“มึงจริงจังกับน้องของขวัญจริงเหรอวะ?” ไอ้มาร์คพูดถามไอ้พีไอด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ซึ่งผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน เพราะไอ้หน้าตายพูดน้อยอย่างไอ้พีไอจู่ ๆ ก็บอกว่าชอบน้องของขวัญเกรดเจ็ดที่พึ่งเข้ามาใหม่และยังเป็นลูกของทีชเชอร์ขนิษฐาด้วย และมันกับน้องก็อายุห่างตั้งห้าปี แม่งอยากกินเด็กไม่เจียมกะลาหัวตัวเองเลย
“อืม จริงจัง” ไอ้พีไอตอบเสียงเรียบ เห็นแววตาดูเอาจริงเอาจังของมันแล้วทำผมอดที่จะแซวไปไม่ได้
“หึ โคแก่ชอบกินหญ้าอ่อนนี่หว่า”
ไอ้พีไอที่ได้ยินผมแซวไปแบบนั้นก็มองแรงใส่และก่นด่าผมทางสายตารัว ๆ ผมจึงกระตุกยิ้มมุมปากทำเป็นไม่สะทกสะท้านใส่มันกลับไป
“ถ้าหญ้าอ่อนน่ากินกูก็อยากลองนะ” ไอ้ปุณณ์พูดหยอกเย้าด้วยแววตาหื่นกระหาย เรียกสายตามองแรงของไอ้พีไอที่กำลังมองผมอยู่ไปที่มันแทน ก่อนจะได้ยินสบถใส่ไอ้ปุณณ์
“เวร!”
“กูก็พูดไปงั้น มึงอย่าถือสาไอ้พีไอ ฮ่าฮ่าฮ่า” ไอ้ปุณณ์หัวเราะร่าด้วยใบหน้ายียวนกวนประสาทและดูน่าหมั่นไส้ไม่น้อย
“เหอะ!” ไอ้พีไอแค่นเสียงในลำคอบ่งบอกว่าไม่พอใจขั้นสุด แต่กระนั้นก็เลิกสนใจพวกผมแล้วหลุบตามองจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากำลังรอน้องของขวัญตอบแซตอยู่ชัวร์
“พวกเพื่อน ๆ มีคนที่ชอบที่สนใจกันจะหมดแล้ว มึงไม่สนใจใครเลยเหรอวะไอ้เหหา?” ไอ้มาร์คหันมาถามผม ซึ่ง ‘เหหา’ คือชื่อเล่นที่พวกมันตั้งให้ผมเพราะไม่อยากเรียกผมว่าเหมันต์ดี ๆ โดยที่ผมก็ไม่ได้รู้สึกชอบใจไอ้ชื่อนี้สักเท่าไหร่ ออกจะรู้สึกไม่ลื่นหูเวลาได้ยินซะด้วยซ้ำ
“ไม่ว่ะ” ผมจึงตอบมันไปแบบไม่ต้องคิด เพราะยังไม่เจอคนที่สนใจจนทำให้ชอบได้เลยสักคน ตัดไปที่เพื่อน ๆ ที่ต่างมีคนที่ชอบกันหมดแล้ว แม้แต่ไอ้คนที่ผมเคยคิดว่ามันอาจจะเป็นโสดและบวชเป็นพระตลอดชีวิตอย่างไอ้พีไอ
“อยากครองตัวเป็นชายโสด ใจโฉด โหมดคิตตี้รึไงวะ มึงหาคนที่ชอบสักคนดิ ใกล้จะเรียนจบแล้วนะเว้ย ไม่งั้นไปเรียนมหา’ลัยแล้วมึงได้อายคนเขาตายเลย เขาจะหาว่าหน้าตาก็หล่อแต่ดันไม่เคยมีแฟนสักคน”
“เคยมีแฟน และมีคนที่ชอบแต่เขาไม่เอาแบบพวกมึงกูไม่เอาด้วยหรอก” ผมพูดจิกกัดใส่ไอ้พวกเพื่อนเวรทั้งหลายที่ส่วนใหญ่ชอบสาวแต่เขาไม่เล่นด้วย
“เอ้า ไอ้นี่!” ไอ้มาร์คแยกเขี้ยวใส่ผมอย่างไม่พอใจ ผมจึงกระตุกยิ้มอย่างสะใจใส่มันไป
“มันก็เป็นของมันแบบนี้มาตลอด อ่อยสาวไปเรื่อยแต่ไม่เอาสักคน มึงอย่าไปยุ่งกับมันเลย เอาตัวเองให้รอดเถอะไอ้มาร์คเพื่อนรัก” ไอ้ปุณณ์พูดพลางตบไหล่คล้ายปลอบใจไอ้มาร์คเบา ๆ อย่างเห็นใจ ทั้งที่มันก็เอาตัวไม่รอดเหมือนกับไอ้มาร์คนั่นแหละ แต่ปากแข็งและไม่รู้ใจตัวเอง
“แม่ง!” ไอ้มาร์คเม้มปากแน่นเพื่อข่มความซอกซ้ำน้ำใจ เพราะมันชอบน้องเกรดสิบคนหนึ่ง แต่น้องเขาไม่ชอบมันและเพิ่งมีแฟนไปเมื่อวานซืนเอง
หลังนั่งคุยอะไรกันไปเรื่อยเปื่อยได้สักพักหนึ่ง ผมก็รู้สึกต้องการอะไรบางอย่าง
“เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำแป๊บ” พูดบอกไอ้พวกเพื่อนตัวแสบเสร็จผมก็เดินออกมาจากห้องเลย แต่ทว่าไม่ได้ตรงไปยังห้องน้ำอย่างที่ว่า แต่สาวเท้าไปยังสถานที่ลับซึ่งเป็นที่ฮีลลิ่งของผมแทน
สถานที่ที่ผมกำลังจะไปต้องเดินผ่านห้องเรียนหลายห้อง และก็ได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดดังแว่วตามหลังมา รวมทั้งมีรุ่นน้องที่ยืนจับกลุ่มคุยกันตามทางเดินที่ส่งยิ้มมาให้ ผมจึงต้องคลี่ยิ้มบาง ๆ กลับไปอย่างรักษามารยาท
ผมเดินเลาะและอ้อมตึกเรียนมายังตึกอาคารกิจกรรม แล้วก็เดินขึ้นบันไดมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงดาดฟ้า พอมาถึงก็หยิบบุหรี่ออกมาคาบที่ปากแล้วเอาไฟแช็กจุดบุหรี่ สูดนิโคตินเข้าปอด แล้วพ่นควันขาวโพลนออกมาทั่วบริเวณ
แอร๊ดดด..
เสียงเปิดประตูเรียกความสนใจของผมให้รีบหันไปมองและเห็นเป็นร่างเล็กยืนทำหน้าอึ้งและตกตะลึงอยู่
“ขะ..ขอโทษค่ะ”
“เดี๋ยว”
เธอโค้งหัวขอโทษอย่างลนลานแล้วหมุนตัวเตรียมจะเดินหนี ผมจึงเอ่ยเรียกเธอไว้ ทำให้ฝีเท้าของเธอหยุดชะงักกึกอยู่หน้าประตู
ผมทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นแล้วเอาเท้าบดขยี้มันให้ดับ ก่อนจะสาวเท้าเดินตรงเข้าไปหาคนตัวเล็กที่ก้มหน้างุดไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม “น้องรู้ได้ยังไงว่าดาดฟ้านี้เข้ามาได้”
ปกติตึกกิจกรรมแทบไม่มีคนเข้ามาใช้ แล้วยิ่งเป็นดาดฟ้ายิ่งไม่ค่อยมีคนเฉียดมาใกล้ เพราะมันกลายเป็นที่เก็บของ รวมทั้งเป็นที่ทิ้งพวกโต๊ะและเก้าอี้ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว
“นะ..หนูได้ยินเสียงคนเปิดประตูค่ะ เลยขึ้นมาดู” เธอพูดแล้วเงยหน้าเล็กน้อยเพื่อกวาดสายตามองดูสภาพรก ๆ ของดาดฟ้า ทำให้ผมได้เห็นใบหน้าของเธอชัดเจน ผิวสีซีด ปากนิดจมูกหน่อย ดวงตากลมโต และผมที่หยิกฟูดูเป็นเอกลักษณ์
“ไม่เคยขึ้นมา?”
“พึ่งเคยขึ้นมาครั้งแรกค่ะ หนูไปก่อนนะคะพี่” พูดบอกผมก่อนจะหมุนตัวเตรียมจะเดินหนีอีกครั้ง
“พี่กำลังคุยด้วยน้องจะรีบหนีไปไหน”
เท้าของเธอหยุดชะงักอีกรอบเมื่อได้ยินผมพูดไปแบบนั้น ก่อนจะหันมาทำหน้าตาบ้องแบ๊วใส่เป็นเชิงถามผมว่าอยากคุยอะไรกับเธออีก
ผมโน้มใบหน้าลงไปให้อยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าของคนตัวเตี้ยกว่าแล้วเอ่ยถามขึ้น “น้องมาทำอะไรที่ตึกนี้ครับ?”
“นะ..หนูมาวาดรูปที่ห้องศิลปะค่ะ”
ได้ยินเธอตอบมาแบบนั้น ผมก็ปรายตาไปมองที่สมุดวาดภาพของเธออย่างอัตโนมัติด้วยความอยากรู้ ที่แท้ก็เป็นเด็กศิลป์ชอบวาดรูป
“น้องหน้าตาคุ้น ๆ นะ”
“……” เธอทำหน้าตาเหลอหลา ดวงตาล่อกแล่กดูมีพิรุธ ยิ่งเห็นแก้มใสขึ้นสีแดงระเรื่อก็ทำผมนึกขำ
“น้องใช่คนที่พึ่งแอดเฟรนด์พี่ในเฟซบุ๊กมาเมื่ออาทิตย์ก่อนรึเปล่า?”
“อะ..เอ่อ...”
“ใช่สินะ” เห็นเธอตะกุกตะกักพูดไม่ออกก็พอจะเดาคำตอบได้ไม่ยาก แต่ที่จริงผมจำได้ว่าเพิ่งกดตอบรับคำขอเป็นเพื่อนของเธอเมื่อไม่นานมานี้ และถ้าถามว่าทำไมถึงจำได้ ก็เพราะผมเข้าไปส่องโปรไฟล์ของเธอก่อนกดตอบรับไงล่ะ
“ค่ะ”
“น้องชื่ออะไร?”
เธอรีบเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมแบบอึ้ง ๆ ทันที คงแปลกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ ผมก็อยากรู้ชื่อของเธอ และที่ผมถามเพราะอยากรู้ไปอย่างนั้นแหละ ก็แค่ถามเผื่อไว้ เผื่อได้เจอหน้าน้องบ่อย ๆ
“น้องลืมชื่อตัวเองเหรอครับ ทำไมไม่บอกพี่”
“นะ..หนูชื่อแยมโรลค่ะพะ..พี่เหมันต์”
“รู้ชื่อพี่ซะด้วย” ผมกระตุกยิ้มมุมปาก ทักเธอไปแบบนั้นทั้งที่รู้ดีว่ามีใครบ้างที่ไม่รู้จักผมและแก๊งเพื่อน
“นะ..หนูมีเรียนต่อค่ะ ขะ..ขอตัวก่อนนะคะ” พูดเสียงตะกุกตะกักบอกผมก่อนจะโค้งหัวให้หนึ่งทีแล้วรีบหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็วเหมือนกลัวว่าผมจะเรียกเธอเอาไว้อีก
ผมมองตามแผ่นหลังของน้องขนมฟูตัวเล็กจนหายไปจากสายตาพลางยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะล้วงเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบอีกมวน เพราะแค่มวนเดียวมันคงไม่พอสำหรับการเรียนช่วงคาบบ่ายที่แสนน่าเบื่อและชวนง่วงนอน