เมื่อรู้ถึงความจำเป็นของขวัญข้าวรณพีร์ก็รอให้ตัวเองใจเย็นลงเพื่อที่จะไปพูดคุยกับเธออีกครั้งด้วยเหตุผล เขาตื่นนอนแต่เช้าเพื่อมาดักรออีกฝ่ายที่หน้าบ้าน กระทั่งเจอหน้าถึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง เห็นได้ชัดว่ายิ่งแรงใส่อีกฝ่ายก็ยิ่งเตลิดถอยห่างไปไกล
“ขึ้นรถสิ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ข้าวไปเองได้ค่ะ” แม้จะตกใจกับการปรากฏตัวของเขา แต่ขวัญข้าวก็วางท่าทีเป็นปกติได้อย่างแนบเนียน เธอตอบรับก่อนจะเดินเลี่ยง หวังจะไปยืนรอรถประจำทางเหมือนอย่างทุกวัน ติดก็แต่ยังไม่ทันจะได้เดินหนีไปไหนต้นแขนกลับถูกคนเอาแต่ใจตัวเองคว้าไว้ ทำให้เธอต้องหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้งอย่างไม่มีทางเลือก
“พี่ไม่ได้บอกใช่ไหมว่าไม่ชอบคนดื้อ จะขึ้นไปนั่งบนรถดี ๆ หรือต้องให้อุ้มไป” เพราะเชื่อว่าเขาสามารถทำทุกอย่างได้ตามที่ขู่ หญิงสาวจึงยอมก้าวไปที่รถตามแรงฉุดที่ไม่เบามือเท่าไรอย่างจำใจ
“วันนี้เลิกงานกี่โมง” เมื่อเข้ามานั่ง เสียงเข้มของคนใจร้ายก็ดังถามขึ้น ราวกับอยากจะรู้เรื่องราวของกันให้มากกว่าที่เป็นอยู่
“ห้าโมงเย็นค่ะ” ซึ่งเธอก็ตอบไปตามความจริงก่อนจะเบือนหน้าหนีไปมองข้างทาง ราวกับไม่อยากมีบทสนทนากับเขาไปมากกว่านี้อีกแล้ว
มันคงดีกว่าถ้าเขากับเธอจะห่างๆ กันไป เพราะไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ในวันนี้เธอไม่อยากข้องเกี่ยวกับเขาอีกแล้ว ด้วยรู้ใจตัวเองดีว่ามันไม่เคยหยุดรักเขาได้เลย ไม่ว่าจะพยายามให้ตายยังไง
“เดี๋ยวพี่ไปรับ” เสียงเข้มกำชับบอก ในขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปยังถนนเบื้องหน้าอยู่
“ข้าวกลับเองได้ค่ะ”
เธออยู่มาได้ตั้งหลายปีโดยไม่ต้องมีเขาเป็นที่พึ่ง ไม่จำเป็นเลยที่เขาต้องมาใส่ใจเหมือนอย่างที่กำลังทำอยู่ เพราะยิ่งเขาทำมากเท่าไรเธอก็จะยิ่งตัดใจจากเขาได้ยากเท่านั้น
“พี่จะไม่พูดซ้ำ ถ้าหนีกลับก่อนอย่าหาว่าพี่ไม่เตือน ข้าวก็รู้นี่ว่าเวลาโกรธพี่ทำอะไรได้บ้าง” นั่นถือเป็นคำขาด ก่อนที่ทั้งคู่จะปล่อยให้ความเงียบที่แสนอึดอัดครอบงำภายในรถไปจนถึงปลายทาง
“ขอบคุณค่ะ” ขวัญข้าวเอ่ยขอบคุณก่อนจะพาตัวเองลงมาจากรถโดยทันที เธอเฝ้ามองจนแน่ใจแล้วว่ารถคันใหม่ป้ายแดงของเขาค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไปไกล ถึงได้ลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างคนคิดไม่ตก
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วย ในเมื่อคนที่น่าจะมีความสุขที่สุดถ้าได้เห็นเธอต้องทุกข์ทรมานก็น่าจะเป็นเขาแท้ ๆ ทำไมต้องมาทำเหมือนว่าเป็นห่วง ทั้ง ๆ ที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยส่งข่าว ไม่แม้แต่จะถามถึงเธอเหมือนที่ถามถึงน้องสาว
ตลอดทั้งวันหญิงสาวต้องทนอยู่กับคำถามมากมายจากเพื่อนร่วมงาน ที่พอรู้เรื่องที่เธอเพิ่งจะตบปากรับคำขอหมั้นจากพ่อเลี้ยงสามารถไปก็ไม่มีใครเลยที่จะเก็บงำความสงสัยเอาไว้ได้ และก็เป็นอย่างที่คิดที่ส่วนใหญ่จะแสดงความยินดี ก่อนลับหลังจะพากันจับกลุ่มนินทาถึงเรื่องเธอในทางเสียหายเหมือนอย่างที่แล้วมา
“ฉันได้ข่าวมานะว่าบ้านนางตอนนี้เป็นหนี้ท่วมหัว รวม ๆ แล้วเกือบห้าล้าน ฉันว่านางคงตั้งใจจับไอ้พ่อเลี้ยงหัวงูนั่นเพื่อล้างหนี้แน่ ๆ”
“ว่าได้เหรอยะ นางสวยเลือกได้ออกปานนั้น ก็ต้องใช้ความสวยที่มีให้คุ้มเป็นธรรมดา”
นี่แค่บางส่วนเท่านั้นที่เธอแอบได้ยิน ซึ่งเธอไม่ได้ออกไปแสดงตัวเพื่อแก้ต่างให้ตัวเอง เพราะรู้แก่ใจดีว่าทุก ๆ คำจากปากของคนพวกนั้นส่วนหนึ่งล้วนเป็นความจริงที่เธอต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ ชีวิตคนเราก็มีแค่นี้ มันไม่สำคัญหรอกว่าเธอจะมีความสุขกับชีวิตคู่หรือเปล่า เพราะความสุขที่ว่ามันได้ตายไปจากเธอแล้วเมื่อหลายปีก่อน ตายไปพร้อม ๆ กับพ่อผู้ซึ่งเคยเป็นและยังคงเป็นอยู่จนถึงวันนี้
“ขึ้นรถสิ” เสียงเข้มของใครบางคนเรียกสติของคนที่กำลังเดินใจลอยให้กลับเข้าที่เข้าทางได้อย่างง่ายดาย เมื่อหันไปก็พบว่าไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากคนที่บอกว่าจะมารับ และเขาก็มาจริง ๆ
“พี่พี” หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่รอที่จะพุ่งเข้าไปกอดเขาแล้วเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพื่อหาที่พึ่ง แต่เพราะวันนี้ทุกอย่างระหว่างเธอกับเขามันเปลี่ยนไปแล้ว เธอจึงเลือกเก็บทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นไว้ในใจลำพัง
“เป็นอะไร”
เพราะสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสู้ดีของคนตรงหน้าเลยทำให้รณพีร์เอ่ยถามขึ้นอย่างอดห่วงไม่ได้ ซึ่งอีกฝ่ายก็เลือกที่จะตอบคำถามของเขาด้วยการส่ายหน้าแทนคำตอบ ก่อนที่เธอจะปล่อยให้เขาจูงมือไปขึ้นรถอย่างว่าง่าย เพราะรู้ดีว่าขัดขืนไปก็เท่านั้น เปล่าประโยชน์อยู่ดี
บรรยากาศตลอดทางเต็มไปด้วยความเงียบงันจนกระทั่งรถที่แล่นมาด้วยความเร็วปกติค่อย ๆ ชะลอจอดลงบริเวณหน้าบ้านของเขา แทนที่จะเป็นหน้าบ้านของเธอซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ความสงสัยทำให้ต้องเอ่ยถามออกมาเบา ๆ
“พี่พีพาข้าวมาที่นี่ทำไมคะ”
“พี่ไม่ทำอะไรข้าวหรอก แค่อยากหาที่เงียบ ๆ คุยด้วยก็เท่านั้น หรือข้าวอยากให้น้าสุมาได้ยินเรื่องที่เราจะคุยกัน” เพราะวันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน เขาจึงตัดสินใจพาเธอมาคุยกันที่นี่แทนที่จะเป็นที่อื่น มันคงดีกว่าหากได้เปิดอกพูดคุยกันตามลำพัง
และวันนี้ก็เหมือนจะเป็นจังหวะที่ดี เพราะทั้งพ่อและแม่ของเขาไม่อยู่บ้าน พวกท่านพากันไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดเพื่อนสนิท ซึ่งกว่าจะพากันกลับก็น่าจะดึก ถึงตอนนั้นเขาคงคุยกับขวัญข้าวรู้เรื่องแล้วถึงเรื่องงานหมั้นที่จะไม่มีวันเกิดขึ้น เพราะเขาไม่ยอม
“พี่ยังยืนยันคำเดิมเรื่องงานหมั้น ข้าวจะไปยกเลิกเองหรือให้พี่เป็นคนไปจัดการให้” เจ้าของเสียงเข้มไม่ประวิงเวลาอีกต่อไป เขาเอ่ยขึ้นเมื่อเดินนำเธอเข้ามายังห้องนอนของตัวเอง โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากให้ใครมาได้ยินเรื่องที่กำลังจะพูด ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไร
“พี่พีไม่มีสิทธิ์มาบังคับข้าวนะคะ” ขวัญข้าวยังคงให้เหตุผลที่เคยได้ให้เขาไปแล้วกลับไป ไม่ว่าเขาจะพูดยังไงเธอก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะหมั้นกับพ่อเลี้ยงสามารถ
“แน่ใจเหรอว่าพี่ไม่มีสิทธิ์ หรือลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งใครคือคนที่ทำให้ข้าวร้องครางทั้งคืน” คำพูดที่ราวกับจะตอกย้ำถึงบางเรื่องในอดีตที่เธอพยายามลืม ทำให้ขวัญข้าวถึงกับหมดสิ้นความอดทน
“คนเลว!” เธอฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของเขาอย่างแรงพร้อมคำด่า แต่นอกจากเขาจะไม่สำนึกยังกระชากเธอเข้าหาตัวอย่างแรง
“เออ พี่มันเลว แต่ก็ไอ้เลวคนนี้ไม่ใช่หรือไงที่มันเป็นผัวคนแรกของข้าว หรือต้องให้ทบทวนความจำให้อีกสักรอบสองรอบก่อนข้าวถึงจะได้จำได้ว่าข้าวเป็นเมียพี่” ความจริงในอดีตที่มีเพียงเขาและเธอเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในค่ำคืนที่ฝนตกหนักคืนนั้น หากแต่ยังไม่ทันที่จะได้มีใครพูดอะไรออกมาประตูห้องที่เพิ่งจะถูกปิดลงกลับถูกกระชากให้เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับคำถามที่ดังขึ้นตามติด
“แกว่าอะไรนะตาพี”
“คะ...คุณป้า! คุณแม่!”