รุ่งเช้าวันถัดมา หลัวเหมยแต่งตัวด้วยชุดเดิมของนาง หลังจากล้างหน้าและมาที่เรือนของสีเทียนหยาง ไม่เพียงเขาไม่เอ่ยถามถึงเรื่องเมื่อคืน แต่กลับมองสำรวจชุดบนตัวนางเงียบๆ ก่อนออกคำสั่งให้นางเดินทางไปกับเขาด้วย
“ใต้เท้าจะไปที่ไหนหรือเจ้าคะ”
“บ้านสกุลกลัว” สีเทียนหยางตอบสั้นๆ พลางมองออกนอกหน้าต่างผ่านม่านรถม้าที่เผยอเปิดพะเยิบพะยาบ
หลัวเหมยยิ้มอย่างดีใจ ด้วยคิดว่าเขาจะไปส่งนาง
“ขอบคุณใต้เท้าที่ส่งข้ากลับบ้าน แต่ความจริงแล้ว ท่านไม่ต้องลำบากเดินทางมาด้วยก็ได้ ข้าเดินเท้ากลับเองได้เจ้าค่ะ”
“ไปถึงที่นั่นเจ้าค่อยดีใจก็ยังไม่สาย” เขาตอบด้วยใบหน้าสุขุม น้ำเสียงนุ่มนวล “ถึงที่นั่นแล้ว เจ้าคอยเดินตามหลังข้าไว้แล้วกัน”
แม้ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีคำสั่งเช่นนั้น แต่นางก็ตอบไปว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้น ก็นั่งยิ้มเล็กยิ้มน้อยไปตลอดทาง
บางที การที่สีเทียนหยางให้หลัวเหมยคอยติดตามอยู่ด้านหลัง อาจเพื่ออธิบายถึงความสัมพันธ์ว่าเมื่อคืนพวกเขาไม่มีอะไรเกินเลย นางคิดอย่างโง่เขลาและมองโลกในแง่ดี
เมื่อรถม้าจอดหน้าประตูบ้านสกุลหลัว บ่าวที่ทำความสะอาดอยู่บริเวณนั้นรีบเข้ามาดูว่าใครที่มาเยือน พอเห็นว่าเป็นใต้เท้าผู้ตรวจการกับคุณหนูหลัวเหมย ฝ่ายนั้นก็รีบวางไม้กวาดแล้ววิ่งเข้าไปรายงานเจ้าบ้าน ไม่นาน หลัวเหิงเดินยิ้มหน้าบานออกมาต้อนรับ
“ใต้เท้า เชิญเข้ามาก่อนขอรับ เอ่อ ข้าน้อยไม่ทราบว่าใต้เท้าจะมาเยือนจึงไม่ได้เตรียมอาหารและสุราชั้นเลิศไว้คอยท่า”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้ามาแค่ครู่เดียวเท่านั้น” สีเทียนหยางตอบ จากนั้นเดินตามหลัวเหิงเข้าไปในเรือนรับรอง
ตลอดเวลาหลัวเหิงมองสีเทียนสลับกับมองหลัวเหมยที่เดินตามหลังใต้เท้าตลอด เห็นใต้เท้าสีแสดงสีหน้าราบเรียบ เขาก็ตีความหมายว่าใต้เท้าต้องไม่พอใจหลัวเหมยแน่ๆ ถึงได้พานางมาส่งคืน พอก้นแตะเก้าอี้ได้เขาก็รีบอ้อนวอนทันที
“ใต้เท้า ลูกสาวคนรองของข้าทำให้ใต้เท้าไม่พอใจหรือขอรับ ใต้เท้าขอ... เอ่อ ขอข้าน้อยสั่งสอนบุตรสาวก่อน แล้วท่านอยากพานางกลับไปก็ไม่มีปัญหา”
ได้ยินดังนั้น หลัวเหมสะท้านเยือกในใจ ความหมายของบิดาเหมือนว่าต้องการขายนางให้กับสีเทียนหยางอย่างนั้นแหละ กลายเป้นแบบนี้ได้อย่างไร
ความจริงสีเทียนหยางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก อีกฝ่ายก็ร้อนตัวอยากส่งบุตรสาวให้เขาดูแลเสียแล้ว ข้อเท็จจริงแม้ทำให้หลัวเหมยเสียใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ทำให้นางตาสว่าง
สีเทียนหยางเลิกคิ้วบอก “ข้าบอกหรือว่าไม่พอใจนาง หลัวเหมยเป็นเด็กดีมาก ไม่มีเหตุผลที่ข้าไม่พอใจสักนิด”
หลัวเหิงไม่ค่อยเข้าใจความหมายของใต้เท้าสักเท่าไร เวลานี้ภรรยาและลูกสาวคนโตของเขาก็ไม่รู้ไปอยู่เสียที่ไหน เขาจึงไม่อาจทำความเข้าใจได้ แต่ฟังคร่าวๆ ดูเหมือนสีเทียนหยางจะเอ่ยชมมากกว่า เช่นนั้นก็ถือว่าดี
“แต่ใต้เท้าพานางกลับมา สรุปแล้ว ใต้เท้าไม่ชอบใจหรือชอบใจกันแน่ขอรับ” หลัวเหิงถามอย่างไม่อ้อมค้อม
สีเทียนหยางยิ้มนุ่มนวลอย่างเป็นเอกลักษณ์ ซ้ำยังแกล้งถามเนิบๆ
“ถ้าข้าบอกไม่พอใจ ท่านหลัวจะไปรับนางกลับไปหรือไม่เล่า”
หลัวเหิงละล้าละลัง ถ้าสีเทียนหยางส่งหลัวเหมยคืน แผนการที่เตรียมไว้เมื่อวานไม่ถือเป็นโมฆะหรอกหรือ ครั้นจะให้ต่อรองกับสีเทียนหยาง เขาเองก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
คิดไปคิดมา หลัวเหิงตัดสินใจพูดตรงๆ เลยดีกว่า
“ใต้เท้า อย่างไรแล้วข้าขอถามท่านหน่อยเถิด”
“ว่ามา”
เมื่อได้รับอนุญาตจากสีเทียนหยาง หลัวเหิงพลันถามขึ้นทันที “ความจริงแล้วหากใต้เท้าต้องการบุตรสาวคนรองของข้าน้อย ข้าน้อยยกให้ใต้เท้าได้เสมอ ไม่ทราบว่าที่ใต้เท้ามาที่นี่เพื่อส่งนางคืนใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอถามเหตุผล นางทำอะไรให้ใต้เท้าไม่พอใจหรือขอรับ”
ให้ฟังอย่างไรบ้านสกุลหลัวก็ไม่ต้องการรับหลัวเหมยคืนอย่างชัดเจน น่าสงสารหลัวเหมยที่มีบิดาเช่นนี้
สีเทียนหยางหันมองหญิงสาว สีหน้าของนางเสร้าสร้อย ถึงจะน่าสงสาร แต่นางควรรู้ความชั่วช้าของบิดาตนเอง คิดจบ ชายหนุ่มหันมาบอกหลัวเหิง
“นางไม่ได้ทำอะไรให้ข้าไม่พอใจ”
“แล้วเช่นนั้น ทำไมใต้เท้าถึงมาส่งนางกลับบ้านสกุลหลัวขอรับ”
ดารที่สีเทียนหยางพาหลัวเหมยกลับมา ทั้งนางยังสวมชุดเดิม ดูก็รู้ว่าต้องการส่งนางคืนชัดๆ
สีเทียนหยางแสร้งทำสีหน้าเคร่งขรึมลำบากใจ ชั่วครู่สั้นๆ เขาถึงพูดขึ้นมา
“นางเป็นสตรีบ้านอื่น มาอยู่ในจวนข้าค่อนข้างผิดธรรมเนียมอยู่สักหน่อย”
หลัวเหิงเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง เปลือกนอกแม้แสดงออกอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่แท้จริงไม่ต้องการให้ใต้เท้าผู้ตรวจการเข้ามายุ่งเรื่องในบ้านสกุลหลัวแม้แต่น้อย แต่กับหลัวเหมย หากใต้เท้าต้องการ เขาก็ยินดียัดเหยียดให้
“ธรรมเนียมอะไรกันขอรับ บ้านสกุลหลัวของเราไม่ถือสาเรื่องธรรมเนียม เหมยเอ๋อร์เป็นบุตรอนุ ใต้เท้าต้องการนางไว้ปรนนิบัติ ข้าน้อยเป็นบิดาของนาง ยินยอมยกให้ได้ ไม่ต้องสู่ขอหรืออะไรทั้งนั้น แต่ถ้านางไม่ยินยอม ประเดี๋ยวข้าน้อยจะเตือนนางให้เองขอรับ”
หลัวเหิงรีบขันอาสา ไม่เพียงแค่พูด ยังแสดงให้เห็นด้วยการตะคอกใส่
“เหมยเอ๋อร์ เจ้าอยู่กับใต้เท้าสีต้องตั้งใจปรนนิบัติใต้เท้าดีๆ เข้าใจหรือไม่ บ้านสกุลหลัวเราไม่เลี้ยงคนไม่เอาไหน หากเจ้าไม่ตั้งใจปรนนิบัติใต้เท้าก็ไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่!”
หลัวเหมยแม้เสร้าเสียใจ หากก็พยักหน้าเชื่องช้า ภายนอกยืนสงบเสงี่ยม แต่หัวใจเจ็บปวดไปหมดแล้ว
ถึงตรงนี้ นางเข้าใจความหมายของสีเทียนหยางแล้ว นางไม่โทษโกรธเขา แต่เศร้าเสียใจที่บิดาแท้ๆ กลับต้องการขายนางให้กับสีเทียนหยางเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง
“ท่านหลัวไม่ต้องสั่งสอนอะไรนางหรอก หลัวเหมยเป็นเช่นนี้น่ะดีแล้ว” สีเทียนหยางในที่สุดก็พูดขึ้น
“ใต้เท้าหมายความว่าอย่างไรขอรับ” หลัวเหิงถามอย่างไม่เข้าใจ แต่จะว่าไป สีเทียนหยางตาต่ำจริงๆ สตรีสูงส่งอย่างหลัวซูหนิงกลับไม่ชอบ เหตุใดถึงนิยมชมชอบบุตรของอนุ
“ข้าชอบผู้หญิงหัวอ่อนไร้อำนาจ ถึงท่าหลัวจะบอกว่าไม่ต้องการให้ข้ามาสู่ขอ แต่ดูเหมือนท่านแม่ของข้าจะอยากจัดการเรื่องสินสอด ทั้งยังส่งแม่สื่อมาเจรจา สรุปคือเรื่องของหลัวเหมยทางสกุลสีจะเป็นคนจัดการเอง เอาตามนี้แหละ”
หา?
ถึงตรงนี้ ทั้งหลัวเหมยและหลัวเหิงทำหน้าตาเหลอหลา ไม่นึกว่าใต้เท้าผู้ตรวจการสีจะตัดสินใจเองเสร็จสรรพ
“ใต้เท้าหมายถึงจะสู่ขอเหมยเอ๋อร์หรือขอรับ” เพื่อความมั่นใจ หลัวเหิงทวนคำถาม
“เข้าใจถูกต้องแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ ท่านหลัวบอกว่าที่สกุลหลัวไม่มีกฎธรรมเนียมใช่หรือไม่ หากข้าต้องการนาง ท่านก็ยกให้ข้าเลย ทว่า... เดิมท่านแม่ข้าชื่นชอบเรื่องครื้นเครง อีกไม่นาน นางคงมาคุยเรื่องสู่ขอหลัวเหมยกับท่านหลัว ข้ามาที่นี่เพื่อชี้แจงไว้ก่อน” สีเทียนหยางบอกหน้าซื่อตาใส
“ความหมายคือ?”
“ข้าต้องการสู่ขอหลัวเหมย แต่ทางข้าต้องเป็นฝ่ายจัดการเองทั้งหมด ห้ามสกุลหลัวเข้ามายุ่งวุ่นวายเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นท่านแม่ข้าคงไม่ชอบใจนัก เว้นก็แต่หากท่านหลัวไม่ยินยอม ท่านก็นำนางคืนได้ทันที ข้าไม่รั้งนางอยู่แล้ว แต่ ท่านหลัวคิดให้ดีๆ บุตรของอนุมีวาสนาได้แต่งเป็นภรรยาเอกนั้นไม่ง่าย อีกอย่าง เมื่อคืนนางก็ค้างแรมที่จวนข้าแล้ว ชื่อเสียงของนางจะเป็นอย่างไรก็ได้หรือ”
สีเทียนหยางอธิบายด้วยวาจาที่ชาญฉลาด ภายนอกแล้งน้ำใจ แต่หากผ่านพ้นความขมขื่นนี้ไปได้ คนที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ก็คือหลัวเหมย
หลัวเหิงแอบนึกเสียดาย เหตุใดคนที่ได้แต่งงานกับใต้เท้าผู้ตรวจการและเป็นภรรยาเอกไม่ใช่หลัวซูหนิง กระนั้น เมื่อหลั่นวาจากออกไปแล้วจะกลืนคำพูดใช่เรื่อง อีกอย่าง ส่งๆ เหมยเอ๋อร์ออกไปก็ดี นางย่อมไม่กล้ามีปากเสียงกับใต้เท้าหรือแข็งข้อกับบ้านสกุลหลัว ภายหลังค่อยข่มขู่นางเพื่อผลประโยชน์ของทางนี้ก็ได้
“ตกลงขอรับใต้เท้า เรื่องสินสอดหรือพิธีการอะไรข้าน้อยไม่เรียกร้อง ขอเพียงใต้เท้าเอ็นดูเหมยเอ๋อร์ก็พอแล้วขอรับ” หลัวเหิงพูดประจบเอาใจ
สีเทียนหยางลุกขึ้นยืนเมื่อการเจรจาประสบผลสำเร็จ
“ตกลงตามนี้ แต่ไหนๆ ก็ได้มาถึงที่นี่ ข้ามีบางเรื่องต้องพูดให้ชัดเจน ถึงนางจะเป็นภรรยาเอก แต่อย่างที่บอก ข้าชอบสตรีไร้อำนาจ ในเมื่อหลัวเหมยไม่มีอำนาจใด ข้าขอสั่งห้าม ไม่ให้นางก้าวก่ายเรื่องงานใดๆ ของข้า หวังว่าท่านหลัวจะเข้าใจ นางอยู่กับข้าเพียงแค่ทำหน้าที่ปรนนิบัติสามีเท่านั้น”
ความหมายของสีเทียนหยางคือ ห้ามให้หลัวเหิงใช้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลัวเหมยแอบอ้างทำการค้าที่ไม่โปร่งใส
อึก! นี่มันข่มขู่กันชัดๆ ไม่ใช่หรือ
หลัวเหิงตระหนกเนื่องจากถูกอีกฝ่ายอ่านใจถูก
แต่เอาเถอะ เรื่องแอบอ้างชื่ออาจจะทำไม่ได้ ทว่าการได้กำจัดหลัวเหมยออกไป ที่ดินที่ตั้งโรงเผาซึ่งควรจะตกเป็นของหลัวเหมย เมื่อไม่มีเด็กคนนี้อยู่ ก็ไม่มีอะไรมาขวางหูขวางตาแล้ว
“ในเมื่อพูดชัดเจนแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน” สีเทียนหยางบอกหลัวเหิง
“ขอรับ”
“เอาละ เหมยเอ๋อร์ พวกเรากลับกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ตั้งแต่ต้นจนถึงเดี๋ยวนี้ หลัวเหมยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือโต้เถียงการเจรจาใดๆ นางมีแต่ต้องเชื่อฟังสีเทียนหยาง หลังตอบรับออกไป นางก้าวเท้าเดินตามหลังสีเทียนหยางด้วยฝีเท้าแสนหนักอึ้งออกไปจากบ้านสกุลหลัว
หลังจากสีเทียนหยางและหลัวเหมยเดินพ้นประตูบ้านมาแล้ว
หลัวเหิงเดินวนไปวนมาในเรือนรับรอง เมื่อคิดว่าการใช้เส้นสายของใต้เท้าผู้ตรวจเป็นเรื่องฝันเกินเอื้อม
เดิมตั้งใจให้หลัวซูหนิงแต่งงานเข้าไปเป็นฮูหยินผู้ตรวจการ หวังใช้เส้นสายจากความสัมพันธ์นี้ รอดพ้นจากการตรวจสอบ ไม่ว่าทางนี้จะค้าขายของทุจริตใดก็ตาม ทว่า ตอนนี้คงต้องระมัดระวังมากขึ้นเสียแล้ว
กลับกัน หลังจากหลัวฮูหยินและหลัวซูหมิงทราบถึงเรื่องนี้ พวกนางยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
หลัวซูหนิง แม้เสียดายตำแหน่งฮูหยินผู้ตรวจการ แต่ความรู้สึกเป็นอิสระย่อมมีมากกว่า เพราะนางไม่ชอบสามีที่แก่รุ่นราวคราวพ่อ แต่งงานกันไปนานวันเข้าเรี่ยวแรงของสีเทียนหยางคงหมด ทำให้นางตรอมตรมมากกว่ามีความสุข
ดีแล้วล่ะ ที่ใต้เท้าเลือกเหมยเอ๋อร์ นังเด็กคนนี้หัวอ่อนและโง่เง่า คอยปรนนิบัติสามีแก่ไปเถิด