส์คนล่ำบ่นใส่พิมพ์ใจที่จงใจทิ้งดิ่งร่างนอนแนบกับเบาะรถ ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังคนขับ หวังทักทายพี่ชายของเพื่อน “อ้าว! เอ่อ...หว...หวัดดีครับ” ชายหนุ่มมองภาคภูมิและพิมพ์ใจสลับกันไปมา ทำไมโลกมันกลมจังวะ กิ๊กไอ้ชะ เป็นพี่ชายของอิพิมพ์ อ้าวแล้วเมื่อกี้...ชะกับริน “สวัสดีอีกครั้งครับคุณเจมส์” “โห เรียกซะไพเราะมากเลยครับ ไม่เคยมีใครให้เกียรติผมขนาดนี้มาก่อน ขออนุญาตเขินครับ” ภาคภูมิหัวเราะ แก้มขาวขึ้นเป็นพวงเอิบอิ่มน่ามอง มาวินาทีนี้ เจมส์เพิ่งรู้ว่าคนใกล้ตัวอย่างพิมพ์ใจ มีพี่ชายที่โคตรน่ารัก!! “ขอบคุณทุกคนมากนะครับ ที่ช่วยดูแลยัยพิมพ์ คงจะดื่มหนักมากสิท่า ถึงดูไม่ได้ขนาดนี้” “ไม่เป็นไรครับ พี่...” แซลม่อนถามขึ้นมาบ้าง มือไม้สะกิดจิกสีข้างกับเจมส์ยิกๆ “ภูมิครับ” “ไม่เป็นไรครับพี่ภูมิ พวกผมยินดีมากๆ พิมพ์เป็นเพื่อนที่น่ารัก พวกเรารักพิมพ์ใจครับ” ภาคภูมิย่นคิ้วเล็กๆ มองผู้ชายสองคนที่ส่งยิ้มมาให้อย่างงงๆ เกิดบรรยากาศนิ่งเงียบไปชั่วขณะ พี่ชายผู้น่ารักจึงเอ่ยปากบอกลา “งั้นผมไปก่อนนะครับ กลับบ้านกันดีๆ ล่ะ เอาไว้พิมพ์ฟื้นแล้วจะบอกให้ไลน์บอกทุกคนนะ” “กว่าพิมพ์จะฟื้นก็คงพรุ่งนี้ พี่ภูมิเอาไลน์ผมไปก่อนก็ได้นะครับ ถึงแล้วก็ไลน์มาบอกผมก่อน หรือไม่ก็เอาเบอร์โทรไว้ไหมครับ” “ไอ้ห่าเจมส์! นอกหน้าเกินไปละ!” “อีสุรเกียรติ์ อย่าสกัดดาวรุ่ง!” “บอกว่าฟ่านปิงปิง! พี่ ไปเลยค่ะ ขับรถออกไปเลย ก่อนที่พวกมันจะกลายร่างเป็นหม้อ เป็นไห” สุรเกียรติ์รั้งคอเสื้อเพื่อนทั้งสองให้ออกห่างจากรถ ภาคภูมิหัวเราะก่อนจะขับรถออกไป หลังขับออกมาได้ไม่นาน คนเป็นพี่ชายก็ปรายสายตามองน้องสาวอย่างเป็นห่วง พิมพ์ใจนอนสลบเหมือดอยู่บนที่นั่ง คอพับพิงประตูรถไม่ได้สติ ชั่วขณะหนึ่งสมองกลับเอาไปนึกถึงใครอีกคน “จริงๆ แล้วก็อ่อนโยนเป็นกับเขาเหมือนกันสินะ...แต่ก็คงเป็นเฉพาะกับคนน่ารักๆ” ทั้งผู้หญิงเมื่อกี้ ทั้งคุณสุดที่รัก ทุกคนล้วนแล้วแต่ดูอ่อนโยน หน้าตาน่ารักน่าทะนุถนอม “ใครมันจะชอบคนกระโดกกระเดกแบบเรา...แล้วนี่คิดอะไรอยู่ภาคภูมิ! ไปคิดถึงไอ้หมาบ้าทำไม ไม่ชอบก็ไม่เห็นเป็นไร คนโมโหร้ายพรรค์นั้น ใครจะอยากมาให้ชอบ ไม่เจอกันอีกเลยยิ่งดี!” ใบหน้าจิ้มลิ้มส่ายไปมาสลัดไล่ความคิดประหลาด ไม่รู้ทำไมต้องไปนึกถึงคนๆ นั้นด้วย ชยางกูรในหลายปีมานี้ ไม่เคยทำความประทับใจให้ ไม่เคยทำดี พูดดีต่อกัน จะมีก็แต่... แววตาดุดันที่มีความรักอันมั่นคงอยู่ในนั้น ที่มันสร้างความประทับใจ คละคลุ้งอยู่ในความคิดของคนล้มเหลวทางความรักตลอด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD