บทที่ 2 พี่หมอปี 3 คือคนนอนเก่ง

3255 Words
บทที่ 2 ผมรีบกลับเข้าห้องมาชาร์ตแบตโทรศัพท์เตรียมไว้ เพราะต้องรอเข้าสงครามระหว่างเซิร์ฟตามที่หัวหน้ากิลด์สั่ง ระหว่างนั้นผมจึงหาอะไรดูเพื่อฮิลล์ใจก่อนไปตายเอาดาบหน้าในเกม “แล้วพี่แกชื่ออะไรวะ” เล่นเข้าใกล้กันขนาดนั้นใครจะไปคิดออกว่าต้องถามอะไร [เออ กลับมายัง] พักรบโทรกลับมาพอดี [อยู่ไหน ถึงหอยัง แล้วนี่ทำไรอยู่] [ถึงแล้ว ดูซีรีย์] ซักไซร้เก่งจริงๆ[แม่มึงเรียกไปทำไม] [พี่สาวกูกลับบ้านด่วน เซอร์ไพรท์สัด] ดีใจแก้มแทบปริ [เดี๋ยวเอาไดฟูกุไปฝาก อิมพอร์ตจากญี่ปุ่นนะมึง] [ไม่เป็นไร กูยังไงก็ได้] [ยังงอนไม่เลิกอีกเหรอ] [กูไม่ได้งอน กูแค่โมโหให้มึง และตอนนี้กูเลิกโมโหแล้ว] ตอบด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ [ดีแล้ว งั้นก็แค่นี้นะ] น้ำเสียงจากปลายสายทำพักรบพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง รู้สึกแปลกๆตรงอกข้างซ้าย อาการหน่วงๆ นี้เกิดขึ้นจากอะไรกันแน่ [อือ] สายตายังจดจ้องอยู่หน้าจอแท็ปแล็ท ‘สองทุ่มรึยังนะ หัวหน้าจะมารึยัง’ แค่คิดว่าเขาคนนั้นตอบกลับมาเขาก็เตรียมตัวรอแล้ว “หัวหน้าตัวจริงจะหน้าตาเป็นยังไงนะ” คิดแค่นั้นก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “หัวหน้าใจดีกับผมจัง” ‘เพ้ออยู่คนเดียวอีกแล้วสิเรา’ บางครั้งก็คิดว่าตัวเองบ้ารึเปล่า แอบหลงคนที่ยังไม่เคยเห็นหน้าเนี้ยนะ งงกับตัวเองเหมือนกัน 20.00 น. Silver Wolf: ทุกคนเข้าสงครามครับ Taro: [อีโมจิไฟลุก] Wayu: พร้อมครับ สงครามเซิร์ฟคือการแข่งขันกันระหว่างเซอร์เวอร์ ที่มีทั้งหมด12เซอร์เวอร์ ใช้เวลาในการแข่งขัน 15 นาที ในการจัดการกับปีศาจ แต่ละแต่ละเซิร์ฟจะต้องกำจัดเซิร์ฟคู่แข่งไปด้วย และที่แผมตายตั้งแต่ต้น ไม่นานนักพวกเราสามคนย้ำว่าสามคนได้ว๊าปเข้าป้อมปราการเหมือนทุกครั้ง มันจะโดดเดี่ยวหน่อยๆ ในเมื่อกิลด์นี้มีคนตั้ง 50 คน แต่มีคนร่วมกิจกรรมเพียงแค่นี้ Taro: ถ้ามีเพื่อนเขาเยอะกว่านี้ก็คงดีนะครับ Wayu: นั่นสิ Silver Wolf: ไม่เป็นไรนะครับ พวกเราก็เข้าตี้กัน ไปไหนก็ไปสามคนนี่แหละ Taro: หัวหน้าปกป้องผมด้วย พลังเยอะสุดแล้ว Silver Wolf: ผมจะทำให้ดีที่สุดนะ Taro: จริงนะ Silver Wolf: จริงสิ ตามมานะ Taro: ครับผม ผมเอาหัวซุกหมอนแล้วโขกจนตัวกระดอนหลายครั้ง สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน ความตั้งใจ ส่วนหนึ่งมาจากการอวยคนที่ไม่เคยเจอ หัวหน้ากิลด์ทำไมน่ารักขนาดนี้ ว่าแล้วก็อยากชมเค้าสักหน่อย Taro: ขอบคุณที่ใจดีกับคนพลังน้อยนะครับหัวหน้า หัวหน้าน่ารักมากๆ Silver Wolf: คุณก็น่ารักมาก บอกให้ทำอะไรทำหมด ตอนนี้พลังก็เพิ่มขึ้นแล้ว Wayu: ผมรู้สึกว่าแชทดูหวานๆ เจอวายุเบรคหัวทิ่มเข้าไป ต้าได้แต่ส่งสติกเกอร์เหว๋อลงแชทกิลด์ แก้มใส่มีเลือดฝาดใบหน้าเต็มไปด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ Silver Wolf: 5555555555+++ Wayu: เหมือนจีบกันเลยครับ Silver Wolf: กิลด์เราไม่ค่อยมีคนเล่นมากกว่า พวกเราเลยได้ต่อแชทกันแค่สามคน Wayu : 2 Silver Wolf: นั่นสิ ทำไมเราคุยกันสองคนแล้วคุณทาโร่ไปไหน Wayu: ผมหมายถึงหัวหน้ากับคุณทาโร่นั่นแหละไม่ใช่ผม โว๊ะ! Silver Wolf: 5555++ Wayu: [ส่งสติกเกอร์เหงื่อตก] การเบี่ยงประเด็นของหัวหน้ากิลด์ทำต้าผิดหวังเล็กน้อย ถ้าให้ตัดเรื่องเพ้อเจ้อของเขาไปหัวหน้ากิลด์ก็แค่คนชอบเล่นเกมคนหนึ่ง เขาอาจจะเป็นคนเฟรนลี่เท่านั้น ที่จริงเขาก็คงเทคแคร์ทุกคนอย่างเท่าเที่ยมกับ Wayu เขาก็คุยด้วยเหมือนกันนี่นา เมื่อป้อมปราการปีศาจจบลงทุกคนต่างแยกย้ายกันไปเพื่อทำเควสของตัวเอง ต้าพายัยจิ๋วไปจุมปุ๊กอยู่ในดันเจียนโรงละครผีสิง Silver Wolf: เข้าเรดโรดรึยัง Taro: ยังครับ Silver Wolf: ไปด้วยกันไหม ผมยังไม่ได้ไปเลย Taro: ครับ “หัวหน้าอ่า” คนจ้องหน้าจอยิ้มไม่หุบ “น่ารักอะไรขนาดนี้” หัวหน้าพาเขาผจญภัยเพื่อล่าของรางวัลอีกสองรอบ Taro: หืดขึ้นคอมากครับ นึกว่าจะไม่ผ่าน Silver Wolf: ผ่านครับ พลังเราสองคน บอสเวลนี้ยังไงก็ผ่าน Taro: ครับ Silver Wolf: ไว้เจอกันใหม่ Taro: ครับ ผมปิดปากหาวหวอด วันนี้เป็นอีกวันดีๆ ที่ทำผมอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก ร่างผอมกระหร่องลุกเดินไปอาบน้ำจากนั้นจึงสวมชุดนอนลายตาราง แต่ก่อนเอนกายลงบนเตียงเขาได้เข้าเกมเพื่อบอกใครบางคนให้ฝันดี Taro: ฝันดีครับหัวหน้า Silver Wolf: นอนเร็ว Taro: เที่ยงคืนแล้วครับ Silver Wolf: นั่นสิ งั้นก็ฝันดีครับ Taro: เจอกันพรุ่งนี้นะครับ Silver Wolf: OK ทักษกรอมยิ้มเมื่ออ่านข้อความสุดท้ายของยูสเซอร์ Taro นี่เขาเจอเด็กประถมแอบแม่เล่นเกมรึเปล่า ตอนนี้เขากลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กใช่หรือไม่ “อยู่ ป.ไหนวะ” หัวเราะพร้อมกับส่ายหน้าหลุนๆ เซม...Call “ทักษ์อ่านหนังสือจบกี่เล่มแล้ว บอกได้ไหมว่านายอ่านเล่มไหนบ้าง” จากนั้นก็มีหน้าเพื่อนคนอื่นๆ ชะเง้อเข้ามาร่วมเฟรมด้วย “อยู่หลายคนเหรอ ใครบ้าง จะได้บอกครั้งเดียว” “มีจอย ดาต้า แป้ง ผักบุ้ง เรา แล้วก็วิทย์” “ตอบตามตรงว่าไม่ได้อ่าน พึ่งเล่นเกมเสร็จ” น้ำหน้าอย่างทักษ์น่ะหรือจะอ่านหนังสือ อย่าฝันไปเลย “ไม่ได้อ่านจริงเหรอ” จอยแย้งขึ้นเมื่อเห็นว่าเกรดเฉลี่ยของทักษ์นั้นคือ 4.00 เขาคือเบอร์หนึ่งของชั้นปี “แล้วถ้าไม่อ่านก่อน ทักษ์ทำยังไงอ่ะ เทอมที่แล้วถึงเก็บได้ทุกเม็ด” “ก็เรียนในห้อง เท่านั้นมั๊ง” ไม่รู้จะคาดคั้นทำไม ก็เล่นเกมมาจริงๆ “พวกแกก็ต้องเข้าใจ พ่อทักษ์เป็นถึง ผอ.โรงพยาบาล ความเก่งคงถ่ายทอดทางพันธุกรรมแหละ” ดาต้าเอ่ย “นั่นสิ/นั่นสิ/อือ/ใช่ๆ /อือ” “อยากเก่งแบบไม่ต้องพยายามเหมือนทักษ์บ้างจัง” ผักบุ้งเม้มปาก เธอเป็นคนเดียวรึเปล่าที่อ่านหนังสือมากกว่าห้ารอบ “ถ้ามีเคล็ดลับอะไรก็บอกเราบ้างนะ” “ไว้อ่านแล้วจะบอก แต่วันนี้เล่นเกม” น้ำเสียงห้วน “แค่นี้ก่อนอยากอาบน้ำ” “โอเค! ไว้เจอกันที่มหาลัย” เซมโบกมือ ส่วนทักษ์ทำเพียงพยักหน้ารับแล้วตัดสายก่อนที่คนโทรมาจะกดตัดเสียอีก ทักษ์โยนโทรศัพท์ไว้บนโซฟา จากนั้นจึงเข้าห้องน้ำชำระร่างกายตามปกติ เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองอยากเรียนหมอ ตั้งแต่เด็กจนโตไม่มีคำว่าหมออยู่ในสมองเลยสักนิด ไม่ชอบและไม่ได้เกลียด รู้ตัวอีกทีก็ขึ้นปีสามงงๆ ความทรงจำสุดท้ายเกี่ยวกับอาชีพหมอก็คงเป็นตอนที่นั่งทานข้าวคนเดียวเพราะพ่อกับแม่มีเคสผ่าตัดบ่อย เรื่องผิดนัดก็เจอบ่อย เขาถูกปล่อยให้อยู่บ้านกับพี่ชายและน้องชาย ซึ่งแต่ละคนก็มักอยู่ในห้องของตัวเอง การชดเชยของท่านทั้งสองก็มักจะมาพร้อมกับการสปอยด์อันไร้ขีดจำกัดเสมอ ดูเหมือนพรสวรรค์มันอาจจะสืบจากสายเลือดอย่างที่ใครเขาว่า ทักษกรไม่ต้องพยายามากก็สามารถสอบผ่านมันไปได้ง่ายดาย ไม่ใช่ว่าการสบไม่เข้มข้นแต่เพราะเขาอ่านตำราแพทย์ตั้งแต่เด็ก การเดินทางมาจนถึงปี 3 นี้จึงไม่ใช่เรื่องฝืนแต่แค่ไร้แพชชัน หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป วันเปิดภาคเรียนวนเวียนกลับมาอีกครั้งนักศึกษาชั้นปีที่สามเดินเข้าเซคด้วยท่าทีสดชื่น วันแรกคือการปลดปล่อยความคิดถึงเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ไปทั่วห้องจนกระทั่งอาจารย์ประจำวิชาเดินเข้ามายังหน้ากระดาน ปัง ปัง ปัง สันเท็กซ์บุ๊คเรียกความสนใจของว่าที่คุณหมอทุกท่านให้หันกลับมาสนใจหน้ากระดานอีกครั้ง “นักศึกษาทำความเคารพ” เซมทำหน้าที่หัวหน้าห้องเหมือนทุกครั้ง “สวัสดีค่ะ/สวัสดีครับ” “วันนี้ไม่มีเรียน ห้องนี้มาครบทั้ง...เอ่อ...” ไล่สายตามองรายชื่อในมือ “32 คน ตอนรับมาน่าจะเยอะกว่านี้นี่” มีเสียงฮือฮาดังไปทั่วห้องอาจารย์สาวจึงพูดต่อ “ชื่ออาจารย์อยู่หน้ากระดาน ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังก็อยู่หน้ากระดาน ได้ยินว่าตารางชีวิตพวกเราแน่น ตารางชีวิตอาจารย์โคตรแน่น ดังนั้นเรามาบาลานซ์ด้วยการเลิกคลาสกันวันนี้ แล้วอาทิตย์หน้าเจอกัน” “อ๋อ! ไม่ต้องห่วงว่าจะเรียนไม่ทันเพราะครึ่งแรกคือเนื้อหาเลคเชอร์ส่วนครึ่งหลังลงแล็ป อาจารย์ชื่อเจ้านาง ส่วนนักศึกษายังไม่ต้องแนะนำชื่อก็ได้ เพราะตอนติด I เราคงต้องเจอกันอีกรอบ มีข้อสงสัยอะไรไหมคะ” อาจารย์สาววัยยี่สิบหกเอ่ยออกมาชัดถ้อยชัดคำ “อาจารย์ครับช็อตฟิลล์มาก” เซมเอ่ย “อาจารย์ใจดีกับพวกผมหน่อยไม่ได้เหรอครับ” “แย่จังที่ต้องบอกว่าไม่ได้” แสร้งทำหน้าเศร้าใจ “เพราะการเรียนการสอนของหมอนั้นเรียนเพื่อรักษาคนไข้ สถานการณ์จริงที่เราต้องพบเจอในโรงพยาบาลไม่เคยปราณีหรือใจดีกับคุณหมอเท่าไหร่ฉะนั้นทุกคนต้องสู้ๆ” ยกสองนิ้วขึ้นมากระตุกหงึกๆ “ยิ่งเรียนยากความแม่นยำก็มากตามไปด้วย เข้าใจตรงกันนะ เจอกันชั่วโมงหน้า อ่านหนังสือมาก่อนจะดีมากหรือถ้าความจำดีอยู่แล้วก็ไม่มีปัญหา แยกย้ายๆ ส่วนไฟล์อื่นอาจารย์จะส่งให้หัวหน้าห้อง” อาจารย์หมอเจ้านางมาถึงก็ร่ายยาวจนเหล่าว่าที่คุณหมอต่างอึ้งกิมกี่ “มีใครมีคำถามไหมคะ” ทั้งห้องเงียบกริบ “ถ้าไม่มี แยกย้ายได้” ว่าแล้วเจ้านางก็เดินออกจากห้องทันที “เลิกคราส เจอกันอาทิตย์หน้า” “นักศึกษาทำความเคารพ” “ขอบคุณค่ะ/ขอบคุณครับ” ทักษกรมองตามแผ่นหลังอาจารย์สาวด้วยสายตาประหลาดใจปนทึ่งอาจารย์หมอคนนี้น่าสนใจไม่น้อย ว่าแล้วทักษกรก็รับเอกสารบางอย่างที่เซมแจกให้ “ทักษ์ว่างไหม” แอนนี่สาวฮอตประจำห้องเอ่ยกล้าๆ กลัวๆ “คือเราอยากให้ช่วยหน่อย แบบว่า...” พวกเธอมีวิชาที่ไม่ถนัด ซึ่งเขาเป็นคนเดียวในห้องที่ถนัดแทบทุกวิชา “ทักษ์ช่วยแนะนำหนังสือที่อ่าน หรือไม่ก็ช่วยติวให้ได้ไหม” “อือ ได้สิ” พูดไปงั้น...คนเล่นเกมตั้งแต่เช้ายันดึกอย่างเขา จะแนะนำอะไรใครได้วะเนี้ย! “งั้นเจอกันที่หอสมุดนะ ขอบคุณมาก” เมื่อเห็นว่าทักษกรพยักหน้ารับเธอจึงรีบขอบคุณ เขาเก่งก็จริงแต่ดีลด้วยยาก แน่ล่ะก็ทักษ์เป็นคนค่อนข้างเงียบขรึม โลกส่วนตัวสูง ที่สำคัญทักษ์จะพูดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ทักษกรมองไปรอบๆ เขามานั่งอยู่ท่ามกลางคนขยันอ่านขยันคิดขนาดนี้ได้ยังไง นี่อาจจะเป็นสิ่งผิดพลาดที่สุดในการใช้ชีวิตในรั้วมหาลัยของเขาก็เป็นได้ ร่างสูงในชุดนักศึกษาผูกเนคไทของมหาวิทยาลัย เดินเข้ามาเลือกหนังสือตามที่รับปากเพื่อนเอาไว้ เขาดึงหนังสือออกจากชั้นมาเป็นสิบ ‘ถ้าอ่านขนาดนี้ สอบไม่ได้มาเตะปากคนแนะนำ’ แอนนี่และกลุ่มเพื่อนของเธอเดินเข้ามาในหอสมุด เมื่อมาถึงจุดนัดพบทุกคนได้นั่งล้อมรอบหนุ่มร่างสูงเพียงหนึ่งเดียว โดยมีความหวังว่าจะได้สูตรเด็ดเคล็ดลับการเรียนเก่งจากหัวกะทิผู้หล่อเหลา “คือ...” มีอาการช็อกเบาๆ เมื่อเห็นหนังสือวางเป็นตั้ง “ทักษ์อ่านหมดนี่เลยเหรอ” “ไม่รู้สิ แต่ถ้าอ่านหมดนี่แล้ว ทุกคนต้องสอบได้แน่ๆ” “ไม่ได้แกล้งใช่ไหม” แอนนี่เริ่มลังเล “ทำไมเราต้องแกล้ง อุตส่าห์หาหนังสือตั้งนาน” ตอบตาใส เขาทำในสิ่งที่ทุกคนต้องการแล้ว อยากรับก็รับไม่รับก็แล้วแต่ “ไม่ใช่อย่างนั้น” น้ำใสหนึ่งในเพื่อนร่วมแกงค์เอ่ยขึ้น “ขอบคุณมากนะทักษ์” ทำท่าเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาเพราะหนังสือแต่ละเล่ม ทั้งหนาและยากตามบริบท ต้าเดินเข้าห้องหอสมุดมากับกลุ่มเพื่อนใหม่ นักศึกษาปีหนึ่งที่สวมเสื้อขาวจั๊ว รองเท้าขัดมันวาววับ พวกเขาประเดิมบัตรนักศึกษาใหม่โดยการเดินผ่านเครื่องสแกนด์ ซึ่งทุกอย่างเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเสมอสำหรับพวกเขา พอขึ้นมาชั้นสามต้ารีบหลบหลังเพื่อน เขาเห็นรุ่นพี่ปีสามคนนั้นรายล้อมไปด้วยเพื่อนผู้หญิงเต็มไปหมด บ้างยิ้มให้ บ้างโบกมือลา ว่าไปแล้วก็ไม่แปลก ถ้าให้วิเคราะห์ดูพี่เขาค่อนข้างสมบูรณ์แบบเลย ใครจะไม่ชอบขนาดเขาเองยังชอบเลย โครม!!! “โอ๊ย!!” คิดเพลินไปไม่ทันระวัง เป้าชนโต๊ะเสียงดังสนั่น เรียกสายตาทุกคู่ให้มองมาไม่เว้นแม้แต่พี่คนนั้น ต้าหน้าเขียวหน้าเหลืองเซถลาหาที่ยึด ยังดีที่เอิร์ทช้อนแขนเขาไว้ได้ทัน “เป็นไงบ้างต้า” เอิร์ทจับไหล่ นิ่วหน้าตามเพื่อน “เดินยังไงให้ชนถูกที่! ขนาดนี้” “พา-ไปนั่ง-ที” ขายหน้าจนอยากแทรกแผ่นดินหนี “...” เอิร์ทกลั้นขำ เขาไม่อยากซ้ำเติมเพื่อนสักนิด ท้ายที่สุดก็ได้ระเบิดขำออกมาจนตัวสั่น “ไม่ได้อยากขำแต่อดไม่ได้” “อูย...” ฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม่กล้าสบตาใครทั้งนั้น ไอ้ลูกรักข้างในคงร้องไห้ไม่ต่างจากเขาตอนนี้ “เป็นอะไรไหม” เอิร์ทวางมือบนไหล่เพื่อเช็คอาการ “กระทบ seminiferous tubule ไหม” กึ่งเป็นห่วงกึ่งอยากรู้ “โดนทั้งพวง กระทบตั้งแต่ Penis ไปจนถึง Testis” ฝืนตอบจนได้ “งั้นนายพักก่อนนะ เราไปดูหนังสือรอ” น้องใหม่ไฟแรงชวนกันเข้าห้องสมุดตั้งแต่วันแรก ทุกอย่างล้วนทำให้เด็กพึ่งสัมผัสรั้วมหาวิทยาลัยตื่นเต้น ในขณะเดียวกันความโหดหินของคณะที่เลือกยังส่งผลให้เกิดความกังวลมากมาย หลายคนเล่าลือมาว่าเขี้ยวจัด! เรียนโคตรยาก และหลายต่อหลายปีต้องมีคนเรียนไม่ไหวแล้วซิว ทักษ์เห็นเด็กหน้าอ่อนตั้งแต่ก้าวขึ้นมาชั้นสาม พอสบตาปุ๊บถึงกับสะดุดปั๊บ ‘น้องมันเป็นอะไรมากไหมวะนั่น’ ร่างสูงกอดอกพิงเก้าอี้คอยดูความเคลื่อนไหวอยู่ห่างๆ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจคือทำไมเด็กนั่นถึงต้องใกล้ชิดเพื่อนขนาดนั้น ร่างสูงเบือนหน้าหนีไม่อยากมองเวลาทั้งคู่ปลอบโยนกันและกัน ‘เซ่อซ่าไม่มีใครเกิน’ “ทักษ์” มาวินยกมือทักทาย “มุมเดิมเลยนะ” นั่งลงตรงกันข้าม มาวินสนิทกับทักษ์ตั้งแต่ประถม ที่สนิทกันเพราะมีความสนใจคล้ายๆ กัน ช่วงมัธยมปลายทั้งคู่ยังเรียนห้องเดียวกันจนกระทั่งมหาวิทยาลัยจึงแยกเรียนตามความสนใจ มาวินเลือกเรียนนิติศาสตร์ แม้ว่าเรียนคนละคณะแต่ทั้งคู่ยังมีเกมเป็นตัวเชื่อม “เออ ว่าไง” “เปิดเทอมแล้วน่าเบื่อฉิบหายเลย” “อันนี้เห็นด้วย” ใช่ยิ่งเห็นไอ้เด็กนั้นยิ้ม หัวเราะกับคนอื่นยิ่งทำให้ทุกอย่างน่าเบื่อเป็นทวีคูณ ‘ยิ้มอะไรนักหนา’ “ว่าแต่คุณหมอครับผมปวดหัว ช่วยผมด้วย” มาวินกุมขมับล้อเล่น “มีเบอร์คุณหมอสาวๆ สวยๆ ให้ผมได้คุยคลายเครียดไหมครับ” “ไม่รู้สิ” ที่ไม่รู้เพราะไม่ค่อยได้สนใจใคร “ว่าแต่วันนี้ไปมีนัดสังเวียนใต้ดินนะไอ้น้อง” มาวินเอ่ย “เออกูเข้าไปเล่นเกมอูโน่มา สนุกนะมึง ไม่กดคำว่าอูโน่เพิ่มการ์ดให้กูเฉย” ล่าสุดเล่นแพ้เด็กสิบสองขวบ “เกมใหม่มากกูไม่รู้ห่าอะไร เล่นไปๆ แพ้” “ยอมรับมาซะ มึงอะกาก” “เค้าเรียกว่ากำลังเรียนรู้ อย่าบั่นทอนจิตใจเพื่อนนะหมอนะ” “ไอ้กาก” “ย้ำจริ๊ง! ว่าแต่กูไปเล่นเกมคอนโดมึงได้ปะไอ้หมอ” “แล้วแต่มึง ถ้าว่างก็มาสิ หาของกินมาด้วยนะ” “ได้ๆ” “กู...โสดอีกแล้วว่ะ” หัวเราะแห้งๆ พึ่งถูกบอกเลิกมาเมื่อวานนี้เอง ด้วยข้อหาติดเกมเกินไป “หรือกูไม่เหมาะกับการคบใครเลย” ทำท่านึกคิด“เออ กูต้องเข้าคณะแล้ว” ดูนาฬิกาข้อมือ “ไปนะไว้เจอกัน” “เออ” มองการแต่งกายของอนาคตทนายไฟแรง “แต่งตัวอะไรของมึง” เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เป็นระเบียบ ทรงผมไม่เข้าที่ “มึงอาบน้ำรึยัง ไอ้สกปรก” “อาบแล้ว แต่ตอนเดินมามันร้อน” “ไม่รีบเหรอ” “รีบ” ว่าแล้วก็สับตีนอย่างไว ทักษ์พักสายตาครู่หนึ่งแต่ด้วยอุณหภูมิแอร์ในหอสมุดเย็นฉ่ำเกินต้าน ทำให้การพักสายตากลายมาเป็นหลับไหล ต้ามองไปยังรุ่นพี่อย่างพิศวง สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชม ขนาดท่านอนยังรู้สึกได้ถึงออร่าความเท่ที่พวยพุ่งออกมารอบกาย มันแปลกมากที่เขารู้สึกคุ้นเคยและเป็นมิตรกับคนคนนี้ทั้งที่พึ่งเคยรู้จักกัน อยากเดินเข้าไปหาแต่สายตาโหดๆ ของรุ่นพี่ทำให้เด็กปีหนึ่งต้องเจียมตัวเอาไว้ “รู้จักเหรอ” เอิร์ทมองตาม “พึ่งรู้จัก เป็นรุ่นพี่เราอยู่ปีสาม” “เข้าไปทักทายดีไหม” “ไม่ดีว่า พี่เค้าคงอ่านหนังสือหนัก ฟุบไปแล้วด้วย” “ขึ้นชื่ออยู่แล้ว” ใครๆก็บอกว่าเรียนหมอโคตะระยากแค่ไหน “ถ้าเราขึ้นปีสามอาจจะมีสภาพเหมือนพี่เขาหรือไม่ก็แย่กว่าพี่เค้าก็ได้” “นั่นสิ” ต่อให้เตรียมใจมาแล้วแต่ก็หวาดหวั่นอยู่ดี จะรอดไม่รอดต้องวัดกันสักตั้ง ขณะนั้นไลน์กลุ่มนักศึกษาปีหนึ่งได้เด้งขึ้นมารัวๆ สองหนุ่มได้เปิดดูพร้อมกัน พอไล่อ่านตั้งแต่ต้นพบว่าพี่ปีสองได้นัดพบพวกเขาตอนสี่โมงเย็น “พี่นัดตอนสี่โมงเย็น” ต้าทำเพียงพยักหน้ารับ แล้วไม่เข้าใจว่าทำไมความสนใจทุกอย่างของเขา ถึงถูกดึงกลับไปที่กลุ่มผมดกดำอีกฟาก ‘เหนื่อยมากเลยเหรอ’ ‘เป็นห่วงพี่เขา?’ ‘คนพึ่งรู้จักกันเป็นห่วงกันได้ด้วย?’ ถามเองตอบเองในใจ ‘ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องเสือกมั๊ง’ “ต้า” เอิร์ทยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ต้า!!!” เรียกเสียงดังกว่าเดิม “อะ อะไร นี่มันห้องสมุดนะ เสียงดังไม่ได้” หันมาเอ็ดเพื่อนคิ้วขมวด “พูดเบาๆ ก็ได้” “เรียกตั้งนานแล้ว เหม่ออะไร ไม่หิวเหรอ” ลดเสียงให้เหลือเพียงกระซิบ แต่เป็นกระซิบที่คล้ายกับประชด “หิวแล้ว ออกไปกันเถอะ” ถ้าจะใช้พลังในการกวนตีนขนาดนี้ก็เหมาะที่จะหิวอยู่หรอก “ลุกดิ๊” ลืมว่าอยากได้หนังสืออะไรไปเลย มัวแต่ซุ่มซ่ามอยู่ได้ ก่อนเดินอกจากพื้นที่ไม่วายมองไปยังก้อนขนดำที่ยังอยู่ท่าเดิม
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD