“บ้านหลังนี้เหรอ” ใช้เวลาเพียงห้านาทีก็เดินมาถึง พรเกียรติกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บ้านที่พุพัง ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องเข้าไปสำรวจในตัวบ้าน ระหว่างที่ลูกน้อง ร่างสูงใหญ่เดินตรวจบริเวณภายนอก สักพักลูกน้องของเขาก็วิ่งออกมา
“นายครับ”
“....” ขยับสายตาไปมอง
“เธอตายแล้วครับ”
“แม่!” ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น เด็กน้อยก็กระชากมือให้หลุดแล้ววิ่งเข้าไปดูแม่ตัวเองในบ้านทันที
เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ทั้งสองตัดสินใจรับเด็กคนนี้มาเลี้ยงดู พวกเขาเลี้ยงดูผืนป่ามาอย่างดีราวกับลูกแท้ ๆ ของตน เลี้ยงให้โตมาพร้อมกับแผ่นดิน เปมนีย์ให้ผืนป่าเรียกแผ่นดินว่าพี่ แม้ว่าทั้งสองจะอายุเท่ากันก็ตาม เธอแค่อยากให้ทั้งสองเข้าใจว่าพวกเขาคือพี่น้องกันจริง ๆ ไม่มีใครลูกใครทั้งนั้น เป็นลูกเธอและสามีทั้งคู่ ทว่าแผ่นดินกับผืนป่าดันไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไหร่ ด้วยนิสัยไม่ยอมคนของทั้งสองเลยยากที่จะหันหน้าคุยกัน แต่ถึงอย่างนั้นเวลาที่กลับบ้านก็ไม่เคยทะเลาะกันต่อหน้าพ่อแม่ให้ต้องหนักใจ แล้วเหตุผลที่ให้เรียกพี่ก็เพราะว่าผืนป่ามาทีหลัง เธอจึงตัดสินใจให้ผืนป่าเป็นน้อง แล้วชื่อเดิมของผืนป่าก็ไม่ใช่ชื่อนี้ แต่เป็น ‘นที’ แต่เพราะลูกชายของเธอชื่อแผ่นดิน เลยตัดสินใจเปลี่ยนให้มาคล้องจองกัน เลยเป็นที่มาของชื่อ ผืนป่า
“ผมเพิ่งเคลียร์งานเสร็จ”
“วันนี้อยู่ทานข้าวกับแม่ได้ไหม”
“ครับ”
“จริงนะ!”
“....” พยักหน้า
“วันนี้แม่จะลงมือทำของโปรดให้ลูกเอง ดีใจที่สุดเลยลูกมาทานข้าวด้วย”
“ผมขอไปหานายใหญ่ก่อน”
ส่วนเหตุผลที่ผืนป่าไม่ยอมเรียกทั้งสองว่าพ่อกับแม่ก็มาจากเรื่องในอดีต ซึ่งขอไม่ลงรายละเอียดว่ามาจากใคร เอาเป็นว่าเขารักทั้งสองเสมือนพ่อกับแม่แท้ ๆ ของเขาแน่นอน แล้วการที่เรียกแบบนี้มันก็เพื่อความสบายใจของตัวเขาเองด้วย
“มีเรื่องด่วนเหรอลูก”
“ไม่ครับ” แค่งานทั่วไป ไม่ได้ด่วนอะไร
“ถ้าอย่างนั้นแม่ไม่กวนแล้ว ห้ามคืนคำด้วยนะ”
“ครับ”
“แม่ไปทำอาหารก่อน” จากนั้นหญิงวัยกลางคนก็รีบไปเตรียมอาหารไว้รอลูกชายอีกคนของเธอ วันนี้จะทำให้สุดฝีมือเลย แผ่นดินว่าเจอตัวยากแล้ว ผืนป่านี่ยากกว่า บางเดือนแทบไม่กลับมาเหยียบบ้านก็มี ทั้งสองมักเลี่ยงที่จะเจอกัน หากคนใดหนึ่งกลับมานอนบ้าน อีกฝ่ายก็จะไม่ก้าวเข้ามาในเขตบริเวณบ้านหลังนี้เด็ดขาด การไม่เผชิญหน้ากันมันเป็นอะไรที่ดีที่สุด
ก๊อก ก๊อก
ผืนป่าพาตัวเองมาหยุดที่หน้าห้องทำงานใหญ่ เขาเลื่อนมือขึ้นไปเคาะประตูก่อนจะผลักเข้าไปด้านใน
“ไหนว่าไม่เข้ามา”
“แอร์พัง”
“จะซื้อบ้านให้ก็ไม่เอา”
“มันใหญ่” เขาไม่ชอบ ไม่ชอบที่ต้องอยู่คนเดียวในบ้านหลังใหญ่
“ลูกน้อง แม่บ้าน อยากได้กี่คนก็เลือกไป” เพราะว่าเจ้าลูกชายคนนี้ไม่ยอมรับอะไรจากตนง่าย ๆ แม้กระทั่งเงินยังไม่ยอมรับไปฟรี ๆ ผืนป่าทำทุกอย่างเหมือนว่าตัวเองเป็นเพียงลูกจ้างคนหนึ่ง ไม่เคยแสดงตนว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ทั้งนี้ทั้งนั้นคนในบ้านร่วมถึงหุ้นส่วนทุกคน แม้กระทั่งคนรอบข้างก็รู้จักผืนป่าในนามลูกชายคุณพรเกียรติกับคุณหญิงเปมนีย์ เพราะพวกเขาไม่เคยปิดว่าเด็กคนนี้เป็นใคร แล้วถ้าหากใครมันกล้ามาทำให้เด็กคนนี้ต้องเสียใจ เขาก็พร้อมปิดบัญชีพวกมันทุกตัวทันที..
“นายใหญ่ให้ผมไปส่งเธอที่นั่นทำไม”
“พรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงบ้านคุณพิพัฒน์”
“....”
“รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”
“ในเมื่อมันรักผู้หญิงคนนั้น ทำไมนายใหญ่ไม่เปิดโอกาสมันหน่อย” พรเกียรติชินไปแล้วกับการเรียกกันของสองพี่น้องคู่นี้ แล้วการที่เขาทำแบบนี้ไม่ใช่ว่ารักผืนป่ามากกว่าแผ่นดิน หรือรักแผ่นดินมากกว่าผืนป่า เขาต่างก็รักทั้งคู่เท่า ๆ กัน เพียงแต่อยากทำบางอย่างให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมเท่านั้นเอง
“แล้วถ้ามันรู้ตัวล่ะ”
“ก็อย่าทำให้รู้”
“....” ผืนป่าเงียบไป เขากำลังคิดหนักกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ไม่รู้ว่าวิธีของนายใหญ่ที่กำลังทำอยู่ตอนนี้จะได้ผลหรือเปล่า แต่ถ้าอีกฝ่ายไหวตัวทัน ก็เท่ากับแผนทุกอย่างเป็นอันจบสิ้น แล้วหลังจากนี้จะเป็นยังไงก็ต้องมาลุ้นกันอีกที
“พรุ่งนี้ไปด้วย” เนื่องจากทางนั้นเชิญทั้งครอบครัว แล้วผืนป่าก็เป็นลูกชายตน ฉะนั้นควรไปด้วยกันหมดนี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นผืนป่าหรือแผ่นดินทั้งคู่ต้องไปด้วยกัน
“ผมต้องเคลียร์งาน”
“งานกับพ่อแม่อันไหนสำคัญกว่ากัน” ทุกครั้งที่ผืนป่าปฏิเสธไม่ไปไหนกับพวกท่าน พรเกียรติมักเอาข้อนี้มาอ้างเสมอ ซึ่งมันได้ผล
“กี่โมง”
“หนึ่งทุ่มมาเจอกันที่บ้าน”
“ผมไปเจอที่งานดีกว่า”
“อย่าไปทะเลาะกันอีก”
“ไปบอกมันเถอะ” กับเขาไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่กับอีกฝ่ายนั่นแหละที่มักจะชอบหาเรื่องอยู่เป็นประจำ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดโกรธมันหรอก เขาเลือกที่จะปล่อยผ่านแล้วไม่สนใจมัน คิดแค่ว่าสิ่งที่มันกำลังเจออยู่ก็หนักหนามากพอแล้ว
“แล้ววันนี้จะนอนบ้านไหม”
“นอน”
“เจอแม่ยัง”
“กำลังทำกับข้าวอยู่”
“แล้วเมื่อไหร่จะกลับไปเรียกเหมือนเดิม” เขาไม่อยากให้ผืนป่าเรียกตัวเองกับภรรยาว่านายหญิงกับนายใหญ่ อยากให้ผืนป่ากลับไปเรียกตนว่าพ่อกับแม่เหมือนเดิม แต่มันก็เหมือนความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของเขาเท่านั้น พอดูแล้วผืนป่าแทบจะไม่สนใจเลย ยืนยันว่าจะเรียกแบบนี้ ส่วนเขาก็หมดปัญญาที่จะพูดกับลูกแล้ว เอาเป็นว่าจะเรียกยังไงก็แล้วแต่เถอะ ยังไงซะผืนป่าก็คือลูกชายของเขากับภรรยา
เวลา 18:30
“อร่อยไหมลูก”
“เค็ม”
“ผืนป่า! แม่อุตส่าห์ตั้งใจทำสุดความสามารถเลยนะ มาบอกว่าเค็มได้ยังไง นิสัยเหมือนพ่อไม่มีผิด”
“อะไรของคุณ ผมนั่งอยู่เงียบ ๆ ก็มาว่าผมอีก”
“ก็ลูกได้คุณมาเยอะนี่” โดยเฉพาะนิสัย ผืนป่าได้นิสัยของสามีเธอมาเต็ม ๆ โดยเฉพาะความโหดนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย สองคนนี้อย่าให้ไปไหนมาไหนด้วยกันเชียว เวลามีเรื่อง ‘ฆ่า’ อย่างเดียว
“ก็ด่าลูกสิมาด่าผมทำไม”
“เดี๋ยวลูกเสียใจ”
“แล้วไม่คิดว่าผมจะเสียใจเหรอ”
“คุณแก่แล้วไม่ต้องคิดมากหรอก”
“คำก็แก่สองคำก็แก่ อยากลองไหมล่ะ”
“พูดอะไรคุณ ลูกนั่งอยู่”
“มันโตแล้ว”
“ผมไม่รู้เรื่อง”
“ว่าแต่เราเถอะผืนป่า”
“ครับ?”
“เมื่อไหร่จะเอาลูกสะใภ้มาฝากแม่สักที”
“ช่วยขออะไรที่มันเป็นไปได้หน่อยได้ไหม” ขอให้เขาไปฆ่าคนยังง่ายกว่าหาเมียอีก เรื่องความรักไม่เคยอยู่ในหัวของเขาเลย
“แต่พี่เราก็ใกล้จะแต่งแล้วนะ”
“กับใคร”
“ก็มีคนเดียวแหละที่พี่จะแต่งด้วย”
“เธอจะแต่งกับมันไหมเถอะ” หากคนที่ไม่รู้จักหรือสนิทกับผืนป่า จะมองว่าเขาเป็นคนที่ก้าวร้าว พูดไม่มีหางเสียง แต่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลย ผืนป่ารักทั้งสองมากและให้เกียรติผู้มีพระคุณกับตัวเองเสมอ เพียงแต่เวลาพูดเขาเป็นคนที่เสียงแข็งและห้วน มันเลยดูเป็นคนพูดไม่มีหางเสียงซึ่งทั้งสองเองก็ไม่ถืออยู่แล้ว เพราะไม่ใช่แค่ผืนป่าที่เป็น แผ่นดินเองก็เป็นเช่นกัน อาจเป็นเพราะการเลี้ยงดูของพวกเธอด้วย พรเกียรติเลี้ยงลูกชายสองคนแบบไม่โอ๋ ล้มเองก็ต้องลุกเอง เป็นลูกผู้ชายอย่าให้เห็นน้ำตาเด็ดขาด ทั้งแผ่นดินและผืนป่าถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ไม่ต้องห่วงเรื่องมารยาท เพราะทั้งสองมีครบหมดทุกอย่าง
บนโต๊ะอาหารมีเสียงทะเลาะของสองสามีภรรยาเพิ่มสีสันให้ไม่เงียบเหงาจนเกินไป หลังทานมื้อค่ำจนอิ่มพวกเขาก็แยกย้ายกันขึ้นห้องใครห้องมัน เช่นเดียวกับผืนป่าที่หนีไปอยู่ในห้องซ้อมยิงปืน เขามักจะมาอยู่แต่ในนี้เวลากลับบ้าน ไม่ก็ไปซ้อมขี่ม้ากับลูกน้องที่สนามม้าหลังบ้าน เพราะมันคือการผ่อนคลายที่ดีที่สุดสำหรับเขา