ตอนที่ 4.1 ทำร้ายใจ

4562 Words
 ค่ำคืนอันแสนยาวนานผ่านพ้นไป กลายเป็นวันใหม่ที่สดใสขึ้น ร่างสองร่างที่ผล็อยหลับไล่เลี่ยกันเมื่อคืน เวลานี้ก็ยังคงนอนเรียงเคียงกันภายใต้ผ้าห่มผืนเดียว คนนอนตะแคงอยู่ด้านหน้าถูกแขนแกร่งด้วยมัดกล้ามของคนที่นอนซ้อนทางด้านหลังกอดรัดเอาไว้ เนื้อแน่นอุ่นร้อนสร้างความผ่อนคลายให้คนเมาด้วยฤทธิ์เบียร์และล้าด้วยฤทธิ์เหตุการณ์มากมายเมื่อวานหลับสนิทตลอดคืนมาจนกระทั่งตอนนี้ หากแต่ฟ้าสางในยามนี้ กลับมีแสงอาทิตย์เล็ดลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาทิ่มแทงแยงตา คนเป็นหมอตื่นเช้าเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว ถึงเริ่มรู้สึกตัวพลางขยุกขยิกกาย เจ้าของร่างบางครางในลำคอ ก่อนจะเบียดเสียดผิวกายเข้าหาความอบอุ่นด้านหลังตน ห้วงนิทรายังไม่สลายหายไปดีนัก ทำให้เผลอไผลคิดว่านี่คือเหตุการณ์ในวันวาน วันที่ยังคงมีชายคนรักที่ชื่อตะวันอยู่เคียงข้าง นอนกกกอดร่วมเตียงเดียวกันด้วยความสุขล้น เพราะคิดว่าเป็นตะวัน ถึงได้เอื้อมมือไปลูบไล้ท้ายทอยด้วยความเอ็นดู แถมคนด้านหลังก็ยังตอบสนองกลับเป็นอย่างดี โดยการขยับเข้าหาใช้หน้าท้องน้อยเบียดบั้นท้ายจนแนบแน่น พร้อมกับซุกใบหน้าลงซอกคอ และกระชับวงแขนรัดร่างจนจมมิดอก กายทุกสัดส่วนแนบสนิทชิดกันไร้ช่องว่าง แม้กระทั่งอากาศก็ยังไม่มีโอกาสได้แทรกซึม อ้อมกอดของตะวันอบอุ่นที่สุดแล้ว ทว่าห้วงความคิดหนึ่งกลับผุดแทรก เมื่อมีสิ่งหนึ่งแตกต่างไปจากเดิม นั่นคือกลิ่นกายที่ไม่เหมือนแต่ก่อน ตะวันเป็นคนมีกลิ่นหอมสะอาดด้วยน้ำหอมราคาแพงที่มักเจือติดผิวกายตลอดเวลาจนเป็นเอกลักษณ์ ส่วนใครคนนี้ไม่ได้มีกลิ่นหอมไปในทางนั้น มีเพียงกลิ่นครีมอาบน้ำแบบสปอร์ตเคลือบผิวกายอยู่จางๆ และที่สำคัญ...ตะวันไม่เคยถอดเสื้อเปลือยกายนอนแบบนี้ เพราะรู้สึกถึงความแตกต่าง วินาทีนั้นคนกำลังเคลิบเคลิ้มถึงกับหยุดชะงัก ตาเบิกกว้าง สติพลันกลับคืนสู่ความจริง ภาพเหตุการณ์ตั้งแต่เดินทางมาภูเก็ต กระทั่งจมน้ำ ตลอดจนโต้เถียงกับหมาบ้าฉาดฉายเลื่อนไหลราวกับม้วนฟิล์มในสมอง หมอหนุ่มหันขวับไปมองคนด้านหลังก็ถึงกับตกตะลึง อ้อมกอดในตอนนี้กลับไม่ใช่ของอดีตคนรักอย่างที่คิด “เฮ้ย!” เขาร้องเสียงหลง ผลักแขนแกร่งออกจากเอว ก่อนจะรีบยันกายลุกออกจากเตียง ชุดคลุมหลุดลุ่ยเพราะเชือกหายไปไหนไม่รู้ เผยให้เห็นกายบางเปลือยเปล่า เสี้ยววินาทีเขารีบตะครุบสาบเสื้อปิดทับร่างเอาไว้ โฟกัสนัยน์ตาพร่าเบลอเหลือบเห็นแว่นตาของตัวเองตกอยู่ข้างเตียงลางๆ จึงรีบหยิบขึ้นมาใส่โดยพลัน โชคยังดีที่ชยางกูรยังงัวเงียเมาขี้ตา เลยไม่ทันได้เห็นภาพวาบหวิวนั้น “ค..คุณมากอดผมทำไม! แล้วทำไมผมมานอนกับคุณได้อะ แล้ว...แล้วนั่นทำไมคุณไม่ใส่เสื้อ!” ภาคภูมิร้อนรนถามหาความจริง ทำไมชยางกูรถึงได้เปลือยกาย โชว์มัดกล้าม แถมยังนอนร่วมเตียงเคียงหมอนกอดเขาแบบนี้ ทั้งๆ ที่เมื่อวานยังแสดงท่าทีรังเกียจใส่กันอยู่เลย ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนเราสองคน... คิดมาถึงตรงนี้ หมอหนุ่มถึงกับรีบก้มสำรวจร่างกายของตัวเองทันที เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาไม่รู้สึกตัว ไม่รู้เรื่องอะไรเลย? “อะไรของคุณ?” ชยางกูรงัวเงีย ชายหนุ่มเพิ่งตื่นเอาตอนที่ได้ยินเสียงร้องของภาคภูมิ พร้อมกับผืนเตียงขยับไหว เขายันกายลุกนั่งพลางปรือตามองภาคภูมิกำลังก้มสำรวจร่างกายตัวเองอย่างร้อนรน “นี่คุณทำอะไรผมหรือเปล่า?” ภาคภูมิคาดคั้นชยางกูร เสื้อผ้าหลุดลุ่ยกันขนาดนี้จะให้คิดอะไรได้ จังหวะหนึ่งหวาดระแวงจนถึงขั้นหยิบหมอนฟาดใส่คนตัวสูงเสียเต็มแรงไปหลายที “คุณมันฉวยโอกาสจริงๆ!” ภาคภูมิลนลาน ความหวาดกลัวจับจิตตีตื้นขึ้นมาในความรู้สึก ไม่สิ! เขาต้องไม่พลาดกับอะไรแบบนี้ ต้องไม่ถูกรังแกโดยไม่รู้ตัวแบบนี้  เขากลัว...กลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดขึ้น จนทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปตลอดกาล “เฮ้ยๆๆ เป็นบ้าอะไรเนี่ย!” ชยางกูรปัดหมอนที่อีกฝ่ายใช้ฟาดตน ช่วงชุลมุนจังหวะหนึ่งใบหน้าคมเข้มถูกมือบางตวัดใส่เข้าอย่างจัง สุดท้ายทนไม่ไหว กระชากหมอนแล้วเขวี้ยงไปไกล ก่อนจะผลักภาคภูมิให้ล้มลงเพื่อยับยั้งสติคลั่ง ภาคภูมิหงายหลังก้นจ้ำเบ้า ชายเสื้อคลุมแยกออกเผยผิวขาวช่วงบน ดีที่เจ้าตัวตะครุบช่วงล่างไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีหน้าให้อับอาย ชยางกูรสะบัดไล่ความมึนจากแรงตบ ก่อนปรี่เข้าไปกระชากแขนร่างบางให้ลุกขึ้นด้วยความโมโห “กับอีแค่นอนด้วยกันบนเตียง ทำอย่างกับผมไปข่มขืนคุณอย่างนั้นแหละ” “หรือมันไม่ใช่ คุณมันพวกปากว่าตาขยิบ คุณไม่ชอบผม แล้วทำไมถึงพาผมมานอนด้วยกันล่ะ แถมฉวยโอกาสตอนผมหลับไม่รู้เรื่องอีก...” ภาคภูมิยากจะเอ่ย ถึงได้หยุดคำพูดไว้แค่นั้น ชยางกูรขมวดคิ้วมุ่น มองภาคภูมิทำหวงเนื้อหวงตัว ก่อนถอนหายใจเพราะเหมือนจะเพิ่งเข้าใจ “อย่าบอกนะว่าคิดว่าผมทำอะไรคุณจริงๆ” เห็นอ้ำอึ้ง ก็เข้าใจได้ทันทีว่า  อีกฝ่ายคิดอย่างนั้น “ฟังนะ ถึงคุณจะตัวเปล่าล่อนจ้อนนอนรอให้ผมเอา ผมก็ไม่คิดเอา คุณมันไม่ได้น่าพิศวาสไม่ต้องห่วง แล้วไอ้ที่คุณมานอนอยู่บนเตียงผมน่ะ เพราะคุณเมาหนักมาก ดื่มเบียร์จนเมาหลับคาที่ นี่ถ้าผมไม่ออกมาเดินดู คงได้นอนตากลม ให้ยุงดูดเลือดเล่นทั้งคืน ต้องขอบคุณผมด้วยซ้ำที่อุ้มคุณเข้ามา จะพาเข้าห้องตัวเองก็ดันล็อคประตู เลยต้องให้มานอนด้วยกัน โอ๊ย! วีรกรรมเยอะ” คำอธิบายไขข้อกระจ่าง ทำเอาภาคภูมิชักไม่มั่นใจในตัวเองเสียแล้ว “คุณ...ไม่ได้ทำอะไรผมจริงๆ เหรอ?” ภาคภูมิเสียงแผ่วลงจนแทบกระซิบ อาจเป็นไปได้ เมื่อคืนจำได้ว่าหลังจากจมน้ำ เขารู้สึกปวดหัว ตัวอุ่นหน่อยๆ กินเบียร์ย้อมใจเรื่องตะวันแล้วก็ดันเผลอหลับไปตรงริมสระน้ำ “ผมไม่นิยมวัฏจักรชั้นล่าง” คำพูดชยางกูรทำเอาสะอึก แต่ถึงอย่างนั้นความดีใจก็มีมากกว่า ในเมื่อชายหนุ่มยืนยัน และจากการคลำไม่พบส่วนสึกหรอภายในร่างกายแล้ว ทั้งหมดก็   บ่งบอกได้ดีว่าเมื่อคืนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็โล่งอก... “คุณอุ้มผมมาเหรอ?” ภาคภูมิหน้าหงอ “ก็ใช่น่ะสิ คิดว่าพาเหาะมาได้หรือไง?” ชยางกูรเลิกคิ้ว “แล้วคุณถอดเสื้อทำไมล่ะ?” หมอหนุ่มชี้นิ้วไปยังแผงอกสีแทน ก่อนจะเบือนหน้าหนีเพราะทนมองนานๆ ไม่ได้ ก็...รูปร่างชยางกูรดูดีน้อยเสียที่ไหน... “ผมชอบถอดเสื้อนอน จริงๆ ก็ถอดหมดทุกอย่าง เผอิญมีคุณอยู่ ไม่งั้นคงไม่เหลือแม้แต่กางเกงใน” “ลามก...” หมอหนุ่มหน้าเหวอ หัวใจเต้นเร่า คนบ้าอะไรพูดจาห่ามได้อีก... “แล้วคุณมากอดผมทำไม ผมมันวัฏจักรชั้นล่างไม่ใช่หรือไง?” ยังจำประโยคดูถูกได้ไม่ลืม ถึงได้ถามเพราะบางทีก็อยากเอาชนะอีกฝ่ายบ้าง เขาอยากจะรู้ อ้อมกอดถึงเนื้อถึงตัว ถ้าไม่รู้สึกดีมันจะรู้สึกอะไรไปได้ คนถูกถามนิ่งเงียบไปเสี้ยววินาที ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ต้องถามคุณมากกว่า ว่าคุณมากอดผมก่อนทำไม” “ผมเนี่ยนะไปกอดคุณก่อน?” เมื่อเห็นสีหน้ามึนงงไปไม่เป็น ชยางกูรก็รู้ทันทีว่าภาคภูมิจำอะไรไม่ได้เลย นั่นแปลว่าเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ “ผมจะเล่าให้ฟังก็ได้ ถ้าคุณอยากจะรู้นัก เมื่อคืนหลังจากที่ผมใจดีพาคุณมานอนด้วย คุณก็เป็นฝ่ายเข้ามาหาผม คุณกอดผม เอาหน้ามาซุกคอ แล้วก็       ออดอ้อนขอให้กอด พอผมไม่กอดก็ร้องห่มร้องไห้ งอแงหนักจนผมต้องสงเคราะห์ให้” “ผ...ผมทำแบบนั้นเหรอ?” น้ำเสียงคนถามแผ่วเบาราวกับไม่มั่นใจ ชยางกูรกระหยิ่มยิ้มย่องที่อีกฝ่ายหลงเชื่อ ทุกเรื่องคือความจริง ยกเว้นเรื่องที่ภาคภูมิขอให้กอด เขาโกหกเพื่อให้อีกคนต้องอับอาย ให้คิดว่าเขาไม่ได้อยากเข้าหาแต่ก็ต้องจำใจสนองความต้องการให้ ทั้งๆ ที่...เป็นเขานั่นล่ะที่เผลอไปกอดอีกฝ่ายตลอดคืน เหตุผลแท้จริงไม่มีอะไรมาก ก็แค่...เขาหนาว แถมยังมีตัวนุ่มนิ่ม ผิวขาวมานอนอ่อยอยู่ใกล้ๆ อีก ผู้ชายร้อยทั้งร้อยใครบ้างจะไม่กอด แม้ไม่มีความรู้สึกทางใจ แต่ความรู้สึกทางกายก็สามารถเป็นข้อยกเว้นให้เผลอได้อยู่เหมือนกัน “รู้ไหมว่ารอ...สามปีเลยนะที่ภูมิรอให้ตะวันกลับมาอธิบาย...” “......” “ไม่มีตะวันแล้ว ภาคภูมิจะอยู่ยังไง...” “......” “คุณละเมอใส่ผมแบบนี้ แล้วก็กอดเอาๆ จำได้หรือเปล่า?” แม้จำคำพูดของตัวเองทั้งหมดไม่ได้ แต่ภาคภูมิก็รู้ดีว่าสิ่งที่ชยางกูรถ่ายทอดคือเรื่องจริง เมื่อคืนก่อนเผลอหลับเขานึกตัดพ้อตะวัน หลังรับรู้ว่าอีกฝ่าย ตกลงแต่งงานกับคนอื่น เมื่อจำนนโดยหลักฐาน นัยน์ตาใสสะท้อนผ่านเลนส์แว่นจึงหลุบต่ำลงพื้น ชยางกูรใช้เวลานี้กวาดสายตามองเรือนร่างคนยอมศิโรราบอย่างเหนือกว่า ภาคภูมิรูปร่างผอมสูง ผิวขาวสะอาดตาเหมือนลูกผู้ดี แม้อายุจะอยู่ในช่วงเลขสามเข้าไปแล้ว แต่ใบหน้ากลับดูอ่อนเยาว์ราวกับเด็กเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย นี่ถ้าบอกว่าเป็นรุ่นเดียวกัน ไอ้ชะก็ไม่นึกเถียง “ผมผิดจริงๆ นั่นแหละ ขอโทษนะครับ ขอโทษที่ทำรุนแรง” ภาคภูมิเอ่ย พร้อมมองข้างแก้มชยางกูรที่บัดนี้แดงเถือกเป็นรอยนิ้ว ชยางกูรแสร้งเบือนหน้าหนีเมื่อใต้อกแกร่งกวัดแกว่งเพราะคำขอโทษ หลอกง่ายฉิบเป๋ง... แต่เพื่อไม่ได้ถูกจับได้ เขาจำต้องเดินหน้าถากถางคนตรงหน้าต่อ “ถามจริงเถอะ คุณง่ายแบบนี้กับทุกคนที่เพิ่งเจอกันเลยหรือเปล่า?” เขาสงสัยว่าคนอายุปูนนี้ที่คงผ่านอะไรมาเยอะ จะมีพฤติกรรมไร้ซึ่งการหวงเนื้อหวงตัวกับคนแปลกหน้าง่ายดายแบบนี้กับทุกคนเลยหรือเปล่า ทว่าคำถามหยามเกียรติของชายหนุ่มกลับทำให้คนฟังฉุนกึก ตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจ “ผมไม่ได้ง่าย นี่คุณจะกล่าวหาผมมากเกินไปแล้วนะ” “ผมแค่ถาม ยังไม่ได้พูดเลยว่าคุณง่ายกับทุกคน แล้วไอ้อาการออดอ้อนใส่ผมเมื่อคืนนั่นมันหมายความว่ายังไงล่ะ หรือคิดว่าผมเป็นไอ้หมอหน้าจืดนั่น?” “เปล่าซะหน่อย! แค่เมื่อคืน...ผมคงเจอเรื่องร้ายๆ เยอะไปหน่อย เลยเผลอกอดคุณโดยไม่รู้ตัว” ใบหน้าขาวบัดนี้แดงซ่าน มันผสมปนเปทั้งความโกรธและ   ความอับอาย นึกโทษตัวเองที่มีนิสัยชอบละเมอจนบางครั้งก็เก็บความลับภายในใจไว้ไม่อยู่ แถมยังเผลอไผลทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัวอีก ไม่น่าเลย...ไม่น่าดื่มเบียร์ ไม่น่าคิดมากเรื่องตะวัน จนเผลอทำตัวดูง่ายให้ใครเขาดูถูก ทั้งที่จริงเขาไม่ใช่คนง่ายเลยสักนิด ภาคภูมิเบือนหน้าหนี ก่อนจู่ๆ ไอ้หมาบ้าจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ กว่าจะรู้ตัวว่าถูกต้อน ก็เป็นตอนที่แผ่นหลังแนบชิดติดกระจก แล้วถูกสองแขนแกร่งกักกันร่างเสียแล้ว “เขินเหรอ? หน้าแดงขนาดนี้” “......” “เอาจริงๆ ก็ควรเขินนะ เพราะผมไม่ได้กอดใครง่ายๆ” ภาคภูมิหน้าเหวอ นอกจากจะเป็นคนปากหมา ปากเสีย พูดตรงเกินเหตุแล้ว เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าชยางกูรแม่งโคตรหลงตัวเอง เออ! ส่วนหนึ่งก็เขิน เขินจริงๆ นั่นแหละ ใครบ้างจะไม่เขินกับซิกแพ็คสีแทน แน่นไปทั้งตัว สามปีแล้วนะที่เขาไม่มีใครมากอดแบบนี้ แต่ที่ไม่โต้ตอบ คือกลัวเสียฟอร์ม เดี๋ยวหมาบ้าได้หลงตัวเอง ข่มตนไปกันใหญ่ ชยางกูรแค่นยิ้ม มองภาคภูมิที่พยายามหลบเลี่ยงเขาอย่างพึงพอใจ แค่       อ้อมกอดของเขาก็ทำให้อีกฝ่ายหน้าแดง ทำตัวไม่ถูกขนาดนี้เชียว? ชายหนุ่มรามือ เลิกสนใจเพราะเห็นว่าสายแล้ว เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบผ้าเช็ดตัวมาพาดไว้บนบ่า ก่อนจะเดินออกไปหยิบเสื้อผ้าของธนภพในห้องนอนใหญ่มาสองชุด แล้วโยนมันไว้ที่เตียงหนึ่งชุด “นั่นของคุณ ผมไม่รู้ว่าพี่ภพเอากุญแจสำรองทั้งหมดเก็บไว้ที่ไหน เสื้อผ้าของคุณก็คงเปียกหมด ใช้ของพี่เขยผมไปก่อนก็แล้วกัน ผมจะอาบน้ำก่อน ส่วนคุณ...” เขาชี้นิ้วใส่หน้าภาคภูมิ “ลงไปทำอาหารเช้าซะ” “ทำไมผมต้องทำ?” ภาคภูมิขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ว่าที่นี่จะมีบริการอาหารเช้าให้หรอกเหรอ พี่ภพต้องเตรียมให้อยู่แล้ว...” ธนภพไม่น่าใจร้ายถึงขั้นให้แขกทำอาหารกินเองหรอกมั้ง “อยู่บ้านคนอื่นยังคิดจะให้คนอื่นมาประเคนอาหารให้อยู่อีกเหรอ มีมารยาทบ้างหรือเปล่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย หรือไม่รู้ว่าบ้านหลังนี้พี่ภพยกให้เราสองคนอยู่ด้วยกัน หรือ...คิดว่าจะได้กินนอนอยู่กับเจ้าของโรงแรม ถึงจะได้มีอภิสิทธิ์ มีฟูลเซอร์วิสเสิร์ฟอาหารเช้าให้ถึงเตียง?” ภาคภูมิหน้าชา หากแต่เถียงอะไรไม่ได้ อยู่กับคนใจยักษ์ใจมารแบบนี้ เถียงไปก็มีแต่จะเป็นฝ่ายแพ้ ยิ่งชยางกูรเป็นถึงน้องชายภรรยาของรุ่นพี่ ชายหนุ่มยิ่งมีภาษีและถือเป็นเจ้าบ้านคนหนึ่ง เขาเป็นผู้อาศัยก็คงต้องยอมทำตามคำบัญชา “คุณอยากกินอะไรล่ะ?” ใบหน้าขาวมุ่ยเล็กๆ “ผมกินอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่พวกอาหารฝรั่ง แฮม ไส้กรอก ชีส เนย ขนมปัง อะไรพวกนี้ผมไม่ชอบ” ไหนบอกอะไรก็ได้ไง เยอะ! “ตามนั้นครับ” ความคิดกับสิ่งที่พูดมันแตกต่าง ภาคภูมิเลือกเก็บกลืนความคิด แล้วก็พูดแต่สิ่งที่ไม่สร้างความสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ทะเลาะกันอีก เขารับคำ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง หลังประตูปิดฉับ ชยางกูรยกโทรศัพท์ต่อสายหาห้องอาหาร “ชยางกูรนะครับ ต่อไปนี้ไม่ต้องเตรียมอาหารให้ผมกับแขกของพี่ภพ เอาแค่ของสดมาใส่ไว้ในตู้เย็นก็พอ”   อาหารทุกมื้อน่ะ แน่นอนว่าคนเป็นพี่เขยเตรียมไว้ให้ที่โรงแรมแล้ว เขามาทีไรก็ได้ทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารเป็นประจำ แต่เพราะนึกชัง ถึงได้แกล้งให้ภาคภูมิต้องลำบาก หลังเอ่ยปากสั่งเสร็จก็ทิ้งโทรศัพท์ไว้บนเตียง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว พอถูกสั่งให้มาทำอาหารเช้า คนเป็นหมอก็ผันอาชีพมาเป็นพ่อครัวชั่วคราว เขาเดินเข้าครัว แล้วเริ่มต้นทำอาหารโดยมีโจทย์ว่าต้องไม่ใช่อาหารฝรั่ง เขานึกถึงอาหารง่ายๆ อย่างข้าวต้ม มือบางเปิดตู้เย็นเพื่อมองหาวัตถุดิบ เห็นเนื้อปลาเป็นชิ้นพันแร็ปไว้ที่ช่องแช่เนื้อสัตว์ จึงคิดทำข้าวต้มปลา ก่อนเริ่มลงมือทำอย่างคล่องแคล่ว หุงข้าว ต้มน้ำซุป หั่นเนื้อปลา ใส่ใจรายละเอียดจนถึงขั้นเจียวกระเทียมเพิ่มความหอมให้อีกด้วย คนสูงวัยก็งี้...ทำเอง กินเองบ่อย อยู่บ้านก็เข้าครัวช่วยแม่ทำบ่อยเหมือนกัน บ่อยกว่าเจ้าพิมพ์ใจเยอะ  ไม่นาน ข้าวต้มปลาก็ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ เขาตักมันใส่ถ้วยเซรามิกสีขาวสองชาม ก่อนจะปิดจ๊อบด้วยการโรยผักชีไว้ด้านบน ก่อนถอยออกมามองผลงานด้วยความภาคภูมิใจ การทำอาหารทำให้จิตใจเขาสงบมากขึ้น เขาหลงลืมไปเสียสนิทว่าเพิ่งมีเรื่องกับไอ้คนที่สั่งให้ลงมาทำอาหารอย่างกับทาสรับใช้ “นี่ถ้าผมไม่กินด้วย รับรองว่าข้าวต้มมื้อนี้ได้เค็มยิ่งกว่าน้ำทะเลแน่” เขาบริภาษเสียงเบาใส่คนที่เพิ่งเดินลงมา ชยางกูรบัดนี้เตรียมพร้อมทำงานอย่างเต็มตัว ชุดเสื้อเชิ้ตสีเทากับกางเกงขายาวสีดำดูแปลกตาไปเล็กน้อย ปกติว่าที่สถาปนิกหนุ่มไม่ได้แต่งตัวหรูหราเหมือนนักบริหารทำงานในห้องแอร์อย่างนี้ เสื้อยืด เสื้อยีนส์ กางเกงยีนส์ปอนด์ๆ กับรองเท้าลุยๆ ต่างหากที่คนร่างสูงมักใส่อยู่เป็นประจำ “หวังว่าจะไม่เค็มเหมือนน้ำทะเลนะ” คนดุดันเอ่ยราวกับได้ยินสิ่งที่หมอหนุ่มเพิ่งพูดกับตัวเองไป คนถูกถามสะดุ้งเล็กน้อยแล้วเชิดหน้า “น้อยคนนักจะได้กินฝีมือของผม มีแต่คนชมว่าอร่อย” “บางทีคนพวกนั้นอาจลิ้นจระเข้” “คุณนี่มันพวกขวางโลกจริงๆ ยังไม่ได้ชิมก็ตัดสินกันซะแล้ว” “ผมไม่ใช่พวกขวางโลก แต่ผมขวางเฉพาะกับคนบางคน...ไหนๆ ก็ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว ผมขอกาแฟดำที่หนึ่ง” ภาคภูมิแอบแยกเขี้ยวทันทีที่ถูกสั่ง แต่ก็ยอมทำเพราะไม่อยากต่อกรด้วย เดินตึงตังหยิบกาต้มกาแฟออกจากเครื่อง ก่อนจะรินใส่แก้วตรงหน้า ชายหนุ่มแหงนหน้าละจากหนังสือพิมพ์ มองดวงหน้าเนียนที่มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพราวเต็มไปหมด อากาศริมทะเลก็แบบนี้ ไม่ทันไรก็ร้อนอบอ้าว ยิ่งคนเข้าครัวทำอาหารแต่เช้าอย่างภาคภูมิด้วยแล้ว คงจะรู้สึกร้อนไม่ใช่น้อย ถึงได้แก้มแดงเป็นลูกตำลึงขนาดนี้ “ผมจะไปอาบน้ำก่อน” ภาคภูมิขอตัว หลังเกิดสภาวะเงียบระหว่างกัน “ก็ไม่ได้ห้ามนี่” ว่าที่สถาปนิกหนุ่มไม่รั้ง เพราะไม่มีอะไรให้ต้องปฏิสัมพันธ์ด้วย ก็แค่คนสองคนที่ไม่รู้จักกัน ต้องมาอยู่ร่วมบ้านหลังเดียวกันเท่านั้น ใครจะมีธุระหรืออยากทำอะไรก็เชิญตามสบาย ภาคภูมิเดินขึ้นบันไดไม่วายทอดมองด้วยสายตาเป็นกังวลให้กับคนแสนร้ายซึ่งนั่งหันหลังจิบกาแฟ   นี่เราจะต้องอยู่ด้วยกันไปอีกตั้งสองเดือนจริงๆ เหรอเนี่ย ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ แต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการหลบเลี่ยง ต่างคนต่างอยู่คงเป็นทางออกที่ดีที่สุด คิดได้เช่นนั้นก็กลับขึ้นไปทำธุระส่วนตัวให้แล้วเสร็จ หลังชำระร่างกายและเปลี่ยนชุดเป็นชุดใหม่แล้ว ภาคภูมิก็ลงมาด้วยใบหน้าที่สดชื่นขึ้น ชุดของธนภพใหญ่กว่าตัวเขาไปถึงหนึ่งไซส์ เวลาใส่จึงดูรุ่มร่าม โดยเฉพาะปลายแขนเสื้อที่ชอบร่วงหล่นคลุมมาถึงปลายนิ้วมือ จึงจัดการพับมันขึ้นให้ถึงข้อศอก และปลายขากางเกงที่ยาวกรอมไปถึงหลังเท้า คนตัวบางก็พับมันขึ้น โดยรวมดูเหมือนคนแคระใช่เล่น ถึงจะดูตลกแต่ก็ต้องใส่ เพราะเสื้อผ้าซักตากไม่ทันจริงๆ ลงมายังชั้นล่างก็มีอันต้องแปลกใจ เมื่อใครอีกคนไม่ได้อยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว ข้าวต้มปลาสองชามยังคงวางอยู่ที่เดิม ถ้วยที่เป็นของว่าที่สถาปนิกก็ไม่ได้ถูกแตะต้องแม้แต่ปลายช้อน มีเพียงกาแฟดำแก้วนั้นที่พร่องไปเพียงเล็กน้อย ภาคภูมิเดินไปสำรวจ ก่อนจะนั่งลงยังที่นั่งของตัวเอง “คงอยากจะแกล้งกันแค่นั้นล่ะสิ” รู้ทันหรอก ลองสั่งแล้วไม่กิน แถมยังทิ้งกันแบบนี้ คงไม่พ้นแค่อยากแกล้งให้เขาหัวเสีย ภาคภูมิตักข้าวต้มฝีมือตัวเองเข้าปาก นั่งทานเพียงลำพัง เสร็จแล้วเก็บชาม เก็บแก้วไปล้าง ก่อนจะตัดสินใจที่จะเดินไปยังโรงแรมด้วยตัวเอง ธนภพบอกว่าวันนี้จะมารับ ทว่าป่านนี้ทำไมถึงยังไม่มาก็ไม่รู้ เขาไม่อยากให้เป็นภาระ เลยกะว่าจะเดินไปโรงแรมแล้วให้รถของโรงแรมไปส่งคงดีกว่า สองเท้าก้าวยาวเข้ามาในห้องนั่งเล่น ยอบกายนั่งยองเปิดกระเป๋าเดินทางอีกครั้ง ในนั้นมีของสำคัญชิ้นหนึ่งที่เขาตั้งใจเตรียมมาให้เด็กชายทานตะวัน โชคดีที่ของชิ้นนั้นถูกซีลพลาสติกไว้อย่างดีเลยไม่เปียกน้ำ เขายัดมันใส่ถุงผ้า แล้วสะพายเข้ากับไหล่ เก็บกระเป๋าดันไปชิดยังมุมหนึ่งของห้องเพื่อไม่ให้เกะกะ เอาไว้เย็นนี้กลับมาค่อยสังคายนาพวกมัน ได้ของที่ต้องการแล้วก็ลุกขึ้น เดินไปยังหน้าบ้าน พลันจังหวะหนึ่งเหลือบไปเห็นกรอบรูปสีขาวที่วางอยู่บนชั้นวางข้างโทรทัศน์ เขาก้าวเข้าไปใกล้ ก่อนหยิบมันขึ้นมาดู ที่สะดุดตาเพราะรอยยิ้มกว้างของผู้หญิงคนหนึ่ง เขาเดาว่าเธอคือของขวัญ เป็นภรรยาของธนภพ หญิงสาวผมดำขลับในรูปเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม แม้กระทั่งดวงตาสวยก็ยังมีประกายฉายแววแห่งความสุข ภาคภูมินึกชื่นชมคนรักของรุ่นพี่ และนึกเสียดายไปในคราวเดียวกัน... เธอไม่น่ามาด่วนจากสามีและลูกน้อยไปเลย “ผมขอให้คุณไปสู่สุขคตินะครับ ไม่ต้องห่วงทางนี้ ผมสัญญาว่าจะรักษาเด็กชายทานตะวันให้กลับมาเป็นเด็กที่สดใสได้อีกครั้ง” ไม่รู้ทำไมถึงอยากบอกกับเธอ แต่หากคิดว่าตัวเองเป็นของขวัญ เขาก็คงไม่อาจจากสามีและลูกไปกะทันหันแบบนี้ได้จริงๆ คนจมน้ำเจ็บปวดแค่ไหนคง       ไม่ต้องเดา ทรมานทุรนทุรายไม่พอ ยังไม่ได้แม้แต่ล่ำลากับคนที่รัก จึงแค่อยากปลอบประโลมคนอีกโลกหนึ่งเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากที่พูดจบ ก็มีสายลมกระแสหนึ่งพัดผ่านเข้ามาทางประตูไม้หน้าบ้านโกรกใส่ร่างราวกับมีบางสิ่งรับรู้คำพูดของเขา ริมฝีปากจิ้มลิ้มจึงยกยิ้มจาง “ทำอะไรน่ะ?” การมาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ทำเอาคนชินกับบรรยากาศแสนสงบสะดุ้งเฮือก ทันใดนั้น มือบางเผลอปล่อยสิ่งที่อยู่ในมือ ฉับพลันกรอบรูปสีขาวร่วงลงสู่พื้น เป็นเหตุให้กระจกด้านหน้าแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ว่าที่สถาปนิกหนุ่มยืนนิ่ง มองของสำคัญและภาพคนสำคัญนอนแน่นิ่ง  แทบเท้าของหมอหนุ่ม นั่นรูปพี่ขวัญที่เขาถ่ายเองกับมือ  “คิดจะทำอะไร?” “ผมเปล่า ผมแค่หยิบมันขึ้นมาดู” “ใครอนุญาตให้แตะต้องของพวกนี้ รู้ไหมว่ามันสำคัญมากแค่ไหน?” ชยางกูรก้มเก็บรูปของขวัญ ก่อนกระชากเสียงห้วน  “รีบทำความสะอาดซะ!” ภาคภูมิสะดุ้งตัวโยน ทั้งกลัว ทั้งตกใจต่อสีหน้าถมึงทึงของชายหนุ่ม รีบใช้มือเปล่าเก็บอย่างลืมตัว จังหวะหนึ่งนิ้วเรียวสัมผัสเศษแก้ว ถูกความคมเฉือนบาดจนได้แผล เขาชักมือกลับขึ้นมาดู เห็นเลือดสีสดผุดซึมเป็นเม็ด เขากัดฟันอดกลั้น    ความเจ็บ ใช้มืออีกข้างบีบจับห้ามเลือดเอาไว้ พลางเงยหน้ามองอีกคน ชยางกูรไม่ได้สนใจหรือใส่ใจเขา เพราะมัวแต่มองภาพในมือ กระทั่งเขาเดินไปหยิบไม้กวาดกับที่ตักผงกลับมา ชายหนุ่มก็ยังคงตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองอยู่เลย เขาใจไม่ดี... ทำไมกรอบรูปพี่ขวัญต้องมาตกแตกตอนนี้ เหมือนกับว่า...เธอยังมีห่วง เหมือนว่าเธอต้องการร้องเรียกอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มตวัดสายตามองร่างบางที่กำลังใช้ไม้กวาดเก็บเศษแก้วใส่ที่ตักผง นี่ถ้าเขาไม่วกกลับมา ก็คงไม่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายจุ้นจ้าน ถือวิสาสะแตะต้องของสำคัญภายในบ้าน เมื่อเห็นว่าภาคภูมิจัดการเสร็จเรียบร้อย จึงคว้าข้อมืออีกฝ่ายแล้วกระชากให้เดินไปด้วยกัน “คุณจะพาผมไปไหน?” “ขึ้นรถ” พูดจบก็เหวี่ยงร่างบางไปยังท้ายรถกระบะซึ่งมีคนงานนั่งอยู่เต็ม   ไปหมด ทุกคนมองยังพวกเขาเป็นตาเดียว “จะไปไหน?” “บางทีผมก็คิดว่าอาจทำเกินกว่าเหตุที่ทิ้งคุณไว้คนเดียว ถึงได้กลับมารับ แต่ไม่คิดเลยว่าคุณจะยุ่มย่ามกับข้าวของภายในบ้าน ทำตัวอย่างกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของจนทำมันเสียหาย” “ผมไม่ได้ตั้งใจ ก็คุณมาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเองนี่ คุณจะให้ผมกราบขอโทษรูปคุณของขวัญเลยไหมครับ คุณถึงจะพอใจ” จิตแพทย์หนุ่มประชดประชัน “ไม่ต้องกราบรูปหรอก ไปกราบตัวจริงเลยดีกว่า ขึ้นไป!” พูดเพียงแค่นั้น ก็ผลักร่างบางด้วยความชัง ภาคภูมิเซถึงกับกระแทกเข้ากับท้ายรถกระบะ คนงานที่นั่งอยู่ก่อนรีบเอื้อมมือมารองรับช่วยไว้ “ยังไม่ขึ้นอีก!” ภาคภูมิสะดุ้งก่อนจะกุลีกุจอขึ้นไปนั่งรวมกับคนงาน มองชยางกูรอย่างประหวั่นพรั่นพรึง เกิดมาไม่เคยถูกใครทารุณขนาดนี้มาก่อน ผู้ชายคนนี้ทำไมถึงโหดร้าย ไม่ฟังเหตุผลใครได้ถึงเพียงนี้กันนะ รถกระบะโฟล์วีลแล่นออกจากบ้านพักได้ไม่นาน รถยนต์เจ็ดที่นั่งก็วิ่งเข้ามาหยุดจอดยังที่เดียวกัน เป็นธนภพที่มารับ หากแต่คลาดเคลื่อนกับภาคภูมิและชยางกูรเพียงเสี้ยวเดียว เขาพยายามติดต่อทั้งรุ่นน้องทั้งชยางกูรตั้งแต่เช้า แต่ก็ไม่สามารถติดต่อใครได้ ตั้งใจจะบอกว่าอาจมารับช้าไปสักนิดเพราะดูแลลูกชายหัวแก้วหัวแหวน เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร สุดท้ายจึงตัดใจกลับไปยังโรงแรม เนื่องจากมีนัดประชุมเกี่ยวกับธุรกิจใหม่ที่กำลังเริ่มทำ ระหว่างทางเขาต่อสายหาหน่อง “หน่อง แขกของผมไปที่โรงแรมหรือเปล่า ผมมารับเขาที่บ้านแต่ไม่ยักเจอ” “ครู่นึงนะครับคุณภพ” หน่องขานรับ ก่อนจะทิ้งช่วงไปสักพัก “ไม่มีนะครับ ทั้งที่ล็อบบี้หรือห้องอาหาร...” “ไปไหนของเขา สงสัยชะจะพาไปด้วยแล้ว เอางี้แล้วกัน เดี๋ยวคุณไปอยู่เป็นเพื่อนทานตะวันก่อน สักพักเขาคงไปถึง เดี๋ยวผมประชุมเสร็จแล้วจะรีบตามไป” “ได้ครับคุณภพ” ได้รับคำสั่งเรียบร้อยแล้วก็ดำเนินการทันที คว้ากุญแจแล้วขับรถมุ่งหน้าสู่บ้านทานตะวัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD