Chapter 3
ทะเล้ ทะเล (2)
"น้ำทะเลมันดูดำๆ เล่นน้ำในสระแทนได้มั้ยครับลลิน"
คนฟังถึงกับหน้าเสียเมื่อคุณพ่อเอ่ยมาแบบนั้น แววตาเจือความผิดหวังเหลือบมองหน้าคุณอาพลางทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ ใบหน้าที่ระรื่นก่อนหน้ามีความผิดหวังเข้ามาแทนที่ ลลิน ทอดสายตามองไปยังเกลียวคลื่นที่ซัดสาดด้วยแววตาละห้อย ท่าทีนั้นไม่อาจปกปิดสายตาของดากานดาได้เลย
"นานๆ ทีพี่ปราชญ์จะได้พาน้องมาทะเล ให้เล่นวันเดียวคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้งคะ"
"แต่น้ำมันไม่น่าเล่นเลยนะกานดา"
"พี่ปราชญ์ชอบปิดกั้นโลกของเด็ก บอกเขาว่าจะพามาเล่นน้ำทะเล แต่มาถึงกลับไม่ให้เล่นซะงั้น เป็นคุณพ่อที่ใจร้ายอำมหิตมากๆ เลยรู้มั้ยคะ"
"นี่! กานดา เธอหลอกด่าพี่เหรอ"
"กานดาพูดจริง ดูแววตาเขาสิคะ ไม่สงสารบ้างหรือไง"
"สรุปเธอเป็นพี่เลี้ยงเด็กๆ หรือเป็นเมียพี่ฮึ ถึงขัดได้เสียทุกเรื่อง"
สองหนุ่มสาวกระซิบกระซาบเถียงกันไปมา ท่ามกลางสายตาดำขลับที่มองหน้าคุณพ่อและคุณอาสลับกันไปมาด้วยความสงสัย และแววตากลมโตที่กระพริบปริบๆ จนน่าเอ็นดู ทำให้เสียงถกเถียงต้องเงียบลงไป
ปราชญ์ใจอ่อนเมื่อเห็นหน้าลูกคล้ายจะร้องไห้ แม้จะกลัวเรื่องความไม่สะอาดในน้ำทะเลก็ตามที
"ปาป๊าให้เล่นก็ได้ครับ ไหนๆ ก็มาเที่ยวทะเลทั้งที"
"เย้ๆ ปาป๊าของลลินใจดีที่สุดในโลกเลย"
สาวน้อยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ โผเข้ากอดคนเป็นพ่อด้วยท่าทีน่าเอ็นดู
"คุณอาเล่นน้ำกับลลินนะคะ"
"จ้า"
"ไปกันเถอะค่ะ"
"กานดา อย่าพาหลานไปลึกมากนะ"
"ไม่ต้องห่วงค่ะ กานดาจะดูแลลลินเอง"
ปราชญ์มองตามสองคนที่จูงมือพากันวิ่งเหยาะๆ ลงทะเล ก่อนเขาจะเลือกม้านั่งที่ตั้งอยู่ริมชายหาด ปล่อยลูกชายให้เดินเล่นเตาะแตะอยู่รอบๆ
ภาพสองคนที่กำลังสนุกสนานเคล้าเสียงหัวเราะอยู่ในทะเล ทำให้แววตาคมกล้าไหววูบพร้อมใจที่เสียวแปลบ เรื่องภรรยาขอหย่าคอยแต่จะย้ำเตือนเข้ามาในทุกนาทีที่เคลื่อนผ่าน ยิ่งมองดูลูกๆ เขายิ่งสะท้านในหัวอกจนรอบขอบตาร้อนผ่าวปวดหนึบ นึกสงสารลูกหากวันข้างหน้าจะต้องก้าวเดินต่อไปโดยไร้เงาของมารดาที่ให้กำเนิด เขาไม่อยากให้กลายเป็นแบบนั้น แต่เมื่อทุกอย่างเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด เขาก็ต้องยอมรับมันอย่างไม่อาจเลี่ยงได้เลย
"ปาป๊าขา พาน้องไปเล่นน้ำกันเถอะค่ะ"
เสียงใสๆ ดึงเขาขึ้นมาจากห้วงภวังค์ ตามมาด้วยสองมือเล็กที่คว้าหมับลงบนข้อมือแกร่งแล้วออกแรงดึงให้เขาลุกตามขึ้นมา แววตาออดอ้อนสุดพลังทำให้เขาไม่อยากขัดใจลูกสาว จึงลุกขึ้นแล้วอุ้มลูกชายคนเล็กเดินตามอีกฝ่ายไปจนถึงรอยเกลียวคลื่นที่ซัดสาดเข้าหาฝั่ง จับแขนกลมป้อมทั้งสองข้างเอาไว้แล้วพาเดินเลาะเลียบชายหาด หนูน้อยมีท่าทีดีใจเริงร่าเมื่อเท้าได้สัมผัสกับน้ำทะเล
"โอ๊ะ! อย่าเล่นแบบนี้สิครับ"
ละอองน้ำซัดสาดมาหาเขาเมื่อยังคงระวังไม่ยอมให้ท่อนบนโดนความเค็มของน้ำทะเล จากฝีมือของสองอาหลานที่เข้าขากันได้เป็นอย่างดี สรุปวันนี้ที่ตั้งใจจะไม่เล่นน้ำ กลายเป็นว่าเขาต้องร่วมเล่นกับเด็กๆ เพราะกลัวว่าจะน้อยใจที่คุณพ่อไม่ยอมลงทะเลมาสนุกด้วยกัน
ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยลอยต่ำสาดแสงสีส้มอมแดงอาบไล้ผืนทะเลจนเกิดประกายสีทองพราวระยับ ในขณะที่ทั้งสี่คนกำลังพากายและใจดำดิ่งสู่ห้วงความสุขที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน คือความสุขเล็กๆ ที่ไม่ต้องพยายามไขว่คว้ามา มันมาแบบไม่รู้ตัวยามปล่อยวางทุกอย่างไว้ข้างหลัง...ตามแนวชายหาดที่ทอดโค้งเป็นแนวยาว ทั้งสี่ชีวิตเดินเลียบไปตามแนวเกลียวคลื่นที่ซัดสาดกระทบฝั่ง ท่ามกลางความเปียกปอนจากการเล่นน้ำทะเลจนลืมสิ้นซึ่งเวลาที่ล่วงผ่าน ดื่มด่ำกับสายลมและเกลียวคลื่นจนความมืดโรยตัวมาห่มคลุม
"ทำไมเธอถึงดูมีความสุขกับทุกสิ่งอย่างที่อยู่รอบตัว เธอเคยมีความทุกข์กับเขาบ้างไหมกานดา"
ปราชญ์หันมองเสี้ยวหน้าของคนที่เดินอยู่ข้างๆ ก่อนเจ้าหล่อนจะหันมายิ้มให้ คำตอบที่ผ่านการไต่ตรองแล้วลอดผ่านเรียวปากอิ่ม
"ทุกคนล้วนมีความทุกข์ อยู่ที่ว่า…เราจะจัดการกับความทุกข์เหล่านั้นยังไง กานดามีวิธีคิดรับมือกับความทุกข์เหล่านั้น พี่
ปราชญ์ก็เลยไม่เคยเห็นกานดาในมุมนั้น"
เหมือนที่หล่อนแอบรักเขา...รักที่ไม่ได้ครอบครองนั้นเหมือนจะเป็นทุกข์ แต่หล่อนก็อยู่กับมันมาได้ เปลี่ยนมันให้เป็นความสุขจากการได้ทำสิ่งดีๆ ให้กับใครสักคน แม้เส้นทางเดินจะไม่มีวันมาบรรจบกันก็ตาม
"มันยากนะ...ที่จะลืมความทุกข์ที่เรากำลังเผชิญ"
"กานดาเชื่อว่า พี่ปราชญ์ต้องผ่านมันไปได้ พี่ชายของกานดาคนนี้เข้มแข็งที่สุดแล้ว"
รอยยิ้มส่งผ่านกำลังใจมาให้เจ้าของรอยยิ้มเจือความเศร้า หล่อนรู้ดี...ยามนี้เขากำลังคิดถึงใครบางคนจนสุดหัวใจ
