บทที่2. ข้อแลกเปลี่ยน

1664 Words
ซินหรานล้างไม้ล้างมือจนมั่นใจว่าสะอาด เช็ดมือจนแห้งสนิทแล้วยกถาดกาน้ำชาที่พ่อบ้านจูโหย่งเจาเตรียมไว้ให้แล้ว ชายชราวัยหกสิบที่ร่างกายกระฉับกระเฉง ดวงตาเรียวคู่นั้นมองเห็นร่างเล็กก้าวเร็วๆ มาทางเขาแล้วก็ส่ายหน้าไปมาระอาใจ พร่ำสอนเท่าไหร่นางก็ทำเหมือนจะไม่จดจำเอาเสียเลย             “มาแล้วเจ้าค่ะ” ซินหรานฉีกยิ้มกว้าง รู้ดีนางต้องโดนดุเป็นแน่ แต่นางอาศัยตัวเองโดนตำหนิจนชินจึงได้แต่ยิ้มและรับฟังถ้อยคำเหล่านั้น อย่างไรพ่อบ้านจูโหย่งเจาเป็นคนปากร้ายแต่ใจดี ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดผิดแค่ไหน อย่างมากก็แค่ถูกตำหนิไม่เคยลงโทษนางรุนแรงสักคราเดียว             “ไปได้แล้ว” หลังจากบ่นพอให้นางรู้ตัวความผิดที่ล่าช้าแล้วก็เดินนำมาที่ห้องอักษรของท่านเหิงหยางเซิง ก่อนมือเหี่ยวย่นจะผลักบานประตูเข้าไป พ่อบ้านจูเหลียวมองหญิงสาวเล็กน้อย เห็นนางทิ้งท่าทีซุกซนมาเป็นสำรวมใบหน้าไร้รอยยิ้มแล้ว เขาจึงเอ่ยปากส่งเสียงไปก่อนผลักบานประตูเข้าไป             แม้ซินหรานจะอยู่ที่นี่ด้วยฐานะหญิงรับใช้ แต่นางรับใช้เพียงท่านเหิงหยางเซิงเพียงผู้เดียว แม้ท่านเหิงจะมีหญิงงามนางบำเรอหลายคน แต่หญิงเหล่านั้นไม่มีสิทธิ์เอ่ยปากเรียกใช้นางได้ นางทำงานรับใช้อยู่ใกล้ๆ เหิงหยางเซิงจะเรียกว่าสาวใช้ข้างกายก็ไม่ผิดนัก แม้นางอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แปดขวบ แต่นางเพิ่งได้รับใช้ใกล้ชิดเช่นนี้เมื่อสองปีที่แล้วนี่เอง             หญิงสาวประคองถาดกาน้ำชาไปที่โต๊ะน้ำชามุมห้องอักษร นางก้มหน้ามองเพียงสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของตน แต่กระนั้นก็รู้ว่าเหิงหยางเซิงนั่งก้มหน้ากับม้วนหนังสือ พ่อบ้านจูโหย่งเจาเข้าไปกระซิบพูดคุยไม่กี่คำแล้วย้ายสายตามาทางซินหราน น้ำชาของท่านเหิงต้องชงใหม่ใช้น้ำร้อนพอดี นางฝึกชงชาตามธรรมเนียมมาหลายปี ตั้งแต่สิบขวบก็ว่าได้ คนที่กินน้ำชามากที่สุดไม่พ้นองครักษ์อย่างอู่เฉียง อู่ยินและอู่ชิง คนเหล่านี้ล้วนลิ้นพองและเคยสำลักน้ำชาที่ไม่ได้ความของนางมาแล้ว รวมทั้งตัวนางที่ถูกพ่อบ้านจูโหย่งเจาดุด่าจนเผลอทำน้ำร้อนลวกมือ             เมื่อครั้งที่นางแค่แปดขวบ นางช่วยงานอยู่กับพ่อครัวเจี่ยนหยิบจับโน้นนี่เล็กน้อยๆ พอว่างพ่อบ้านจูโหย่งเจาสอนนางจับพู่กันเขียนชื่อตัวเอง สอนอ่านเขียน โดยไม่สนใจว่านางเป็นหญิง เพราะนางจำได้ลางๆ ว่าตอนที่นางยังอยู่กับบิดามารดานั้น บิดาพร่ำสอนว่าเป็นหญิงไม่ต้องเรียนหนังสือ เมื่อพ่อบ้านจูโหย่งเมตตาสอนให้นางอ่านเขียน นางจึงตั้งใจเรียนรู้ และก็อีกนั้นและ นางฝึกเขียนชื่อตัวเองได้ นางก็ฝึกเขียนชื่ออู่เฉียงเป็นชื่อที่สอง แม้ลายมือเรียกได้ว่าระดับเดียวกับไก่เขี่ย แต่นางวิ่งเอาไปอวดอู่เฉียง อู่ชิงกับอู่ยินเห็นเข้าบ่นน้อยใจที่นางไม่เขียนชื่อให้พวกเขาบ้าง นางจึงกลับมาฝึกฝนอีก