ในขณะที่รถม้าแล่นตามถนน จู่ๆ บนแก้มของหลัวเหมยก็เปียกชื้น นางยกมือขึ้นแตะแก้มอย่างไม่เข้าใจนัก เห็นว่าเป็นน้ำตาก็ให้รู้สึกตกใจนิดหน่อย
ปกติแล้ว ต่อให้ถูกคนสกุลหลัวรังแกอย่างหนัก หลัวเหมยก็ไม่เคยร้องไห้ออกมา ทว่าครั้งนี้ เหตุใดถึงมีน้ำตาเล่า
“เจ้าเสียใจหรือ” สีเทียนหยางถามด้วยความรู้สึกปวดร้าว และกล่าวโทษตัวเองในใจ เขาทำเกินไปหน่อยหรือเปล่านะ
หญิงสาวก้มหน้า ก่อนขยับศีรษะขึ้นลง เป็นการยอมรับอย่างไม่อ้อมค้อม
“พ่อของเจ้าเป็นคนแบบนี้ รู้ช้ารู้เร็วมันก็ไม่ต่างกันนักหรอก อย่างไรแล้ว เขาก็ไม่เห็นเจ้าเป็นลูกอยู่ดี เจ้าเสียใจไปก็เท่านั้น”
สีเทียนหยางอยากปลอบหลัวเหมยอย่างอ่อนโยน แต่เขาเอ่ยคำหวานไม่เป็น ทั้งด้วยอายุอานามของเขาและนางห่างกันมากนัก คำที่เอ่ยออกมานั้นจึงกลายเป็นคำสั่งสอนเสียมากกว่า
นางปาดน้ำตาทิ้งอีกรอบ ก่อนพูดเสียงเบาปนเสียงสะอื้น
“หลังจากท่านแม่ของข้าเสีย ข้าคิดว่าข้าจะอยู่ในบ้านสกุลหลัวไม่ได้อีกแล้ว ฮูหยินใหญ่กับพี่ใหญ่ไม่ชอบข้า แต่เพราะมีท่านพ่อคอยพูดให้ พวกนางจึงไม่ได้ลงไม้ลงมือกับข้ามากเท่าไร ท่านพ่อบางครั้งก็ใจดี บางครั้งก็ดุร้าย แต่ข้าก็เลือกคิดถึงแต่ด้านดีๆ ท่านคิดว่าข้าโง่หรือเปล่า”
สีเทียนหยางเลิกคิ้วถาม “หลัวเหิงใจดีต่อเจ้าหรือ ข้ากลับมองว่า การที่เขาใจดีกับเจ้า ก็เพื่อทำให้เจ้าตายใจ แล้ววหวังกอบโกยผลประโยชน์มากกว่า”
ได้ยินคำพูดดูแคลน นางหันไปขึงตามองเขาอย่างลืมตัว ซ้ำยังโต้เถียงอย่างซื่อๆ
“พอโรงผลิตเครื่องเคลือบ มีสีใหม่เข้ามา ท่านพ่อจะให้ข้าทดลองใช้สีเป็นคนแรก ท่านพ่อรู้ว่าข้าชอบวาดภาพมาก จึงนำลวดลายที่ข้าวาดเล่นๆ ให้กับอาจารย์หานที่โรงเผา วาดเป็นลวดลายวาดบนเครื่องเคลือบ และนำออกไปขาย ข้าสร้างผลงานให้สกุลสี ก็เท่ากับว่าพวกเขายอมรับข้า”
ที่แท้ กลิ่นหมึกและกลิ่นหอมจากตัวหลัวเหมย เป็นกลิ่นสีเคลือบและน้ำหมึกที่นางใช้วาดบ่อยๆ นี่เอง แต่ทำไมคำพูดของนางถึงฟังทะแม่งๆ กันล่ะ
ไม่ต้องคิดอะไรมากอีกแล้ว หลัวเหมยเป็นคนมองโลกในแง่ดีเกินไป หลัวเหิงรู้ถึงข้อนี้จึงหลอกใช้นาง ด้วยการอ้างว่านางสร้างผลงานให้กับสกุลหลัว ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง
สีเทียนหยางเคยได้ยินมาว่า โรงผลิตเครื่องเคลือบนอกเมืองเฉาหลัวเดิมเป็นพื้นที่โล่งๆ ของบ้านสกุลหวง แต่เพิ่งเปลี่ยนมาเป็นโรงผลิตเครื่องเคลือบเมื่อไม่กี่ปีก่อน อาจเป็นไปได้ว่ามารดาของหลัวเหมยเดิมมาจากสกุลหวง และพื้นที่ทำมาหากินนั้น ก็เป็นสินเดิมของมารดานาง
ไม่คิดเลยว่า ภายในสกุลหลัวจะซับซ้อนเพียงนี้
“แม่เจ้าแซ่อะไรหรือ”
ในขณะรถม้าแล่นไปบนถนนใหญ่ สีเทียนหยางเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย
“แซ่หวงเจ้าค่ะ” นางตอบสั้นๆ
คิดแล้วเชียว...
“หลังจากแม่เจ้าเสีย ทำไมเจ้าไม่กลับไปอยู่กับท่านตาท่านยายของเจ้า ในเมื่อทางนี้ข่มเหงรังแกเจ้าอย่างหนัก”
“ท่านแม่เคยเล่าให้ข้าฟังว่า ผู้หญิงที่แต่งงานเข้าบ้านสามีก็ถือเป็นคนสกุลนั้น อีกอย่าง ท่านแม่แต่งเข้าบ้านสกุลหลัวในฐานะอนุ เรื่องนี้ทำให้ท่านตาท่านยายโมโหมาก หลังแบ่งทรัพย์สมบัติให้ท่านแม่อย่างชัดเจนแล้ว นางก็ไม่กล้ากลับบ้านสกุลหวงอีก”
สีเทียนหยางถอนหายใจด้วยความเห็นใจ ความหมายของหลัวเหมยก็คือสกุลหวงไม่นับแม่ของนางเป็นคนในตระกูลแล้ว ส่วนนางซึ่งเป็นหลานแท้ๆ พวกเขาก็ตัดญาติขาดมิตร แต่... นางคิดง่ายเกินไปหน่อยหรือไม่ ของแบบนี้ คิดจะตัดก็ตัดได้หรือ
“เจ้าเคยกลับไปเยี่ยมท่านตาท่านยายของเจ้าหรือไม่”
นางส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ในเมื่อเจ้าไม่เคยกลับไปเยี่ยมพวกเขา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าทางนั้นไม่อยากต้อนรับเจ้า”
อย่างไรก็สายเลือดเดียวกัน สีเทียนหยางไม่เชื่อหรอกว่าจะตัดขาดกันได้ง่ายๆ
“ข้า... ข้าเองก็ไม่รู้เจ้าค่ะ ท่านพ่อบอกเช่นนั้น ไหนจะคำพูดของท่านแม่อีก” นางตอบไม่เต็มเสียง
สีเทียนหยางถอนหายใจเบาๆ
ว่าแล้วเชียว เรื่องนี้ต้องมีอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่าที่รู้
“มีโอกาสข้าจะพาเจ้าไปพบพวกท่านก็แล้วกัน”
นางมองเขาอย่างร้อนรน คล้ายกลัวว่าไปที่นั่นแล้วหากท่านตาท่านยายไม่ต้อนรับ นั่นจะทำให้นางเศร้าเสียใจเหมือนอย่างที่รู้บิดาต้องการขับไล่นาง หากแต่นางก็พูดออกมาไม่ได้ เพราะนางรู้ดีว่าสิ่งที่สีเทียนหยางทำล้วนหวังดีกับนางทั้งสิ้น แม้วิธีการจะทำให้นางเจ็บปวด
เห็นขอบตาของนางแดงก่ำ เขาเองก็นึกสงสาร จึงเปลี่ยนเรื่องพูด
“หากเจ้าชอบวาดภาพ ข้าจะเตรียมของไว้ให้ และถ้าชอบสีเคลือบ ข้าก็จะส่งคนไปซื้อมาให้เช่นกัน แน่นอน ต้องเป็นของดีกว่าที่บ้านสกุลหลัวใช้”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ” นางรีบปฏิเสธ แต่พอคิดว่าอยู่ที่จวนสกุลสีแล้วยามว่างจะไม่มีอะไรทำ เพื่อฆ่าเวลานางจึงเปลี่ยนใจร้องขอ “หากใต้เท้าเมตตา ข้าขอแค่เครื่องเขียนเล็กน้อยก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
สีเทียนหยางยกมือขึ้นลูบแก้มนวลของหลัวเหมยอย่างอดใจไม่ได้
หญิงสาวหวาดผวา หดศีรษะหนีทันที
ก่อนนั้นนางเศร้าเสียใจจึงไม่ทันคิดว่าเมื่อติดตามสีเทียนหยางออกมาจากบ้านสกุลหลัวแล้ว ความสัมพันธ์ของนางกับเขาจะเป็นไปในทิศทางไหน
แต่งงานกับเขาหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร!
สีเทียนหยางหาได้ถือสาท่าทางของนาง เพราะคิดว่าอีกหน่อยนางก็จะคุ้นชินกับเขาไปเอง
“เหมยเอ๋อร์ ข้าแน่นอนว่าต้องเมตตาเจ้าอยู่แล้ว ต่อไปเจ้าเป็นฮูหยินของข้า ต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร เจ้ามีสิทธิ์บอกกล่าวทุกอย่าง แค่เพียงเจ้าเอ่ยปาก เข้าใจหรือไม่”
“ใต้เท้า?” นางพูดอะไรไม่ออก เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่เขาพูดกับท่านพ่อของนางเป็นเรื่องจริงหรือ เขาต้องการแต่งงานกับนางจริงๆ หรือ เหนืออื่นใด คำพูดมากมายที่พวกเขากำลังใช้โต้ตอบกันอยู่นี้ เหมือนว่าเขากำลังเอาใจนาง
“ทำไมยังเรียกข้าว่าใต้เท้าอยู่อีก เรียกข้าว่า ‘ท่านพี่’ ได้แล้วนะ” สีเทียนหยางยิ้มบอก
นางเม้มปากแน่น หลุบตาครุ่นคิด แต่เพียงชั่วครู่ นางค่อยช้อนตามองเขาพลางเอ่ยถาม
“ทำไมใต้เท้าถึงเลือกข้าเจ้าคะ ทำไมไม่เป็นพี่ใหญ่ ข้าเป็นเพียงบุตรของอนุ ข้าไม่ได้งดงาม ไม่ได้มีสิ่งใดเพียบพร้อมเหมาะสมกับท่าน”
“เจ้าพูดคำว่า ‘ไม่เหมาะสม’ สำหรับข้าแล้ว กลับคิดว่า หรือข้าแก่เกินไปสำหรับเจ้ากันนะ” เขาแกล้งเฉไฉไปเรื่องอื่น
นางรีบส่ายหน้า “ข้า... ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น เป็นข้าต่างหากไม่เหมาะสมกับใต้เท้า”
หลัวเหมยคิดว่าตนพูดชัดเจนแล้วนะ หรือว่าเขาแกล้งโง่
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าอย่าพูดว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอีกเลย อ้อ บางคำที่ข้าพูดกับหลัวเหิง เจ้าไม่ต้องถือสามากนักก็ได้ ข้าก็แค่พูดส่งๆ เท่านั้นเอง”
สีเทียนหยางพูดจบก็ไม่พูดอะไรอีก คล้ายว่าขืนพูดเรื่องนี้ต่อไปจะทำให้เขาอารมณ์เสียเปล่าๆ
พอเห็นสีเทียนหยางกอดอกเงียบ หลัวเหมยก็เงียบตาม ในรถม้าจึงมีเพียงความเงียบปกคลุมลงมา
หลัวเหมยสับสนหนัก คำพูดของสีเทียนหยางสรุปแล้วหมายความว่าอย่างไรกันแน่ ก่อนนั้น เขาบอกบิดาของนางว่านางไม่มีอำนาจใด ห้ามนางก้าวก่ายเรื่องงานของเขา แต่เมื่อครู่ เขากลับบอกว่านางมีสิทธิ์ทุกอย่าง ต้องการหรือไม่ต้องการอะไรล้วนเลือกได้เสมอ
หญิงสาวเหลือบตามองใบหน้าของชายหนุ่มพลางคิดว่า สรุปแล้วนางควรเชื่อคำพูดของเขาดีหรือไม่