"หลังพายุร้ายนั่นก็คือฟ้าที่ใสสว่าง ไม่มีพายุร้ายตลอดไป แล้วก็ไม่มีวันที่ฟ้าจะสดใสตลอดไป"
เหมือนชีวิตคนเรา ที่ต้องมีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันไป นั่นคือเรื่องธรรมดาของกฎเกณฑ์ธรรมชาติ...ปราชญ์เข้าใจว่าหล่อนจะบอกเขาแบบนั้น รอยยิ้มจางๆ ส่งกลับแทนคำขอบคุณ
"ถ้าวันใดเธอมีความรัก แล้วเธอจะรู้ว่าความทุกข์จากรักนั้นเป็นเช่นไร มันไม่ง่ายเลยกานดา ไม่ง่ายเลยกับการต้องตัดใจจากคนที่รักมาก เป็นรักเดียว รักที่ไม่อาจแบ่งไปให้ใครได้อีกแล้ว"
ดั่งคมมีดกรีดลงกลางใจจนเจ็บแปลบ เหมือนเขากำลังคว้านปลายมีดลงบนใจบางๆ ของคนฟัง หากเขาจะสังเกตเห็น ท่ามกลางความมืดสลัวนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เจื่อนลงไปตามใจที่สั่นไหวจากน้ำคำย้ำเตือน...เตือนให้หล่อนอยู่ในที่ของตัวเองตลอดไป
แววตาซ่อนความลับมองเลยไปข้างหน้า ลลินกระโดดโลดเต้นนำหน้าไปหลายก้าวโดยไม่สนใจว่าผู้ใหญ่กำลังคุยอะไรกัน ตามด้วยหนุ่มน้อยที่เดินเตาะแตะตามพี่สาว จนเมื่อร่างกลมป้อมนั้นล้มลงบนพื้นทราย สองหนุ่มสาวจึงถลาเข้าไปที่ร่างนั้นพร้อมๆ กัน
"ไปกันเถอะ เดี๋ยวเด็กๆ จะไม่สบาย"
ปราชญ์อุ้มลูกชายขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ดูเวลาที่ข้อมือแล้วคิดว่าควรจะพาเด็กๆ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว
"ลลินจ๊ะ ไปกันได้แล้วจ้ะ"
ดากานดาเดินไปจูงมือหลานสาวที่ยังอยู่ในอารมณ์สนุก แม้จะเปียกปอนไปทั้งตัว แต่สาวน้อยก็ไม่มีทีท่าว่าจะหนาวสั่นแต่อย่างใด
"พรุ่งนี้เช้าลลินขอเล่นน้ำอีกนะคะปาป๊า"
สาวน้อยเกาะแขนเกาะขาบิดา มองด้วยแววตาออดอ้อนสุดพลัง
"ก็ได้ครับ ว่าแต่วันนี้พอก่อนเถอะนะ เดี๋ยวต้องไปหาอะไรทานอีก"
"ไปกินกุ้งเหรอคะ"
"ใช่ครับ เราจะไปกินกุ้งยักษ์กัน"
ชายหนุ่มหมายถึงลอบสเตอร์ที่ตลาดโต้รุ่ง เขาบอกลูกสาวตั้งแต่ก่อนมาหัวหิน ว่าจะพามากินกุ้งมังกร
ปราชญ์มองตามหลังสองคนที่พากันเดินจูงมือนำหน้าไป พลันร่างของภรรยาก็ปรากฎขึ้นมาทับซ้อนร่างของดากานดาจนเขาต้องสลัดภาพในหัวทิ้งไป เพราะนั่นจะทำให้หมดสนุกในค่ำคืนนี้กับการไปตระเวนย่ำราตรีพาเด็กๆ หาอะไรอร่อยๆ ทาน แม้ลึกๆ จะยังคงหวังว่าหล่อนจะเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย แต่เขาก็ไม่อาจหลอกตัวเองได้ จะไม่มีอีกแล้วกับภาพพ่อแม่ลูกดังเช่นวันวาน...ไม่มีใครมาแทนที่อลินได้ หัวใจร้องบอกเช่นนั้น