แม้ไม่มีกระดาษกับหมึก นางก็ใช้กิ่งไม้ขีดบนพื้นดิน             งานในครัวที่เด็กแปดขวบทำได้นั้นมีมากกว่าที่คิด แค่ล้างผักอย่างเดียว ทำให้มือเล็กๆ ของนางทั้งซีดและเหี่ยวย่นมาแล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวจัด หิมะโปรายปราย นางล้างผักให้พ่อครัวเจี่ยนจนมือชาไร้ความรู้สึก อู่เฉียงบังเอิญผ่านมาเห็นนางที่ปากสั่นอยู่ รีบคว้ามือน้อยๆ ของนางมาถูขับไล่ไอเย็นไป             “คนในครัวมีตั้งมากมาย ไยเจ้าต้องมาทำอะไรเช่นนี้”              “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” นางตอบทั้งที่ปากสั่น แล้วฝืนยิ้มให้          “พี่อู่เฉียงฝึกหนักกว่าข้าอีก เรื่องแค่นี้ข้าทนได้”             “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าฝึกหนัก” เสียงสูดลมหายใจลึกของอู่เฉียงนั้นทำให้นางหดคอเป็นเต่าตัวน้อย             “พ่อครัวเจี่ยนบอกว่า การล้างผักไม่ต่างจากการฝึกยุทธ ต้องสังเกตและเลือกให้ดี ใช้ให้ถูกส่วน ผักต้องล้างในสะอาด ส่งผลต่อรสชาติของอาหาร”             “พอเถอะ เจ้าตัวแค่นี้จะอะไรกันหนักหนา” อู่เฉียงบ่นแม้รู้ดีว่าเด็กที่ถูกส่งตัวมาอยู่ที่พรรคเพลิงอัคนีนั้นส่วนใหญ่เป็นเด็กกำพร้า เด็กที่ถูกขายทิ้งไร้ญาติขาดมิตร ถูกเลี้ยงดูเพื่อเป็นนักฆ่า ไม่มีใครสนใจ     หรอกว่าเด็กอายุมากหรือน้อยเพียงใด ซินหรานอยู่แต่ในคฤหาสน์เพลิงอัคนีจึงไม่รู้ว่าค่ายฝึกโหดร้ายทารุณมากเพียงใด เขาเองเคยผ่านมาแล้ว เด็กยี่สิบคนจะเหลือรอดอยู่แค่สามหรือสี่คนเท่านั้น             เด็กหญิงตัวน้อยส่ายหน้าไปมาจนผมยาวที่ถักเปียสองข้างแกว่งไปมา “ถ้า...ถ้าข้าทำได้ดี...พ่อบ้านเจี่ยนจะอนุญาตให้ข้าทำของอร่อยๆให้พี่อู่เฉียงกิน”             “อะไรนะ!”             “พี่อู่เฉียงใจดีกับข้ามาก ข้าตอบแทนพี่อู่เฉียงได้เพียงแค่นี้”   เด็กน้อยฉีกยิ้มกว้าง ความเย็นจากฝ่ามือหายไปหมดสิ้น             “เด็กโง่”             เมื่อหวนคิดถึงอดีตก็อดยกมุมปากยิ้มไม่ได้ หญิงสาวก้มหน้าอยู่ เมื่อนางชงชาเสร็จจึงเก็บรอยยิ้มกลับคืน พ่อบ้านจูโหย่งเจาบอกว่า   ท่านจอมมารเหิงหยางเซิงชอบให้บ่าวรับใช้สงบเสงี่ยมและสำรวมกิริยาอยู่เสมอ เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านจอมมารแห่งพรรคเพลิงอัคนี นางจึงมีสีหน้าเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกไปด้วย             พ่อครัวเจี่ยนสอนทำอาหาร พ่อบ้านจูโหย่งเจาสอนเรื่องงานต่างๆ นางเรียนรู้และฝึกฝนอยู่เสมอ อาจเป็นเพราะว่านางรู้สึกว่าตนเองเป็นคนเดียวที่ไม่เป็นวรยุทธ แม้แต่บ่าวรับใช้คนอื่นๆ ยังมีวรยุทธบ้าง   แต่นางกลับไม่เป็นอะไรเลย นางจึงพยายามทำตัวให้มีประโยชน์มากที่สุด ได้ใช้ชีวิตในสถานที่ที่น่ากลัวที่สุด นางกลับรู้สึกว่าที่นี่ปลอดภัยที่สุด             เพียงการกลอกตาของเหิงหยางเซิง พ่อบ้านจูโหย่งเจาก็เข้าใจความหมาย ร่างผอมบางค้อมกายแล้วถอยออกไปอย่างเงียบเฉียบ   