บทนำ

2190 Words
บทนำ          สัญญาณบอกเวลาเลิกเรียนผ่านพ้นไปนานแล้ว แต่ฝนที่จู่ ๆ ก็ตกลงมาราวกับฟ้ารั่วกลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกลงง่าย ๆ ทำให้สองพี่น้องต้องพากันมานั่งหลบฝนอยู่ที่ศาลาหลังเล็กบริเวณหน้าโรงเรียนเพื่อรอพ่อมารับเหมือนทุกวัน จะต่างก็แค่วันนี้อีกฝ่ายมารับช้าเท่านั้น             “พ่อลืมมารับพวกเราหรือเปล่าพี่ข้าว ขวัญหนาวจะตายอยู่แล้วนะ” ขวัญนรี วัยสิบเจ็ดปีเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด สองมือบอบบางยกขึ้นกอดตัวเองเพื่อคลายความหนาวจากละอองฝนที่ถูกซัดเข้ามากระทบตัวจนเนื้อตัวเธอเปียกปอน             ภาพนั้นทำให้คนเป็นพี่สาวที่เกิดก่อนเพียงแค่ไม่กี่นาทีเริ่มเป็นห่วง จึงตัดสินใจถอดเสื้อคลุมของตัวเองส่งให้น้องสาวที่สุขภาพไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไร น้องสาวที่หน้าตาเหมือนเธอราวกับเป็นคนเดียวกัน นั่นเพราะเธอสองคนเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน             แต่แม้ว่าใบหน้าจะเหมือนกันแค่ไหน นิสัยของเธอกับน้องสาวนั้นกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะความใจเย็นที่น้องสาวเธอไม่มี             “อดทนหน่อยนะขวัญ พี่ว่าพ่อคงใกล้จะถึงแล้ว” ขวัญข้าวปลอบน้องสาวก่อนจะมองออกไปที่ถนนด้วยความเป็นห่วงบิดา กลัวว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับท่านระหว่างทางที่มารับเธอกับน้องสาว กระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ภาพของใครบางคนที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมจักรยานคู่ใจของเขาก็เรียกเอารอยยิ้มจากสองพี่น้องได้ทันทีที่เห็น             “พี่พี มารับขวัญกับข้าวเหรอคะ” ขวัญข้าวเป็นคนแรกที่เอ่ยถามขึ้น ก่อนรอยยิ้มอ่อนหวานจะถูกส่งไปให้พี่ชายบ้านฝั่งตรงกันข้าม             แววตาคู่สวยแสดงถึงความดีอกดีใจอย่างชัดเจน นั่นเป็นเพราะว่าเธอรัก รักผู้ชายคนนี้ รัก...แม้จะรู้ตัวเองดีว่าสำหรับเขาแล้วเธอคงเป็นได้แค่เด็กน่ารำคาญคนหนึ่งเท่านั้น แต่เธอก็ไม่เคยเลิกล้มความพยายามที่จะเป็นคนในสายตาเขาเลยสักครั้ง เธอเชื่อว่าสักวันพี่พีจะมองเห็นความน่ารักในตัวของเธอ เหมือนกับที่เขามองเห็นมันในตัวขวัญนรีน้องสาว             ตั้งแต่จำความได้เธอก็มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในใจเรื่อยมา เขาคือรักแรกและรักเดียวที่เธอมี เธอไม่เคยมองใครคนไหนอีก แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีผู้ชายหลายต่อหลายคนพยายามที่จะเข้าหา ทั้งใจเธอก็มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น             “รถพ่อเราเสียน่ะ เลยวานให้พี่มารับแทน แต่จักรยานพี่ซ้อนได้แค่คนเดียวนะ ข้าวเป็นพี่เดินกลับเองก็แล้วกัน รีบขึ้นรถเถอะขวัญ ฝนชักจะเริ่มตกหนักแล้ว เดี๋ยวไม่สบาย” รณพีร์เอ่ยบอกอย่างไม่คิดจะถนอมใจคนฟังแต่อย่างใด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาใจร้ายกับคนเป็นพี่สาว ต่างจากคนน้องที่เขามักจะพูดดี ทำดีด้วยเสมอ ลองถ้าหากไม่ใช่เพราะถูกแม่บังคับเขาคงไม่มา ถึงต่อให้มาก็คงมาเพราะขวัญนรีคนน้อง ไม่ใช่คนพี่ที่แสนจะน่ารำคาญในความรู้สึก             ยังไม่ทันได้พูดอะไรคนทั้งคู่ก็พากันขึ้นรถ ก่อนที่เขาจะปั่นจักรยานผ่านหน้ากันไป โดยมีน้องสาวของเธอนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง             เป็นอีกครั้งที่ขวัญข้าวไม่ได้เป็นคนถูกเลือก แต่เป็นน้องสาวที่ขี้โรคมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะอย่างนั้นเลยทำให้ใครต่อใครพากันหันไปดูแล ต่างจากเธอที่มีร่างกายแข็งแรงกว่า ทุกคนเลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วมันไม่ควรที่จะเป็นแบบนั้นเลย    น้อยคนที่จะรู้ว่าคนเข้มแข็งก็ใช่ว่าจะอ่อนแอไม่เป็น เพราะคำว่า ‘บ้านใกล้เรือนเคียง’ จึงทำให้สองครอบครัวไปมาหาสู่กันอยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะเด็ก ๆ ทั้งสามคนที่โตมาด้วยกัน โดยที่รณพีร์เป็นพี่ชายคนโต หน้าที่ดูแลน้อง ๆ จึงตกเป็นของเขา             ซึ่งเด็กหนุ่มเองก็ยินดีที่จะรับหน้าที่นี้ไปจนกว่าสองสาวบ้านฝั่งตรงกันข้ามจะสามารถดูแลตัวเองได้ หรือไม่ก็จนกว่าเขาจะเติบโตจนมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ซึ่งคนเป็นพี่สาวอย่างขวัญข้าวเขาไม่ค่อยห่วงเท่าไร ออกจะรำคาญเด็กนั่นเสียด้วยซ้ำ เพราะอีกฝ่ายชอบมาจุ้นจ้านวุ่นวาย ต่างจากคนเป็นน้องสาวที่ขี้โรคมาตั้งแต่เด็ก ซ้ำยังเป็นเด็กน่ารัก ช่างออดอ้อนมากกว่า นั่นจึงทำให้เขาและใครต่อใครรู้สึกเอ็นดูขวัญนรีเป็นพิเศษ             “ขอบคุณมากนะพีที่อุตส่าห์ไปรับน้อง ๆ แทนลุง” สุรชัยที่ชะเง้อคอรอการกลับมาของลูกสาวเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อพบหน้า รู้สึกคิดไม่ผิดที่ขอร้องให้เด็กหนุ่มบ้านตรงข้ามช่วย เพราะไม่ว่าจะกี่ครั้งรณพีร์ก็ไม่เคยทำให้เขาและภรรยาต้องผิดหวัง เด็กหนุ่มสามารถดูแลน้อง ๆ ได้อย่างที่เคยสัญญาไว้ในวันแรกที่ขวัญข้าวกับขวัญนรีเกิด             “ไม่เป็นไรครับลุง ถ้าอย่างนั้นผมเข้าบ้านก่อนนะครับ” สุรชัยพยักหน้ารับก่อนจะจับจูงลูกคนเล็กเข้าบ้าน เหลือไว้แต่คนเป็นพี่สาวที่ไม่ยอมขยับไปไหน ร่วมนาทีถึงตัดสินใจเอ่ยเรียกคนที่กำลังจะจากไปไว้             “พี่พีคะ”             “มีอะไรข้าว พี่จะรีบกลับไปทำการบ้าน” น้ำเสียงของคนถูกเรียกไว้บอกให้รู้ว่าเขากำลังหงุดหงิด แต่กระนั้นเด็กสาวก็เลือกที่จะยิ้มให้ เพราะมีบางอย่างที่ทำให้เธออารมณ์ดีเกินกว่าจะโกรธเขาได้ลง             “นี่ค่ะผลการเรียนเทอมนี้ของข้าว เทอมนี้ข้าวสอบได้ที่หนึ่งค่ะ” เธอร้องบอกก่อนจะล้วงหยิบเอาหลักฐานซึ่งก็คือผลการเรียนที่เพิ่งได้รับมาจากครูประจำชั้นออกมาให้เขาดูเป็นคนแรกด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ ทว่าพอเห็นเขาเอาแต่เงียบถึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง             “พี่พีบอกว่าถ้าขวัญกับข้าวใครสอบได้ที่หนึ่งจะมีของขวัญให้ จำได้ไหมคะ” เธอไม่ได้จะกล่าวทวง แต่เพราะจำได้ว่าเขาเป็นคนพูดถึงได้เอ่ยขึ้น ซึ่งเขาอาจจะลืมไปแล้ว ในขณะที่เธอยังจำได้ดีในทุกคำ             คราวนี้กลับเป็นรณพีร์ที่เงียบไป เพราะไม่คิดว่าแค่คำพูดไม่กี่คำของตัวเองมันจะมีผลทำให้เด็กที่เคยสอบได้ดีที่สุดแค่อันดับที่สิบสี่ในชั้นเรียนจะตั้งใจเรียนจนสามารถเอาที่หนึ่งมาครองได้สำเร็จ แต่ในเมื่อเขาได้พูดออกไปแล้วเขาก็ต้องทำตามสัญญาที่เคยให้เอาไว้ คิดเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงล้วงหยิบเอาตุ๊กตาหมีสีขาวน่ารักที่เพิ่งได้มาจากรุ่นน้องคนหนึ่งเมื่อช่วงกลางวันที่ผ่านมาส่งให้คนตรงหน้า “เก่งมาก ถ้าเทอมหน้าทำได้แบบนี้พี่จะมีของขวัญให้อีก” ขวัญข้าวยิ้มรับก่อนจะคว้า ‘ของขวัญชิ้นแรก’ ที่ได้จากเขามากอด “ขอบคุณนะคะพี่พี ข้าวจะทำให้ได้ค่ะ” รณพีร์ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าให้น้องสาว ก่อนที่เขาจะจูงจักรยานคันโปรดเดินข้ามไปอีกฝั่งซึ่งเป็นบ้านของตัวเอง และหนนี้เด็กคนนั้นก็ไม่ได้รั้งกันไว้          ขวัญข้าวไม่อาจเก็บความสุขเอาไว้เพียงลำพังได้อีกต่อไป และคนแรกที่เธอเลือกที่จะนำตุ๊กตาหมีน่ารักที่เพิ่งได้รับมาจากพี่ชายบ้านฝั่งตรงกันข้ามมาอวดก็คือน้องสาวของตัวเอง กว่าจะรู้ว่าตัวเองคิดผิดที่ทำอย่างนั้นก็ตอนที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาแย่งเอาตุ๊กตาในมือไป             “เอาของพี่คืนมานะขวัญ” มันทำให้เธอรีบตรงเข้าไปหาน้องสาว หวังจะแย่งเอาของตัวเองกลับคืน แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะอีกฝ่ายไม่ยอม             “แต่ขวัญอยากได้นี่ พี่ข้าวเป็นพี่ก็ต้องเสียสละให้น้องสิ” เพราะถูกกรอกหูด้วยประโยคนี้มาตั้งแต่เด็ก ขวัญนรีจึงกลายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ต่างจากคนที่เป็นพี่สาว ที่ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็พร้อมยอมให้กับน้องสาว หากแต่ครั้งนี้มันต่างจากทุกทีก็ตรงที่เธอให้ในสิ่งที่น้องสาวต้องการไม่ได้             “ตัวนี้พี่ให้ไม่ได้จริง ๆ ขวัญ คืนมาให้พี่เถอะนะ” เพราะมันไม่ได้เป็นแค่ตุ๊กตาธรรมดาเท่านั้น แต่มันเป็นของขวัญจากพี่พี ที่กว่าเธอจะได้มาต้องพยายามอย่างหนัก ให้ตายยังไงเธอก็ให้น้องสาวไม่ได้จริง ๆ             “ไม่ค่ะ ขวัญอยากได้” เกิดการแย่งชิงกันขึ้นเมื่อเธอไม่ยอม ในขณะที่น้องสาวเองก็ไม่ยอมเช่นกัน เป็นเช่นนั้นอยู่นานกระทั่งหัวและตัวของตุ๊กตาขาดออกจากกันท่ามกลางความตกใจของเธอ             “ขวัญ!” ความโกรธหรืออาจจะเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ส่งผลให้เธอเผลอผลักน้องสาวจนล้มไปกองอยู่ที่พื้นอย่างแรง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ทุกคนในบ้านวิ่งตามเสียงร้องออกมาพอดี  ภาพที่ได้เห็นเลยเหมือนว่าเธอกำลังรังแกน้องสาวอยู่ไม่มีผิด             “เกิดอะไรขึ้น! แกทำอะไรน้องอีกยัยข้าว” สุวดีผู้เป็นแม่แทบใจสลายเมื่อออกมาเห็นลูกสาวคนโปรดล้มกองอยู่กับพื้นในสภาพเนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยเขียวช้ำจากการล้มกระแทก ภาพที่เห็นทำให้คิดเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากขวัญข้าวกำลังทำร้ายน้องสาว             “พี่ข้าวผลักขวัญค่ะแม่ ขวัญแค่ขอดูตุ๊กตาของพี่ข้าวหน่อยเดียวเอง” คำบอกเล่าที่ไม่เป็นความจริงของน้องสร้างความตกใจแก่คนถูกกล่าวหาไม่น้อย เพราะไม่คิดว่าน้องสาวจะกล้าโกหก แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้แก้ต่างให้ตัวเอง มารดาก็หันมาตวาดใส่หน้ากันเสียก่อน             “ก็แค่ตุ๊กตาตัวเดียวจะอะไรกันนักกันหนายัยข้าว!” เพราะความรักลูกไม่เท่ากัน สุวดีจึงไม่แม้แต่จะสอบถามความเป็นจริงจากทั้งสองฝ่าย เธอเลือกที่จะเชื่อทุกคำพูดจากลูกสาวคนเล็ก ต่างจากคนที่เป็นพี่สาวที่ไม่เคยแม้แต่จะได้รับความรักความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่สักครั้ง “แม่คะ ข้าวไม่ได้…” “ไม่ต้องมาแก้ตัว! เป็นพี่แทนที่จะดูแลปกป้องน้อง นี่อะไรกลับทำร้ายน้องเสียเอง คุณพี่ต้องจัดการนะคะ ไม่อย่างนั้นน้องไม่ยอมจริง ๆ ด้วย” กระทั่งเดือดร้อนไปถึงผู้เป็นพ่ออย่างสุรชัยที่ต้องเป็นคนจัดการ ซึ่งเขาก็เต็มใจรับหน้าที่นี้ เพราะหากปล่อยให้ภรรยาเป็นคนจัดการเองก็เกรงว่าลูกสาวคนโตอาจไม่ได้รับความยุติธรรม เพราะเห็นได้ชัดว่าภรรยาไม่แม้แต่จะสอบถามหรือฟังความของอีกฝั่ง เป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่ลูก ๆ ทะเลาะกัน “เอาน่าคุณ เรื่องแค่นี้จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปทำไม ผมว่าคุณรีบพายัยขวัญเข้าไปทำแผลก่อนเถอะ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง” ผู้เป็นภรรยาไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากก้มลงไปจูงลูกสาวคนโปรดเข้าบ้าน ด้วยเชื่อว่าสามีจะจัดการลงโทษลูกสาวคนโตได้อย่างเหมาะสมตามที่อีกฝ่ายสมควรจะได้รับ เพราะถ้าหากเขาไม่ทำเธอนี่แหละจะเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง “เกิดอะไรขึ้นข้าว ทำไมจู่ ๆ น้องถึงได้ล้มลงไปกับพื้นแบบนั้น” ลับหลังภรรยาสุรชัยจึงหันกลับมาสอบถามความจริงจากปากของลูกสาวคนโต ด้วยเชื่อว่าขวัญข้าวไม่มีทางทำร้ายน้องสาวอย่างที่ถูกกล่าวหา ที่รู้เพราะเขาเลี้ยงลูกคนนี้มาเองกับมือ ย่อมรู้จักนิสัยของแกดีกว่าใคร ๆ ลูกคนนี้เหมือนเขาแทบจะทุกอย่าง ขวัญข้าวมีความใจเย็น ต่างจากขวัญนรีที่ใจร้อน ซ้ำยังเอาแต่ใจตัวเอง จนบางครั้งเขาก็อดตำหนิตัวเองไม่ได้ว่าปล่อยให้ภรรยารักลูกไม่เท่ากันแบบนี้มาได้ยังไง แต่ครั้นจะให้ล้มกระดานแล้วเริ่มต้นใหม่ก็เกรงว่ามันคงจะสายไปแล้ว สิ่งที่พอจะทำได้ก็คงเห็นแต่จะมีแค่ให้ความรักลูกคนนี้แทนผู้เป็นแม่แท้ ๆ ที่ไม่เคยแม้แต่จะเหลียวแลแกเท่านั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD