บทที่ 2.1
ความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
ในตอนเช้ากวงจือหลินตื่นขึ้นพร้อมกับอาการปวดเมื่อยตามตัว แน่นอนว่าเธอคุ้นเคยกับอาการเหล่านี้ดี ทว่าเมื่อประคองตนเองลุกขึ้นนั่งสายตาก็ไปสะดุดกับชายหนุ่มที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่หน้ากระจก เพื่อทำแผลให้ตนเอง ริมฝีปากบางยกยิ้มกว้าง สลัดผ้าห่มก้าวลงจากเตียงไปหยุดยื่นที่ด้านหลังของกู้เหยียน แล้วแย่งก้านไม้พันสำลีมาจากมือของเขา
“ฉันทำให้ค่ะ”
กู้เหยียนไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือของเธอ อีกทั้งยังลอบมองใบหน้าสวยสดใสของหญิงสาวผ่านกระจกเงาตรงหน้า ไม่น่าเชื่อว่าหญิงสาวที่มีใบหน้าชวนมองเช่นนี้จะเป็นคนเดียวกับคนที่ลุยเดี่ยวไปตีคนเมื่อคืน
“เจ็บไหมคะ”
“ไม่ครับ มือคุณเบามาก”
“ใครๆ ก็บอกว่าฉันเป็นคนมือเท้าหนัก คงมีแค่คุณที่บอกว่าฉันมือเบา”
กวงจือหลินโต้ตอบด้วยน้ำเสียงเจือขบขัน ก่อนจะปิดบาดแผลให้เขาด้วยความตั้งใจและนุ่มนวลที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้
“คุณเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า ให้ผมตรวจดูสักหน่อยไหม”
กู้เหยียนหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวแล้วถามด้วยความห่วงใย กวงจือหลิน วางมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะหน้ากระจก คร่อมร่างของกู้เหยียนเอาไว้แล้วโน้มใบหน้าลงกระซิบข้างหูเขา
“ถ้าฉันบอกว่าเจ็บทั้งตัว... คุณจะตรวจให้ไหม”
หัวใจของกู้เหยียนสั่นระรัวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ เขารีบวางปลายนิ้วลงบนข้อมือของตนเองเพื่อตรวจจับชีพจร
“138 ภาวะฉุกเฉิน ผมต้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ”
กวงจือหลินยกยิ้มมุมปากแล้วขยับตัวถอยห่างเขาสองมือกอดอกมองอาการตื่นตกใจของชายหนุ่มด้วยท่าทีขบขัน
“กู้เหยียนคุณเคยชอบใครไหม”
เมื่อถูกโจมตีด้วยคำถามนี้ ภาพของเฉินซิ่วลี่ก็ผุดขึ้นมาในความคิดของกู้เหยียน หัวใจที่สั่นระรัวค่อยๆ ลดอัตราการเต้นลง สายตามองต่ำอย่างรู้สึกผิดที่เขามีความรู้สึกเช่นนั้นกับภรรยาของสหายที่มีบุญคุณช่วยเหลือตนเอง
กวงจือหลินมองสีหน้าที่เศร้าลงของกู้เหยียนแล้วขบกรามแน่น ก่อนจะนึกถึงเฉินซิ่วลี่ ผู้ญิงของกวงซุนหลี่พี่ชายบุญธรรมของเธอ ท่าทางและสายตาที่กู้เหยียนแสดงต่อเธอคนนั้นล้วนเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจ พลันความรู้สึกขุ่นเคือง ไม่พอใจ และเกลียดชังก็ผุดขึ้นในใจ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเธอจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง ก่อนที่จะหมุนตัวเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป
นี่เธอเป็นอะไรไป ลืมแล้วหรือไงว่าความสัมพันธ์ของเธอกับกู้เหยียนล้วนเป็นเพียงข้อตกลง ที่หลังจากแต่งงานแล้วก็จะจบลง
เมื่อตระหนักได้ถึงความสัมพันธ์ของตนเองกับกู้เหยียน ในใจของกวงจือหลินก็เกิดความรู้สึกไม่ยินยอมขึ้นมา เพียงแต่ไม่ยินยอมแล้วอย่างไร ถึงเธอจะเป็นคนเอาแต่ใจแค่ไหน ทว่าก็ไม่เคยบังคับใครเช่นกัน
.........................................
“พ่อได้ฤกษ์มงคลมาแล้วนะ...”
เคล้ง! เสียงตะเกียบหลุดจากมือของหวงจื่อหลินในทันทีที่กวงจื่อเหลียงเอ่ยเรื่องแต่งงานกลางโต๊ะอาหาร ทำให้ทุกสายตาจดจ้องมาที่เธอ กู้เหยียนเป็นคนแรกที่เข้าถึงตัวเธอก่อน เขาจับมือเธอขึ้นมาดูด้วยความห่วงใย
“มือคุณบาดเจ็บหรือเปล่า”
เมื่อคืนนี้กวงจือหลินต่อสู้กับเหลาตังอี้ด้วยมือเปล่า อาจเป็นไปได้ว่าเธอจะรับบาดเจ็บที่มือหรือข้อมือ ท่าทางห่วงใยจนไม่สนใจคนอื่นของกู้เหยียน ทำให้กวงจือเหลียงลอบอมยิ้ม ส่งสายตาล้อเลียนไปให้ลูกสาวของตน ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นใบหน้าที่เขินอายจนแดงก่ำของเธอ
ในที่สุดลูกของเขาก็เติบโตเป็นสาวแล้ว
กวงจือหลินที่ตอนนี้ใบหน้าแดงก่ำเบนหน้าหลบสายตาของคนเป็นพ่อ ทว่ากลับไม่คิดชักมือหนีจากสัมผัสของกู้เหยียน เธอยอมรับว่าตนเองรู้สึกอับอายต่อสายตาผู้คนที่มองมา ทว่าก็รู้สึกดีด้วยเช่นกันที่เห็นท่าทีห่วงใยแบบนี้ของเขา
“คุณมีอาการมือชา หรืออ่อนแรงไหม”
“ไม่ค่ะ... หมอกู้ฉันไม่ได้เป็นอะไร เมื่อครู่แค่เผลอตะเกียบหลุดมือเท่านั้น”
ทว่าถึงแม้กวงจือหลินจะบอกไปเช่นนั้นแต่หลังจากรับมื้อเช้าเสร็จกู้เหยียนก็พาเธอมาตรวจที่โรงพยาบาลอยู่ดี
“เห็นไหมคะ ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรคุณก็ไม่เชื่อ”
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ครั้งหน้าหากมีเรื่องคุณก็ระวังให้มากหน่อย”
กู้เหยียนไม่คิดห้ามปราบกวงจือหลิน เพราะรู้ดีว่าด้วยสถานะของเธอไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องเหล่านี้ แต่ในส่วนลึกก็อดที่จะกังวลใจไม่ได้
“คุณเป็นห่วงฉันหรือ”
กวงจือหลินขยับตัวมาดักหน้ากู้เหยียน พลางเงยหน้าขึ้นสบตาคมแล้วถามด้วยความคาดหวัง กู้เหยียนมองดวงตากลมใสแล้วถอนหายใจยาว ท่าทางไร้เดียงสาเช่นนี้ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะคือคนเดียวกันกับหญิงสาวเมื่อคืน
“ถ้าผมบอกว่าห่วง คุณจะดูแลตัวเองให้ดีได้ไหม”
มุมปากของกวงจือหลินยกขึ้นยิ้มกว้าง ก่อนจะหมุนตัวเดินนำหน้าเขา ใบหน้าที่สบตาเขาเมื่อครู่เงยขึ้นมองผืนฟ้าที่กว้างใหญ่แล้วเปรยเสียงแผ่วเบา
“โลกใบนี้กว้างใหญ่มากก็จริง แต่ทางเดินของฉันกลับแคบนัก”
ใครบ้างไม่ชอบชีวิตที่สงบสุข แต่เธอเกิดมาพร้อมด้วยสถานะที่ไม่อาจเลือก หากไม่สู้ก็ต้องตาย ดังนั้นชีวิตนี้จึงเพียงคำว่าเดินหน้าไม่อาจถอยหลัง
กู้เหยียนมองแผ่นหลังเล็กที่ต้องแบกเรื่องราวมากมายเอาไว้แล้วอดที่จะเดินไปยืนข้างๆ เธอไม่ได้
“เราแวะตลาดกันก่อนได้ไหม เย็นนี้ผมอยากทำอาหาร”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ถึงแม้เธอจะรู้สึกว่ากู้เหยียนเป็นผู้ชายที่อบอุ่นและอ่อนโยน แต่ก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะทำอาหารได้ด้วย
“คุณทำอาหารเป็นด้วยหรือ”
“มีอีกหลายอย่างที่คุณยังไม่รู้ว่าผมทำได้”
คำตอบที่โอ้อวดตนเองของกู้เหยียนไม่ได้ทำให้กวงจือหลินรู้สึกรำคาญหรือเบื่อหน่ายอย่างที่เธอเคยเป็นกับคนอื่น ตรงข้ามเธอกลับยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
“อย่างนั้นเย็นนี้ฉันจะรอดูค่ะ หวังว่าอาหารของคุณคงไม่ทำให้ฉันท้องเสียนะคะ”
“ไม่ใช่ว่าคุณมีหมอประจำตัวอยู่ที่บ้านหรอกหรือ”
เมื่อถูกกู้เหยียนหยิบยกประโยคคำพูดของเธอมายอกย้อน กวงจือหลินก็ยกมือฟาดลงไปที่ไหล่หนา ทว่าแม้จะลดแรงลงไปถึงแปดส่วน แต่คนถูกตีก็เซถลาคล้ายจะล้มลงไปบนทางเดิน มือเรียวรีบคว้าต้นแขนเขาเอาไว้ออกแรงดึงรั้งสุดกำลัง คนที่กำลังจะล้มจึงสามารถทรงตัวกลับมายืนได้
“ฉันขอโทษค่ะ คุณเจ็บมากไหม”
น้ำเสียงสำนึกผิดและสีหน้ากังวลใจของเธอทำให้กู้เหยียนอดที่จะยิ้มไม่ได้ เมื่อครู่ไม่ใช่เพราะเธอตีเขาแรงจนเกินไป แต่เป็นเพราะเขาไม่ทันตั้งตัวจึงเสียหลัก เช่นนี้แล้วจะโทษเธอได้ยังไงกัน
“ไม่เจ็บสักนิด คุณจะตีอีกทีก็ได้”
แม้จะรู้ว่าคำพูดของเขาเอ่ยออกมานั้นล้วนเพื่อปลอบใจเธอ แต่กวงจือหลินก็อดที่จะมองค้อนอย่างหมั่นไส้ไม่ได้
“ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวสายจะไม่ทันซื้อของ”
กู้เหยียนยื่นมือหนาไปจับมือเล็ก กวงจือหลินสัมผัสได้ถึงความนุ่มของฝ่ามือใหญ่ ซึ่งตรงข้ามกับมือของเธอที่หยาบกร้านเพราะผ่านการจับอาวุธมานานับชนิด ในใจของเธอพลันรู้สึกอับอายขึ้นมา จึงขยับดึงมือของตนเองออกจากอุ้งมือหนา ทว่ากู้เหยียนกลับกระชับแรงมือมากขึ้น ก่อนจะจับจูงพาเธอเดินไปยังลานจอดรถด้วยกัน
กวงจือหลินมองอาหารตรงหน้าด้วยสายตาเปล่งประกาย หมูผัดน้ำแดง ไก่อบรมควัน เกี๊ยวกุ้งทอดกรอบ หรือแม้แต่ขนมสอดไส้ตรงหน้าก็ล้วนแต่เป็นของชอบของเธอทั้งนั้น ถึงจะไม่อยากเข้าข้างตนเอง แต่ก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่าทั้งหมดนี้กู้เหยียนทำเพื่อเอาใจเธอ
“อาเว่ยบอกว่าพวกนี้เป็นของชอบของคุณ”
หัวใจของกวงจือหลินพลันสั่นไหวในทันที เมื่อได้ยินจากปากกู้เหยียนว่าทั้งหมดนี้เขาทำเพื่อเอาใจเธออย่างที่คาดเดา
“คุณไม่จำเป็นต้องลำบากทำเองก็ได้ แค่บอกคนครัวก็พอ”
“ไม่ได้ลำบากอะไร คุณกินเถอะเดี๋ยวจะได้ทานยา”
.........................................