ซินหรานยกถ้วยน้ำชามาถึงมือของเหิงหยางเซิงที่ยื่นมือไปรับพอดี เมื่อพ่อบ้านไม่อยู่แล้วนางจึงเข้าไปยืนข้างๆ ค้อมตัวลงฝนหมึกด้วยท่าทีสำรวมยิ่ง เพราะนางเอาแต่ก้มหน้าจึงไม่รู้ว่าสายตาของเหิงหยางซิง   จับจ้องที่ร่างบอบบาง แม้มีหญิงงามนางบำเรออยู่มากและจัดให้อยู่ในบริเวณของตนเองมิให้ออกเดินเพ่นพ่านด้านนอก หลายปีมานี้จากเด็กหญิงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวมาบัดนี้เติบโตจนดวงหน้าประดับรอยยิ้ม             แต่รอยยิ้มของนางมิใช่สำหรับเขา นางมิเคยยิ้มให้เขาสักคราเดียว             หลังจากจิบชาร้อนไปหนึ่งอึก เขาคีบถ้วยชาด้วยมือข้างเดียว  แปดปีก่อนเขาไม่คิดจะช่วยชีวิตเด็กหญิงผู้นี้ เพียงแค่รู้สึกว่าโทสะที่ปะทุขึ้นมานั้นต้องการระบายออก ยามนั้นเขาอายุสิบห้า แต่ในฐานะที่ตนเองเป็นประมุขพรรคเพลิงอัคนี ตำแหน่งนี้มิได้สืบทอดทางสายเลือดเท่านั้น แต่ความสามารถต้องมาก่อน เรียกว่าเขาถูกวางหมากมาเพื่อสืบทอดตำแหน่งนี้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ฝึกดื่มเหล้าพิษพอๆ กับน้ำนมมารดา  และเพื่อให้ตัวเองยังมีชีวิตอยู่เขาต้องแข็งแกร่งเหนือผู้อื่น   ประมุขพรรคเพลิงอัคนีที่ผ่านมาเจ็ดรุ่น มีเขาเป็นผู้ครองตำแหน่งรุ่นที่แปด แต่ละรุ่นล้วนสืบสายเลือดจากประมุขพรรคคนเก่า  แม้กฏของพรรคเพลิงอัคนีจะยินยอมให้ผู้อื่นเป็นประมุขพรรคได้ เพียงแต่ต้องล้มประมุขพรรคคนเก่าให้ได้ ทว่าการที่ประมุขพรรคเพลิงอัคนียังเป็นคนในตระกูลเหิงไม่เพียงความแข็งแกร่งแต่เพราะโค่นล้มประมุขคนก่อนเช่นกัน             ใช่! เขาเองก็โค่นล้มบิดาตนเองตั้งแต่อายุเพียงสิบสามเท่านั้น             เหิงหยางเซิงยกน้ำชาที่เหลือขึ้นดื่มจนหมด เมื่อถ้วยชาในมือว่างเปล่า ยังไม่ทันวางลงบนโต๊ะ มือเรียวเล็กยื่นไปรอรับก่อนแล้ว นางยังคงก้มหน้าไม่สบตากับดวงตาสีนิลคู่นั้น หมุนตัวเดินนำถ้วยชาไปวางที่เดิมแล้วกลับมาทำหน้าที่ของตน ชงชา ฝนหมึก เก็บหนังสือเข้าชั้น บางครั้งจดบันทึกตามคำสั่งของนายท่าน              ม้วนหนังสือด้านซ้ายมือคือรายงานที่อ่านแล้ว ม้วนทางขวาคือรอให้คลี่ออกอ่าน เป็นประมุขพรรคมารมิได้หมายความว่าวันๆ แค่ถือกระบี่ฆ่าคน แต่เดิมนางไม่เคยรู้เรื่องเหล่านี้ พ่อบ้านจูโหย่งเจาไม่เคยสอน นางเรียนรู้ที่ละเล็กละน้อยจากการอยู่รับใช้ใกล้ชิดจอมมาร        เหิงหยางเซิง ก่อนฟ้าสางประมุขจะฝึกยุทธเดินลมปราณอยู่ที่หอฝึกตน เป็นสถานที่ที่เข้าไปได้เฉพาะประมุขพรรคเท่านั้น ผู้อื่นเรียกเขา        ‘ท่านจอมมาร’ นางเรียกเขาว่า ‘นายท่าน’ จริงๆ นางไม่รู้หรอกว่าทำไมนางเรียกเขาไม่เหมือนผู้อื่น แต่นางเห็นหัวคิ้วที่ขมวดด้วยความไม่พอใจยามเมื่อนางเรียกเขาว่าท่านจอมมาร นางจึงเอ่ยเสียงแผ่วเรียกเขาว่า ‘นายท่าน’ เห็นเขาคลายสีหน้าลงนางจึงลอบถอนหายใจบางเบาและเรียกเขาเช่นนั้นเสมอมา 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD