“คุณจับตัวฉันมาทำไม ฉันไปทำอะไรให้คุณ?” น้ำตาหลั่งไหลพร้อมกับคำถามที่หลั่งริน แต่ทว่าไม่มีคำตอบใดๆ ออกจากปากของปุณณ์ มีเพียงสายตาดุๆ ส่งมาให้ผู้ถาม
“เอียด หาข้าวให้ผู้หญิงคนนี้ด้วย ฉันจะเข้าถ้ำ” เขาหันไปสั่งเอียดที่ยืนอยู่ไม่ไกล ก่อนจะหันมาทางเชลยสาวที่นั่งมองหน้าเขาทั้งน้ำตา “ต่อให้เธอแหกปากร้องจนคอแตกก็ไม่ใครช่วยเธอได้หรอก อย่าพยายามเสียให้ยาก” พูดจบก็ก้าวเดินไปยังด้านหลังของน้ำตกทันที
“ฮือ…ฮือ…แม่จ๋า ช่วยน้ำหอมด้วย ฮือ” อักษราร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น เธอเองก็รู้ตัวดีว่าคงจะออกไปจากเกาะแห่งนี้ยากไม่ต่างกับงมเข็มในมหาสมุทร แค่จะให้ตนเองเป็นอิสระจากกุญแจมือกับโซ่ยังแทบมองไม่เห็นทาง คำว่าหนี จึงห่างไกลจนมองไม่เห็นก็ว่าได้
เอียดมองผู้หญิงที่ผิวพรรณหน้าตาดีที่ถูกกักกันด้วยความสงสารจับใจ เธอไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่า นายหัวสุดโหดของตนจับสาวคนนี้มาทำไม แต่เอียดก็ไม่อาจจะถามหาเหตุผลนั้นกับปุณณ์ได้ นอกจากทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว
คนงานสาวผิวคล้ำเดินหายไปสักพักก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกับข้าวราดแกงกับไข่เจียว แล้วยังมีกระบอกน้ำอีกหนึ่งขวดติดมือมาด้วย
“กินซะ อย่าเอาแต่ร้องไห้ เพราะน้ำตาไม่ช่วยอะไรเธอ” เอียดวางอาหารข้างร่างของเชลยสาว พูดในสิ่งที่เป็นความจริง
“เธอรู้ไหมว่าเขาทำกับฉันแบบนี้ทำไม ฮือ?” อักษราเอ่ยถามทั้งน้ำตา
“ฉันไม่รู้หรอก แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย เดี๋ยวพานจะซวยโดยไม่รู้ตัว” เอียดตอบกลับ “เธอก็กินข้าวเถอะแล้วอย่าคิดหนีถ้าไม่อยากเจ็บตัว บอกไว้ก่อนนะว่า นายหัวน่ะโหดสุดๆ ใครขัดคำสั่งตายสถานเดียว”
เอียดกล่าวเตือนด้วยความหวังดี ก่อนจะเดินไปทำงานตามหน้าที่ของตน ปล่อยให้เชลยสาวนั่งมองอาหารข้างกายที่หน้าตาน่ากิน แต่ทำไมหนอ อักษราถึงกินมันไม่ลง นั่งจมอยู่กับน้ำตาและความสงสัย ความไม่เข้าใจต่อไปเพียงลำพัง
......
สามวันผ่านไป
ตลอดสามวันมานี้พีรวัฒน์เหมือนคนบ้าขึ้นไปทุกวัน เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาไม่สามารถติดต่ออักษราได้เลยนับตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาและเธอไปทานข้าว ไปดูหนังด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์ที่โทรเท่าไหร่ระบบอัตโนมัติก็จะพูดว่า ‘เลขหมายที่ท่านเรียกในขณะนี้ ไม่สามารถใช้งานได้ชั่วคราว’ ไปหาที่บ้านก็ไม่พบ ไปหาที่โรงเรียนก็ไม่พบอีก ซึ่งอักษราก็ไม่ติดต่อกลับมายังโรงเรียนด้วยว่า สาเหตุของการหยุดงานแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้นคืออะไร และนั่นยิ่งทำให้ความเป็นห่วง ถาโถมเข้ามาในใจของพีรวัฒน์มากมาย
ครั้นจะออกตามหาเหมือนที่ควรจะเป็นก็ทำไม่ได้ เนื่องจากปนัดดาโทรศัพท์จิกตามเขาตลอดเวลา เช้า สาย บ่าย เย็นก็ว่าได้ จะอาศัยช่วงเวลาทำงานออกไปตามหาอักษรา หญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจยิ่งไม่ได้ใหญ่เพราะปนัดดาส่งคนมาเฝ้าเขาหน้าห้อง หากเขาออกไปไหนที่ไม่ใช่เรื่องงานให้ตามติดไปด้วยไม่ให้คลาดสายตา ในความรู้สึกของพีรวัฒน์เวลานี้ เขาเหมือนนักโทษที่ถูกคุมเข้ม
“โทรหาใครเหรอคะ แต้วเห็นพี่พีกดมือถือเป็นร้อยหนแล้ว?” ปนัดดาแกล้งถาม ทั้งที่รู้คำตอบดีว่าเขาโทรศัพท์ถึงใคร
“อย่ายุ่งน่า” เขาตอบกลับอย่างคนอารมณ์ไม่ดี เสียงแข็งจนอีกฝ่ายหน้าตึง
“ไม่ยุ่งไม่ได้ค่ะ เพราะพี่พีเป็นสามีของแต้ว แต้วผิดหรือคะที่จะรู้ว่า สามีของตัวเองโทรศัพท์เป็นบ้าเป็นหลังหาใคร”
เธอสวนกลับทันที น้ำเสียงชวนหาเรื่อง พีรวัฒน์คร้านที่จะเถียงด้วย เพราะรู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรมากนัก ปนัดดาคือผู้หญิงที่เขาจะต้องพึ่งพาด้วย
“…” พีรวัฒน์ไม่ตอบ เขาลุกขึ้นยืนหย่อนโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะก้าวเดินไปยังประตูห้อง ร่างสมส่วนของสาวเอาแต่ใจรีบวิ่งมาขวางทันที
“พี่พีจะไปไหน?” ปนัดดาถามเสียงขุ่น จ้องหน้าเขานิ่ง
“เบื่อ” เขาพูดสั้นๆ มองหน้าเธอกลับ “จะออกไปหาอะไรดื่มสักหน่อย” พูดจบก็เบี่ยงตัวไปยังประตู มีหรือที่คนอย่างปนัดดาจะปล่อยให้พีรวัฒน์ไปไหนคนเดียว ถึงแม้ว่าจะไม่มีอักษราเข้ามาข้องแวะ ทว่าเธอก็ไม่ไว้ใจ
“แต้วไปด้วย” ปนัดดาวิ่งไปยังห้องนอน คว้ากระเป๋าสะพายยี่ห้อหรูคล้องไว้ที่แขน จากนั้นก็เดินแกมวิ่งตามพีรวัฒน์ที่กำลังเดินไปยังลิฟต์อย่างรวดเร็ว ไม่สนใจสีหน้าสุดเซ็งของคนที่เธอตามติดเลยสักนิดเดียว
.........
จุดหมายปลายทางที่พีรวัฒน์เดินทางไปก็คือ บ้านของบิดามารดา เพราะสถานที่แห่งนี้ทำให้เขาไม่รู้สึกอึดอัด ไม่รู้สึกว่ามีใครจับจ้องเขาทุกฝีก้าว เป็นสถานที่ที่เขาค้นพบกับคำว่าอิสระ
“อ้าว พี หนูแต้ว” เจ้าของบ้านทักลูกชายและว่าที่ลูกสะใภ้ที่เดินเข้ามาในห้องรับแขก
“สวัสดีครับคุณแม่ / สวัสดีค่ะคุณแม่” พีรวัฒน์และปนัดดาพนมมือไหว้ผู้สูงวัย
“มาที่นี่ทำไมไม่บอกแม่ล่ะ แม่จะได้เตรียมของกินไว้ให้”
“ผมเซ็งๆ น่ะครับก็เลยแวะมาหาคุณพ่อคุณแม่” พีรวัฒน์พูดออกไปอย่างนั้น แท้จริงแล้วเขามีเรื่องบางเรื่องจะให้บิดาช่วยต่างหาก “คุณพ่ออยู่หรือเปล่าครับ ผมมีเรื่องงานจะปรึกษานิดหน่อย”
“คุณพ่ออ่านหนังสืออยู่ในห้องรับแขกน่ะพี” ผู้เป็นแม่ตอบ ก่อนจะหันไปยิ้มให้ว่าที่ลูกสะใภ้ผู้ร่ำรวย
“ผมขอตัวไปหาคุณพ่อก่อนนะครับ” พีรวัฒน์ลุกเดินไปยังห้องนั่งเล่นทันทีที่พูดจบ ปล่อยให้มารดาอยู่กับปนัดดาตามลำพัง
“วันนี้หนูแต้วอยากทานอะไรลูก แม่จะทำให้ทาน” อรุณวดีเริ่มโหมดเอาใจว่าที่ลูกสะใภ้
“แต้วยังไงก็ได้ค่ะคุณแม่” ปนัดดาตอบกลับเสียงหวาน กิริยาสุภาพไม่มีทีท่าเอาแต่ใจ
“วันนี้พีมาบ้าน แม่ว่าเราทำของโปรดของพีดีกว่านะ เอาอะไรดีนะ…” นางทำท่านึก “ทำสละลอยแก้วดีกว่านะ เมื่อวานนี้น้องของแม่เอาสละมาให้ถุงใหญ่เลย ตาพีชอบกินมากด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นคุณแม่สอนแต้วทำหน่อยนะคะ วันหน้าแต้วจะได้ทำให้พี่พีทานบ้าง”
แม้ว่าปนัดดาจะไม่ชอบทำอาหาร แต่เป็นเพราะความรักที่เธอมีต่อพีรวัฒน์ และต้องการให้เขาเห็นความดี ความตั้งใจที่ตนเองมีให้เขา พีรวัฒน์จะได้หันมามองเธอบ้าง เพียงแค่น้อยนิดปนัดดาก็ดีใจแล้ว
“ได้สิ หัดทำกับข้าวไว้บ้างก็ดีนะหนูแต้ว พีไม่ชอบกินแกงถุงหรือว่าของกึ่งสำเร็จรูปที่ซื้อมาจากห้างแล้วมาอุ่นในไมโครเวฟ ถ้าวันไหนไม่อยากทำค่อยออกไปหาอะไรทานนอกบ้านกัน”
นางรู้ดีว่าการแต่งงานของลูกชายในครั้งนี้ ไม่ได้มาจากความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย จะพูดได้ว่าฝ่ายหญิงเต็มใจแต่งเพราะซื้อเจ้าบ่าวด้วยเงินทุนที่เข้ามาพยุงบริษัทของฝ่ายชาย ฉะนั้นความรักจึงหาได้มีในจิตใจของพีรวัฒน์แม้แต่น้อยนิดเพราะหัวใจของลูกชายของนางมีให้อักษรา คุณครูอนุบาลแสนสวยและเรียบร้อยคนเดียวเท่านั้น
“ค่ะคุณแม่ แต้วจะพยายามค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปเริ่มกันเลยนะ” อรุณวดีลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินนำว่าที่ลูกสะใภ้ไปยังห้องครัว