ตอนที่ 3.2

2622 Words
“เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอคนชอบคิดเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้” ภาคภูมิพึมพำ หลังจบบทสนทนากับว่าที่สถาปนิกหนุ่มด้วยการเดินหนีเข้ามาในห้อง ก่อนจัดการถอดเสื้อผ้าเปียกชื้นออกจากกาย ก่อนจะกระโจนเข้าห้องน้ำแล้วทำการชำระล้างอย่างรวดเร็ว เมื่อแล้วเสร็จก็ออกมาด้วยชุดคลุมอาบน้ำสีขาว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดซับผมเปียก การเดินเริ่มเชื่องช้าจนกลายเป็นหยุดอยู่กับที่ นัยน์ตาใสกรอกกลิ้งเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ ฉิบเป้ง! เสื้อผ้าไม่มีสักกะตัว ไอ้กระเป๋าเดินทางใบหนึ่งเปียกชุ่มถูกทิ้งไว้หน้าบ้าน ส่วนอีกใบยังอยู่บนเรือ แล้วอย่างนี้เขาจะใส่อะไรในวันพรุ่งนี้ล่ะเนี่ย คิดไม่ตกอยู่นานสองนาน สุดท้ายตัดสินใจรีบย่องลงไปยังชั้นล่าง เพื่อไปสำรวจความเสียหายของกระเป๋า เผื่อว่าโชคดี อาจจะยังมีเสื้อผ้าแห้งหลงเหลืออยู่บ้าง เปิดประตูห้องออกมาไม่พบใครก็กระหยิ่มยิ้ม ไม่รู้ชยางกูรอยู่ที่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดอยากรู้ ลอดกายออกประตูแล้วปิดลงอย่างเบามือ เขย่งปลายเท้าเดินไปตามทางราวกับแมวขโมย สาเหตุที่ทำแบบนี้เป็นเพราะไม่อยากให้ใครอีกคนต้องมาเห็นเขาในสภาพล่อแหลม คนไม่คุ้นเคย เจอหน้ากันด้วยชุดคลุมอาบน้ำ ไม่มีแม้แต่ชั้นใน แค่คิดก็อายไปถึงไหนต่อไหนแล้ว กระเป๋าใบโตถูกทิ้งไว้ตรงห้องนั่งเล่น หมอหนุ่มรีบเข้าไปรูดซิปแล้วกางมันออก ทันทีที่กระเป๋าเปิดอ้า สิ่งที่อยู่ด้านในก็ประจักษ์ต่อสายตาของเจ้าของ สภาพเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำทะเล ตรงมุมกระเป๋าเขรอะไปด้วยเม็ดทราย ไม่มีเหลือสภาพดีแม้เพียงชิ้น มือบางหยิบเสื้อยืดสำหรับใส่นอนขึ้นมาสำรวจ ปลายชายเสื้อมีหยาดน้ำหยดติ๋งๆ เป็นเครื่องการันตี “บ้าจริง” หมดความสนใจให้กับของในกระเป๋า คงต้องขึ้นไปซักเสื้อตัวเก่า แล้วรีบตาก บางทีอาจแห้งทันพรุ่งนี้ คิดได้อย่างนั้นก็หยัดกายลุกขึ้น ทว่าในจังหวะที่เดินผ่านห้องครัว ท้องกลับร้องเสียอย่างนั้น หมอหนุ่มชะงักฝีเท้า หยุดมองจานอาหารซึ่งถูกวางเตรียมไว้ให้บนโต๊ะอย่างสนใจ ทุกอย่างดูน่ารับประทานก็จริง แต่เขากลับไม่นึกอยากเลยสักนิด คงเป็นเพราะคำพูดบริภาษของใครคนนั้น ที่ก่ออารมณ์ขุ่นมัวให้คั่งค้างอยู่ในใจตลอดเวลา เขาละสายตาจากอาหาร เดินไปหยิบน้ำเปล่าในตู้เย็น จังหวะหนึ่งเหลือบเห็นเบียร์หลายกระป๋องวางเรียงกันตรงข้างฝา จู่ๆ ท้องไส้ก็เรียกร้องมันเสียอย่างนั้น สักหน่อยก็คงดี เขาหยิบเบียร์มาเปิด ก่อนยกดื่มรวดเดียวหมดกระป๋องราวกับคนกระหายน้ำ พอได้ดื่มในวันที่เจออะไรมามากมาย ก็พลอยทำให้ฤทธิ์มันสำแดงเด่นชัดมากขึ้น ฤทธิ์แอลกอฮอล์กระตุ้นเส้นเลือดให้สูบฉีด สร้างความร้อนวูบวาบตั้งแต่หัวใจขึ้นมายังพวงแก้ม กระป๋องเดียวคงไม่พอ คนเป็นหมอจึงหยิบติดมือออกมาอีกสอง ก่อนจะเดินไปยังบริเวณหน้าบ้าน ท้องฟ้ายามนี้พร่างพราวไปด้วยดวงดาว ลมเย็นฉ่ำพัดโกรกกระทบผิวกายสร้างความรู้สึกดีไม่น้อย สองเท้าเปล่าก้าวย่างไปยังเก้าอี้นอนริมสระว่ายน้ำ ก่อนทิ้งกายเอนพิงแผ่นหลังกับพนัก แล้วทอดมองออกไปยังท้องทะเลอันกว้างใหญ่ บรรยากาศดีสร้างรอยยิ้มให้คุณหมอ เขายกกระดกเบียร์ดื่มอีกครั้ง ก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าชุดคลุมเพราะมีแจ้งเตือน เป็นข้อความต่อเนื่องหลายข้อความจากกลุ่มเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยที่เขาเพิ่งมีเวลามาเปิดอ่าน ‘รู้กันยัง ตะวันแต่งงานแล้วนะ’ ประโยคแรกที่เห็น อารมณ์ผ่อนคลายถึงกับเหือดหาย นิ้วเรียวเลื่อนหน้าจอ ไล่อ่านบทสนทนาซึ่งเป็นข่าวคราวความเป็นไปของตะวันทั้งหมด มีลิงค์ข่าวในเวปไซต์บันเทิงของต่างประเทศแปะไว้ด้วย เป็นรายละเอียดเรื่องงานแต่งแบบสายฟ้าแล่บเมื่อวันก่อน ระหว่างจิตแพทย์หนุ่มชาวไทยและนางแบบสาวสุดฮ็อตชาวอังกฤษ ภาคภูมิกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็วด้วยหัวใจเต้นกระหน่ำ สุดท้ายหยุดสายตาไว้ภาพถ่ายภาพหนึ่ง ในงานแต่งงาน ท่ามกลางแขกเหรื่อฝรั่งไม่มาก เจ้าบ่าวและเจ้าสาวยืนจูบกันด้วยรอยยิ้ม ฉับพลันที่จู่ๆ หัวใจก็เหมือนมีมีดแหลมทิ่มแทงตอกอัด มือสั่นเทา ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว ไหนบอกว่ายังรักกัน...ไหนบอกจะไปเคลียร์กับทางนั้นแล้วกลับมาหาเขา เขาเม้มริมฝีปาก หลับตาแน่น สะกดกลั้นเก็บความรู้สึกหนักอึ้งไว้ ก่อนค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ แล้วไล่อ่านข้อความแสดงความยินดีจากเพื่อนทุกคน แม้ไม่เข้าใจการกระทำแสนโลเลของอดีตคนรัก แต่ในเมื่อวันนี้อีกฝ่ายตัดสินใจเลือกที่จะแต่งงานกับคนอื่น ถึงยังพูดคำยินดีได้ไม่เต็มปาก ไม่กล้าโทรหาเพราะกลัวเผลอร้องไห้ใส่ จึงเลือกส่งข้อความไปอวยพร ทำตัวกลมกลืนเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ แทน ‘ขอให้ความรักดียิ่งกว่าที่ฝัน ขอให้คนนั้นดีกว่าฉันทุกอย่าง ให้เขาคอยรัก คอยดูแลและอยู่เคียงข้าง แบบที่ฉันเองไม่เคยทำให้เธอ…ยินดีกับตะวันด้วยนะ’ เขาไม่รู้จะพูดอะไร อือ...พิมพ์เพลงไปละกัน หลังกดส่งไปได้ไม่กี่วินาที โทรศัพท์ก็สั่นครืดคามือ ภาคภูมิเบิกตาโต เมื่อปลายสายที่โทรเข้าคือเจ้าของงานแต่งที่เขาเพิ่งเล่นมุกพิมพ์เนื้อเพลงส่งไปให้ในกลุ่ม เขาลังเลไม่กล้ารับ กลัวไปหมด กลัวร้องไห้ใส่ กลัวตะวันจะยอมแพ้แล้วบอกว่าลาตลอดกาล... เขามองมันราวกับกำลังเล่นเกมแข่งห้ามกะพริบตากับคนปลายสาย แต่แล้วทนได้ไม่นาน ด้วยความอยากรู้ที่มีมาก จึงรีบกดรับสายอย่างคนหมดมาด ทว่ากลับเป็นวินาทีเดียวกับที่หน้าจอดับมืด แบตเตอรี่หมด “เอ้า!” มือบางทั้งกด ทั้งเคาะอย่างคนเสียสติ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นเลย ไอ้โทรศัพท์เฮงซวย... สุดท้ายชอกช้ำเกินจะทน จิตแพทย์หนุ่มเลยปล่อยตัวหัวใจไปกับทะเลสีดำ และซัดเบียร์ที่เหลือด้วยความขมขื่นชอกช้ำ มันเสียใจแต่ก็ไม่อยากร้องไห้ เพราะร้องมาเยอะจนไม่อยากจะร้องอีก อีกอย่าง...เรื่องระหว่างเขากับตะวันมันก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว ที่เหมือนยังมีเยื่อใย ก็เพราะแค่อีกฝ่ายดันโผล่หน้ามาเมื่อหลายวันก่อน มาจุดฉนวนให้ถ่านไฟเก่าคุขึ้นเป็นประกายเล็กๆ ในใจก็เท่านั้น วันนี้เจอแต่เรื่องมาทั้งวัน ทั้งจมน้ำ ทั้งต่อกรกับหมาบ้า แถมยังต้องมาเจอกับข่าวร้ายแห่งปีอีก คนถูกทิ้งคร่ำครวญได้ไม่นาน ก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าระคนมึนเมา ปล่อยให้อากาศเย็นกระทบผิวกายอยู่อย่างนั้น /// ด้านบนชั้นสอง ใครอีกคนมีเรื่องกระวนกระวายใจไม่ต่างกัน หลังอาบน้ำเสร็จ ว่าที่สถาปนิกหนุ่มใช้เวลาลงมือร่างแบบแปลน ออกแบบภายในโรงแรมเฟสใหม่หลายสไตล์ไว้คร่าวๆ คิดไปถึงวัสดุที่จะนำมาใช้ เพื่อนำไปเสนอและพูดคุยถามความเห็นจากธนภพวันพรุ่งนี้ ก่อนเริ่มเขาหงุดหงิดนิดหน่อยเมื่อค้นพบว่าลืมปากกาเขียนแบบคู่ใจไว้ที่บ้านของหลานชาย ใช้ปากกาอื่นไม่ชินมือ วาดผิด วาดไม่ตรงก็โทษใส่มัน สุดท้ายเลยยอมแพ้เพราะหัวเสีย ทิ้งงานทุกอย่างไว้บนโต๊ะเพียงเพราะมีเจ้าของปากกาตัวจริงโผล่แทรกเข้ามาในความคิด จิตใจว้าวุ่นเพราะไม่ได้ติดต่อหามันมาหลายวัน อยู่ทางนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด เลยไม่ยอมให้ตัวเองฟุ้งซ่านอีกต่อไป จึงคว้าเอามือถือกดโทรหาพลางเดินออกมารับลมยังระเบียงห้อง ขออภัยค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้... ชยางกูรสบถในลำคอ กดโทรอีกหลายครั้ง ปลายสายก็ยังคงติดต่อไม่ได้ คงอยู่ในที่อับสัญญาณ สุดท้ายยอมแพ้ ทำได้แค่ส่งข้อความแสดงความเป็นห่วงไปทางแชทส่วนตัว ก่อนจะเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง ทิ้งเรื่องว้าวุ่นออกจากความคิด ทอดมองทิวทัศน์เบื้องหน้า ท้องทะเลและท้องฟ้ายามนี้เป็นสีครามเข้ม เสียงคลื่นซัดสาดหาดทรายแว่วอยู่ไกลๆ ลมเย็นพัดโกรกค่อยๆ ขจัดความว้าวุ่นที่เกิดขึ้นภายในใจของชายหนุ่มให้หลุดลอยหายไปพร้อมกับสายลม เขาชื่นชอบที่นี่ และหลงรักทุกครั้งที่ได้มา ที่นี่เคยมีกลิ่นอายความอบอุ่นของความเป็นครอบครัว เสียดายที่ตอนนี้มันกลับไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกแล้ว ทั้งทานตะวันที่เคยสดใส ทั้งพี่ขวัญที่เคยเป็นทุกอย่าง ธนภพจะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวแค่ไหนกันที่ต้องสูญเสียคนรักทั้งสองให้กับโลกใบนี้ คนไม่เคยมีครอบครัวได้แต่คิดไปเรื่อยเปื่อยท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ ทว่าในขณะที่เอาใจไปใส่ในเรื่องอื่น กลับต้องมีอันหยุดชะงัก หลังหางตาสบเข้ากับร่างของใครอีกคนตรงเก้าอี้ริมสระว่ายน้ำ มานอนตากลมตั้งแต่เมื่อไหร่ ชายหนุ่มเพ่งสายตามองคนสวมเพียงชุดคลุมอาบน้ำนอนตะแคง คุดคู้กายหลับใหลไม่รู้ตัว มีกระป๋องเบียร์ถูกวางทิ้งไว้บนพื้น แล้วนั่นแต่งตัวโป๊แทบเปลือยโชว์ขาขาวให้ใครดูกันล่ะ ไม่อายฟ้าอายดิน ก็ควรจะอายคนอาศัยชายคาบ้านหลังเดียวกันอย่างเขาบ้าง สำหรับคนชอบพอกันคงชอบใจที่ได้มอง แต่สำหรับเขา ภาพหมอหนุ่มร่างบางนอนเอาขาหมิ่นเหม่กัน ชายเสื้อคลุมเลิกขึ้นจนเผยต้นขาขาว มันไม่ได้น่ามองเลยสักนิด...เรียกว่าอุจาดตาเลยจะดีกว่า  “ทำอย่างกับอยู่บ้านตัวเอง สบายดีแท้” เขาพึมพำ นี่ถ้าเป็นสุดที่รักล่ะก็ เขาไม่ยอมให้มานอนตรงนั้นแน่ จะรีบอุ้มกลับขึ้นห้อง ไม่ให้ใครมาเห็นแม้แต่ปลายนิ้วก้อย แต่นี่เป็นคนที่เอาแต่สร้างเรื่องยุ่ง จึงเลือกจะเพิกเฉย หมุนกายเดินกลับเข้าห้องนอน ใครใคร่นอนไหนก็นอนไปเถอะ ทว่าก้าวได้ไม่กี่ก้าวก็มีอันต้องหยุดชะงัก เหตุเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำหนักมาตามถนนก่อนหยุดอยู่ใกล้ๆ ว่าที่สถาปนิกหนุ่มเงี่ยหูฟัง เพื่อให้แน่ใจว่ามีคนบุกรุกเข้ามาในบริเวณบ้านจริง ก่อนจะเดินย่องกลับมายังริมระเบียงยืนยันด้วยตา เขาเห็นร่างสูงของใคร       คนหนึ่งยืนจังก้า กำลังมองคนหลับใหลไม่รู้เรื่องบนเตียงเอนริมสระน้ำ เสี้ยววินาทีต่อมา มือหนาทำท่าจะเอื้อมไปแตะต้อง ไวกว่าความคิด ชยางกูรรีบวิ่งลงไปยังชั้นล่างทันที “หยุด” ฝีเท้าหนักพร้อมเสียงคำสั่งของชยางกูรดึงความสนใจจากคนมาใหม่ ก่อนที่ปลายนิ้วนั้นจะสัมผัสกับร่างบางเกือบเปลือยของภาคภูมิ ชายปริศนาชักมือกลับ ก่อนจะถอดหมวกแก๊ปเพื่อเปิดเผยใบหน้า หลังเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร “คุณชะ!” “ชล” เจ้าของชื่อยิ้มกว้าง โผกายเข้าไปกอดเจ้านายน้อยของตัวเอง ชลธี เป็นลูกชายของลุงเอี่ยม อายุเท่ากับชยางกูร พวกเขาเป็นเหมือนเพื่อนมากกว่าจะเป็นเจ้านายอย่างที่ชลตั้งสถานะเอาไว้ รู้จักกันมาตั้งแต่มัธยมต้น จึงคุ้นเคยและสนิทกันเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่มาเที่ยวที่นี่ ชยางกูรก็มักจะไปเที่ยวเล่นกับชลธีอยู่เสมอ ปีนี้ชลธีเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ได้ข่าวว่าทำงานให้ธนภพเกี่ยวกับธุรกิจใหม่ที่พี่เขยกำลังลงทุน “โคตรคิดถึง” “แล้วมานี่ทำไมดึกดื่นเที่ยงคืน”  “พอดีเพิ่งส่งของล็อตสุดท้ายให้คุณภพที่ภูเก็ตเสร็จ กลับมาพ่อก็วานให้มาดูบ้าน บอกคุณชะมาพักที่นี่ แล้วนี่...” ชายหนุ่มเหลือบตามองใครอีกคนที่ยังคงนอนไม่รู้เรื่อง ว่าที่สถาปนิกหนุ่มละล่ำละลักอยู่ในที รีบโน้มกายบังร่างบางเอาไว้ จังหวะหนึ่งจับปลายเสื้อคลุมให้กลับคืนสู่ที่ เพื่อปกปิดผิวกายที่มองดูใกล้ๆ แล้ว... ไม่ได้อุจาดอย่างที่คิด ก่อนจะถือวิสาสะช้อนอุ้มร่างบางขึ้นแนบอก แล้วตัดบท “ไม่มีอะไร มึงไปพักผ่อนเถอะ เอาไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้” ไม่ทันให้อีกฝ่ายกล่าวล่ำลา ว่าที่สถาปนิกก็จ้ำอ้าวอุ้มร่างบางขึ้นไปยังชั้นสอง ก่อนหมุนเปิดประตูห้องนอนของเจ้าตัว แต่กลับพบว่ามันถูกล็อคเอาไว้ “เชี่ย” เขาสบถ พลางตวัดสายตาขุ่นเคืองใส่คนในวงแขน “ยุ่งจริง” คงซุ่มซ่ามเผลอล็อคไม่รู้ตัวล่ะสิ “คุณ...นี่คุณ...” “อือออ” ชยางกูรเขย่าตัวหมอหนุ่ม พร้อมกับเรียกเสียงเข้ม หากแต่ผลที่ได้รับกลับมามีเพียงเสียงครางอืออาในลำคอ เขาไม่คิดทน เดินมายังห้องนอนของตัวเอง เพราะขี้เกียจไปหากุญแจสำรอง มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขาที่จะต้องบริการส่งคนเมาให้ถึงเตียง อีกอย่างเขาเพลียและง่วงนอนมากด้วย แค่อุ้มขึ้นมา เลี่ยงลมหนาว ก็บุญแค่ไหนแล้ว เมื่อเข้ามาในห้อง ชยางกูรก็โยนร่างหมอหนุ่มลงบนเตียงไร้ความปรานีทันที เขามองคนเมาทำหน้ายุ่ง ขยับกายชั่วครู่ ภาคภูมิหลับสนิทด้วยความอ่อนล้า แถมยังตัวแดงแจ๋ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ผิดมนุษย์มนา คนมีสติเผลอไผลไล่สายตามองไปถ้วนทั่ว แล้วเบือนหน้าหนี ก่อนจะถอดเสื้อยืดของตัวเองออก เวลานอน เขาไม่ชอบใส่เสื้อผ้า มันอึดอัด หลังจากนั้นก็เดินไปปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้พอดี ก่อนจะปิดสวิตช์ไฟ แล้วขึ้นก้าวขาขึ้นเตียง หลับตาลงไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทรา แต่แล้วจู่ๆ สติกลับถูกฉุดให้ฟื้นคืนอีกครั้ง คนข้างกายที่เขาปล่อยให้นอนบนผ้าห่มขยับตัวเข้ามาใกล้เหมือนต้องการควานหาที่อุ่น ชยางกูรถอนหายใจ ตวัดสายตายุ่งๆ มองคนตัวขาว มือบางยามนี้เอื้อมมาเกาะกุมต้นแขน พร้อมกับซุกใบหน้าเรียวเล็กไว้ตรงซอกคอเขา ก่อนเสียงพึมพำจะดังเล็ดลอดออกมาจากลำคอ “ไหนว่าจะกลับมา รู้ไหมว่ารอ...สามปีเลยนะที่ภูมิรอให้ตะวันกลับมาอธิบาย...” “......” “ไม่มีตะวันแล้ว ภาคภูมิจะอยู่ยังไง...”  คำคร่ำครวญแปล่งพร่ามาพร้อมกับน้ำตาใสที่ไหลริน ท่ามกลางความมืดสลัว ชยางภูรเห็นภาคภูมิร้องไห้เต็มสองตา เขาเหลือบแลมองอยู่อย่างนั้น ยอมรับว่าน้ำเสียงกับน้ำตาทำเอาหัวใจเขากวัดแกว่งไปชั่วขณะ เวทนา...คำนี้คงเหมาะที่สุด คนที่ถูกเขาครหาปาวๆ มาทั้งวัน แท้จริงแล้วเบื้องลึกภายในใจนั้น ก็มีแต่เรื่องว้าวุ่นให้ต้องคิดไม่ต่างกัน วินาทีนั้นเองที่ชายหนุ่มยอมลดอคติลง ตวัดรั้งร่างบางให้เข้ามานอนใน    ผ้าห่มผืนเดียวกัน ห่อกายอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยวงแขนอีกชั้นหนึ่ง ก่อนพึมพำแล้วหลับไป “รักอึด รักทนจังวะ เขาทิ้งขนาดนั้นยังรักได้อยู่อีก คนประหลาด”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD