“ดอกกล้วยไม้เหมาะกับแก้วเหลือเกินครับ พี่จะปักผมให้นะ” เขานั่งลงข้างๆ เธอ ก่อนจะเสียบดอกกล้วยไม้กับผมของแก้วกัลยาที่เกล้าเอาไว้บนศีรษะ
“แก้วสวยมากเลยนะครับ” เขาเชยคางสาวให้เงยขึ้นสบตา แก้วกัลยาสะเทิ้นอาย ไม่กล้ามองสบ กลับหลับตาพริ้ม หนีความขัดเขินที่เกิดขึ้น
“หลับตาแบบนี้แสดงว่าเชิญชวนให้พี่จูบ” เขากระซิบเสียงแหบพร่า
“อุ๊ย!” เธออุทานเมื่อโดนขบริมฝีปากล่างเบาๆ จากริมฝีปากอุ่นหนา คนเจ้าเล่ห์ที่รอคอยอยู่ก่อนแล้วเห็นเธอเผยอปากก็ประทับลงมาอย่างดูดดื่ม เชยชิมความหวานของริมฝีปากนุ่มนิ่มด้วยความกระหายหิว
“พี่ราร์ดพอแล้วค่ะ ปากของแก้วช้ำไปเสียหมดแล้ว” แก้วกัลยาเบี่ยงหลบเมื่อเขาถอนปากออกเพียงนิดแล้วทำท่าจะประทับลงมาอีก ริมฝีปากร้อนเลยพลาดเป้าไปโดนแก้มนวลเข้าเต็มๆ เขาก็ไม่ได้ว่ากระไร แต่กดริมฝีปากกับแก้มนวลของเธอฟอดใหญ่ จนแก้มสาวขึ้นสีแดงเรื่อทันตาเห็น กลิ่นหอมของสาบสาวทำให้เขาหลงใหลอยากครอบครองเป็นเจ้าของ
“ปากก็หวาน แก้มก็หอม ตาก็สวย” รัชวินทร์เชยคางสวยให้แหงนขึ้นมองหน้าเขา แก้วกัลยาขบริมฝีปากด้วยความประหม่า
“พี่ราร์ดอย่ารังแกแก้วแบบนี้สิคะ” เธอบอกเขาเสียงสั่น หน้าแดง หูแดง ตัวสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง
“พี่ขอโทษครับ แต่พี่อดใจไม่ไหวจริงๆ ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะปล่อย... แต่กลัวแก้วของพี่จะช้ำหมด แล้วคุณยายจะเอ็ดเอา” เขาดึงร่างเธอมากอด จุมพิตกลุ่มผมหอมกรุ่มที่เกล้าเอาไว้อย่างเรียบร้อย
“พี่ราร์ด” แก้วกัลยาใจสั่นสะท้านเมื่อโดนชายหนุ่มกักกอดเอาไว้แนบแน่น เธอไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองเขา สัมผัสถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่ปะทะอยู่กับหน้าผากนูนเกลี้ยงได้อย่างถนัดถนี่
“คืนนี้ไปหาที่ห้องได้ไหม” พอได้ยินเขาพูดแบบนั้นเธอก็ตัวแข็งค้าง เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตัดพ้อน้อยใจ
“พี่ราร์ดเห็นแก้วเป็นดอกไม้ริมทางหรอกเหรอคะ ถึงได้พูดออกมาแบบนี้”
“ใครบอกกันเล่า แต่พี่อดใจไม่ไหวแล้ว คุณยายหวงแก้วเหลือเกิน” เขาพูดเสียงสั่นพร่า ความต้องการมันรุนแรงเหลือเกินในขณะนี้
“แก้วไม่ใช่ผู้หญิงอย่างนั้น” เธอพูดอย่างน้อยใจ ก้มหน้างุดไม่กล้าสู้แรงตาร้อนแรงของเขา ไหนจะมือไม้ของเขาที่สัมผัสแตะต้องไปตามเรือนร่างของเธออีก มันเหมือนแผ่นความร้อนที่นาบไปตามผิวเนื้อ
“พี่ขอโทษครับ แต่พี่ชอบแก้วจริงๆ นะ” รัชวินทร์สารภาพออกมาในที่สุด ใช่... เขาชอบเธอจริงๆ ชอบแบบที่ไม่เคยชอบผู้หญิงคนไหนมาก่อน แต่ยังไม่ถึงขั้นรักหรอกนะ เขายังไม่พร้อมจะรักผู้หญิงคนไหนในตอนนี้ หรืออนาคตก็อาจจะไม่เช่นกัน
“พะ... พี่ราร์ดว่าอะไรนะคะ” แก้วกัลยาถามเสียงตะกุกตะกัก คิดว่าตัวเองหูฝาดที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น จำได้ว่าตอนเด็กๆ เขาไม่ค่อยชอบหน้าเธอ ไม่สุงสิง เขาไม่ได้แกล้งเธอ แต่ไม่สนใจไยดีด้วยเช่นกัน เธอคืออากาศธาตุในสายตาของเขา เธอจึงพยายามหลบหน้าไม่เข้าไปให้เขาเห็น ให้รำคาญตา และเมื่อหลายปีก่อนที่เขาไปต่างประเทศไม่กลับมาเยี่ยมตายายอีก เพราะสาเหตุมาจากเธอ เธอเองเผอิญได้ยินผู้ใหญ่พูดกันเรื่องที่จะให้เขาแต่งงานกับเธอ การจับคู่ครั้งนั้นดูเหมือนจะทำให้เขาไม่พอใจเลยหาทางออกง่ายๆ โดยการไปเรียนต่อและสืบทอดธุรกิจของปู่ย่าอยู่ต่างประเทศ
“พี่บอกว่า...”
“อ้าว... สองคนนี้มาอยู่ที่นี่เอง ตามหาเสียทั่ว หนูแก้วเป็นยังไงบ้างลูก เห็นคุณยายบอกว่าหนูเท้าแพลง” แก้วกัลยาดันร่างสูงออกห่างอย่างตกใจ ส่วนรัชวินทร์ยอมปล่อยแต่โดยดี ด้วยความเสียดายอย่างสุดแสน ทำไมต้องมีคนมาขัดจังหวะเขาทุกทีสิน่า
“ไม่เป็นอะไรมากแล้วค่ะคุณป้า”
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว อ้าว... ตาราร์ดพาน้องมาทำอะไรแถวนี้ล่ะเรา” ประโยคต่อมาการะเกดหันมาถามลูกชายตัวดี สีหน้าจับผิด
“ผมก็แค่จะช่วยพาแก้วไปที่งานน่ะครับ เห็นน้องเจ็บข้อเท้า” รัชวินทร์ตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อนหรือสะทกสะท้าน
“งั้นไปกันเถอะหนูแก้ว อุ๊ย! ตาราร์ดทำอะไรนั่น” การะเกดยกมือขึ้นทาบอกเมื่อเห็นลูกชายอุ้มร่างอรชรขึ้นสู่อ้อมแขน ลูกชายของเธอน่าหยิกให้เนื้อเขียว นี่ถ้ามารดาเห็นเข้าคงจะดุให้อีก ยิ่งหวงๆ อยู่ด้วย
“ก็ช่วยพาหนูแก้วของมัมไปในงานยังไงละครับ หนูแก้วของมัมเจ็บข้อเท้าเดินไม่ถนัด” รัชวินทร์ตอบหน้าตาเฉย แก้วกัลยาอายแสนอายเมื่อโดนอุ้มแบบนี้ ทำท่าจะดิ้นลงจากอ้อมแขนของเขา แต่โดนคนหน้ามึนข่มขู่เอาไว้เธอเลยกลัวเขาจะจับเธอโยนลงพื้นจริงๆ
การะเกดอ้าปากค้างอีกรอบเมื่อลูกชายตัวดีอุ้มว่าที่ลูกสะใภ้ของเธอเดินผ่านหน้าไปเสียแล้ว เลยได้แต่อ่อนใจเดินตามไปเงียบๆ แล้วก็แอบอมยิ้มเมื่อเห็นอาการของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
คนในงานหันมามองกันเป็นจุดเดียวกันเมื่อรัชวินทร์อุ้มร่างแก้วกัลยาเข้ามา ยายกิ่งแก้วเป็นคนแรกที่เดินเข้ามาดูอย่างห่วงใย
“หนูแก้วปวดข้อเท้ามากเหรอลูก” เอ่ยถามแต่ไม่วายมองหลานชายดุๆ รัชวินทร์นิสัยห่ามๆ ลุยๆ ถ้าอยากได้อะไรต้องได้ ท่านรู้ข้อนี้ดี
“ไม่ค่ะ...” แก้วกัลยาอยากจะบอกว่าเธอเดินเหินได้แล้ว แค่ปวดนิดหน่อย แต่คนที่อยากอุ้มเธอมาส่งรีบแย่งพูดเสียก่อนที่เธอจะพูดจบประโยค
“เจ็บมากเลยละครับคุณยาย ดีที่ผมไปเจอเข้า เลยอาสาอุ้มมาส่ง จริงไหมครับน้องแก้ว” เขาหันไปถามความเห็นอีกฝ่ายคล้ายบังคับให้ตอบตามที่เขาต้องการ
“เอ่อ...” แก้วกัลยาอึกอักเพราะไม่ชอบพูดโกหก เลยได้แต่หลบหน้าอีกตามเคย ซึ่งยายกิ่งแก้วรู้นิสัยเด็กสาวในอุปการะของท่านดี
“ขอบใจนะพ่อคุณ มีน้ำใจเสียจริง หนูแก้วมานั่งใกล้ๆ ยายเร็ว วันนี้พุดจีบกับรานีเขาทำอาหารเยอะแยะเลย” ยายกิ่งแก้วดึงมือเด็กสาวในอุปการะไปนั่งลงใกล้ๆ รัชวินทร์เลยถือโอกาสไปนั่งใกล้ๆ กับแก้วกัลยาด้วย เพราะอีกด้านบิดานั่งใกล้ๆ กับมารดา และน้องชาย ส่วนสาวใช้ คนสวน และคนขับรถของคุณยายล้อมวงกันอยู่อีกด้าน คอยรับใช้เจ้านายและรับประทานอาหารไปพร้อมๆ กัน
“ยายดีใจจริงๆ เลยที่เราได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ ยายไม่เคยมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลยจ้ะ” ยายกิ่งแก้วพูดแล้วน้ำตาซึม คนอายุเช่นคุณยายการได้อยู่กับลูกหลานและเห็นลูกหลานมีความสุขก็พอใจที่สุดแล้ว การอยู่อย่างหงอยเหงาหว้าเหว่เป็นสิ่งที่คนมีอายุทุกคนไม่ปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง
“ยายก็... ไม่เอา ร้องไห้ทำไม” ตารุ่งกุมมือภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากเอาไว้
“ก็มันดีใจนี่นาตา” ยายกิ่งแก้วพูดด้วยความซาบซึ้งใจ
“เดี๋ยวคุณแม่ก็จะไม่เหงาแล้วค่ะ เพราะว่าหนูจะมาอยู่ดูแลคุณแม่ที่นี่” การะเกดพูดอย่างเอาใจ เข้าใจหัวอกของมารดาดี เป็นนางเองพอแก่ตัวไป ก็อยากมีสามีมีลูกหลานอยู่ใกล้ๆ ดูแลกันยามแก่เฒ่า
“ผมเองก็ชอบอากาศที่นี่ครับคุณแม่” ลูคัสพูดเอาใจเพราะตลอดระยะเวลาหลายปี เขาพาภรรยาเดินทางบ่อยครั้ง มีเวลามาเยี่ยมพ่อตาแม่ยายไม่บ่อยนัก นี่เป็นโอกาสดีที่เขาเองจะวางมือจากธุรกิจและพักผ่อนอย่างสงบกับภรรยาเช่นกัน ส่วนบิดามารดาของเขานั้นกำลังท่องเที่ยวไปรอบโลก เรียกว่าสวีตหวานเหมือนตอนยังเป็นหนุ่มเป็นสาว และมีโปรแกรมว่าจะมาพักที่ประเทศไทยเร็วๆ นี้
“ปากหวานเสียจริง ลูกเขยแม่คนนี้”
“ก็ผมเอาลูกสาวสุดที่รักของคุณแม่ไปผจญภัยกับผมเสียนานเลยนี่ครับ คราวนี้ก็ต้องกลับมาดูแลคุณพ่อกับคุณแม่บ้างแหละ” ลูคัสพูดเอาใจ