20 ปีผ่านไป
มนต์ชญา เติบโตขึ้นเป็นสาวเต็มวัย เธอเริ่มต้องไปหางานพิเศษทำเพราะอยากช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของบิดา
"พ่อจ๋า เหนื่อยไหมวันนี้น้ำมนต์ซื้อของโปรดมาฝากพ่อด้วยนะ" เธอหยิบปลาดุกย่างที่ย่างเสร็จใหม่ๆร้อนๆหอมฉุยออกมาจากห่อใบตอง ออดอ้อนเอาใจ
"ซื้อมาหรือเอ็งไปจับมา" บุญล้อมมองไปที่ขากางเกงเธอที่เปียกเลอะเทอะโคลน
"พ่อน่ะอย่ามารู้ทันสิ ไอ้กำปั่นมันชวนไปหน่ะบ้านป้ารีเขามีวิดน้ำออกจากบ่อ"
"อย่าทะโมนให้มันมากนะเอ็ง เป็นผู้หญิงยิงเรือ"
น้ำมนต์ไม่ตอบแต่กลับเขามากอดหอมผู้เป็นพ่อแทน
"นานๆทีจะได้กลับมาสนุกที่บ้าน เรียนที่กรุงเทพมันเครียดนะพ่อ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องกลับไปเรียนแล้ว" เธออ้อนว่าต้องห่างจากพ่ออีกแล้ว
"ก่อนไปเดี๋ยวเอ็งไปกราบหลวงปู่ด้วยหล่ะ"
"รู้แล้วจ้ะ เออ พ่อน้ำมนต์ได้งานพิเศษด้วยนะ ปิดเทอมหน้าน้ำมนต์ไม่ได้กลับมานะขอไปทำงานกับเพื่อน"
"งานอะไร เอ็งมีหน้าที่เรียนก็เรียนไปอีกปีกว่าก็จะจบแล้ว" บุญล้อมทั้งรักทั้งห่วงลูกสาวที่ฟูมฟักมาแต่อ้อนแต่ออก
"ถือว่าน้ำมนต์ไปหาประสบการณ์แล้วกันนะพ่อ เพราะจบมาน้ำมนต์ก็ต้องหางานทำอยู่ดี น้ำมนต์จะไม่ให้พ่อบุญล้อมของน้ำมนต์เหนื่อยอีกแล้ว
นะ" เธอกอดพ่อ รู้ซึ้งถึงบุญคุณที่พ่อเลี้ยงเธอมาด้วยความเหนื่อยยาก
"เอ็งไม่ต้องเป็นห่วงพ่อหรอก เอ็งหาเลี้ยงตัวเองได้พ่อก็พอใจแล้ว" บุญล้อมตบไหล่ลูกสาว
กลางดึกคืนนั้นบุญล้อมมีอาการนอนไม่ค่อยหลับเหมือนมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่างทำให้เขาไม่ค่อยสบายใจนึกเป็นห่วงลูกสาวขึ้นมาทันที
"ไอ้กระจิ๊ดริด กระจ้อยร่อย พวกเอ็งตามไปดูแลน้องด้วยนะ" เขาลุกขึ้นมากราบพระสวดมนต์ขอพรและหันไปสั่งรักยมที่อยู่ในโหลแก้วตรงหน้า
"โครมม" เสียงรถของเล่นหล่นลงมาเป็นอันรู้กันว่าเจ้าสองรักยมน้อยรับทราบ
ลางสังหรณ์ของเขามันบอกว่าลูกสาวกำลังมีเหตุการ์ที่ต้องเผชิญหน้าครั้งสำคัญบอกไม่ได้เหมือนกันว่าจะร้ายแรงแค่ไหน แต่มันคงถึงเวลาที่เธอต้องเอาสิ่งพิเศษที่มีอยู่ในตัวออกมาใช้งาน
บุญล้อมเองเคยได้สอนคาถาอาคมบางบทให้กับมนต์ชญาเอาไว้ใช้ในยามขับคันรวมถึงให้มีดหมอด้ามจิ๋วและน้ำมนต์ปลุกเสกให้เธอพกติดตัวเอาไว้ด้วย
ก่อนที่หญิงสาวจะออกเดินทางในเช้าวันนี้บุญล้อมก็ทบทวนมนต์คาถาต่างๆและพูดย้ำให้ลูกสาวระมัดระวังตัว
"จำคาถาที่พ่อสอนได้ไหม" บุญล้อมทัก
"ท่องจนขึ้นใจแล้วจ้ะพ่อ ก็ไม่เคยจะได้ใช้สักครั้ง" มนต์ชยาบ่น ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อต้องบังคับให้ท่องให้สวดคาถาต่างๆมากมาย
"ไม่ต้องได้ใช้น่ะดีแล้ว แต่ก็ห้ามลืม ยามคับขันต้องเอาออกมาป้องกันตัว" บุญล้อมเสียงเข้มเมื่อเห็นลูกสาวไม่ค่อยจริงจังกับคำพูดเตือนของเขา
"จ้าพ่อล้อมจ๋า เชื่อในตัวน้ำมนต์ ยอหอ อย่าห่วง" เธอโตมาด้วยสภาพแวดล้อมที่ต้องช่วยเหลือตัวเอง ดังนั้นเธอจึงไม่ใช่คนที่อ่อนแอ ออกจะแก่นแก้วด้วยซ้ำไป แต่ถึงกระนั้นคนเป็นพ่อก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดีเมื่อลูกห่างจากอกไป
"น้ำมนต์ไปอยู่กรุงเทพมีทั้งกำปั่นที่เรียนอยู่ด้วยกัน ไหนจะมีกระจิ๊ดริดกับกะจ้อยร่อยไปด้วยอีกต่างหากพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอก" มนต์ชญาหันไปยักคิ้วให้รักยมตัวน้อยสองตนที่ยืนเท้าสะเอวอยู่ข้างๆเธอ
"ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะพ่อ" เสียงรักยมตัวน้อยบอกเสียงแจ๋วแต่ใครจะได้ยินบ้างก็อีกเรื่อง
"มีอะไรก็อย่าลืมนึกถึงสิ่งที่พ่อสอนไว้ล่ะ อ่อแล้วพระที่หลวงปู่ให้ก็แขวนไว้อย่าถอดเด็ดขาดนะจำคำพ่อไว้"
"จ้าพ่อบุญล้อมมมมมม" เสียงรักยมประสานแทรกขึ้นมาพร้อมกับเสียงของมนต์ชญา
....................................................................................................................
"ไงล่ะเจ้าน้ำมนต์ เจ้ากำปั่นจะกลับกรุงเทพแล้วหรือ" หลวงปู่ทักเมื่อเห็นน้ำมนต์และสหายเดินเข้ามา
"กราบจ้ะหลวงปู่ ใช่จ้ะนำมนต์จะเดินทางพรุ่งนี้แล้ว" น้ำมนต์ก้มลงกราบ
"เจ้ากำปั่นดูแลเพื่อนดีๆล่ะ พวกเอ็งด้วย จิ๊ดริด จ้อยร่อย" หลวงตาพูดอย่างอารมณ์ดีนอกจากน้ำมนต์ก็มีหลวงปู่ที่มองเห็นสองรักยม
"จ้ะหลวงปู่" รักยมน้อยรับคำพร้อมกัน ก้มลงกราบหลวงปู่บัวก้นกระดก
"ในยามมีเหตุเพศภัยอันตรายใดๆก็ให้นึกถึงอำนาจพระพุทธคุณเอาไว้ให้มั่นนะลูกนะ" หลวงปู่พูดเตือนเหมือนกับบุญล้อม
"จ้ะหลวงปู่" น้ำมนต์น้อมรับสิ่งที่หลวงปู่สอน
"เดินทางปลอดภัยๆ" หลวงปู่อวยพรพร้อมยกบาตรน้ำมนต์มาประพรมให้หนุ่มสาวทั้งสอง แต่รักยมตัวน้อยสองตนวิ่งหลบไปอยู่ข้างหลังของมนต์ชญา
"ปั่นพรุ่งนี้เจอกันอย่าสายนะ" มนต์ชญาเตือนเพื่อนรักที่ต้องเดินทางเข้ากรุงเทพด้วยกัน
"เออ ไม่สายน่า บายเพื่อน" กำปั่นบอกลาแล้วกลับบ้านไป
...........................................................................................................