วันต่อมา
ตึก ตึก
“เป็นไงบ้างลูกพีช” เลขาคุณลุงเข้ามาถามเมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินเข้ามาในบริษัท เธอกำลังจะขึ้นไปพอดี เห็นลูกพีชก่อนเลยเข้าไปทัก เมื่อวานหญิงสาวไปทำงานกับคุณแผ่นดิน ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง
“อะไรเหรอคะ”
“ที่เราไปทำงานกับคุณแผ่นดินไง” เธอพอได้ยินมาบ้างว่าแผ่นดินไม่ค่อยชอบหญิงสาว ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะอะไร สาเหตุนี้แหละนายใหญ่ถึงเลือกให้คุณแผ่นดินเป็นคนมาดูแลคุณลูกพีชระหว่างที่เธอฝึกงานอยู่ที่นี่ เหตุผลก็เพราะอยากให้ทั้งสองปรองดองกัน
“อ่า..” ใบหน้าสวยพยักหน้าเข้าใจในทันที ก็นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง
“ก็ดีนะคะ” เธอไม่จำเป็นต้องบอกว่าเมื่อวานตัวเองโดนอะไรบ้าง ยังไงมันก็ผ่านมาแล้ว อีกอย่างเธอไม่จำเป็นต้องไปสนใจการกระทำแย่ ๆ ของผู้ชายคนนั้นด้วย แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ ครบ 3 เดือนเมื่อไหร่ เธอก็ไปแล้ว
“โล่งอกไปที” ทิชาถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอแอบกลัวว่าทั้งคู่จะไปทะเลาะกันน่ะสิ แผ่นดินยิ่งเป็นคนที่ถ้าได้พูดอะไรแล้วไม่สนใจคนฟังด้วย กลัวว่าลูกพีชจะเสียใจจนไปแอบร้องไห้คนเดียว ดีที่เธอเป็นคนสู้คน ไม่อย่างนั้นไม่อยากนึกภาพเลยว่าจะเป็นยังไง
“ไม่ต้องห่วงพีชหรอกนะคะ” ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธออาจจะแอบร้องไห้ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้วไง
“เราไปทำงานกัน”
“ค่ะ”
ทั้งสองเดินจูงมือกันเข้าลิฟต์เพื่อขึ้นไปทำงาน วันนี้ทั้งวันต่างฝ่ายต่างก็ยุ่ง ส่วนแผ่นดินไม่ได้เข้าบริษัทเนื่องจากไปดูงานอีกที่ เขาน่าจะเข้ามาช่วงบ่าย ๆ เลย แล้วคนที่นำงานมาให้หญิงสาวก็คือคราม ลูกน้องคนสนิทของแผ่นดิน
“ลูกพีชไปทานข้าวด้วยกันไหม” ทิชาเข้ามาเรียกหญิงสาวที่กำลังก้มหน้าตรวจงาน พอมองดูเวลาก็เห็นว่าตอนนี้เที่ยงตรง นี่เธอทำงานเพลินจนลืมดูเวลาเลยเหรอเนี่ย
“พี่ทิชาจะไปทานที่ไหนคะ”
“ร้านอาหารข้างบริษัท แต่มันเป็นอาหารอีสานนะ เราทานได้ไหม”
“เอ่อ.. พีชขอไม่ดีกว่าค่ะ” คนตัวเล็กไม่ค่อยถนัดอาหารอีสานเท่าไหร่ คงต้องไปหาอาหารอิตาเลียนแถว ๆ นี้แหละ โชคดีที่แถวนี้ของกินเยอะมาก เลยไม่ลำบากเท่าไหร่เวลาพักเที่ยง
“โอเคงั้นพี่ไปก่อนนะ”
“ค่ะ”
หญิงสาวก้มหน้าก้มตาเก็บเอกสารที่ทำเสร็จแล้วแยกออกจากส่วนที่ยังไม่ทำ แต่ในระหว่างนั้นประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดเข้ามา ลูกพีชคิดว่าทิชากลับมา เธอจึงเงยหน้ากำลังจะอ้าปากถาม ทว่าคนที่ยืนตรงหน้าดันไม่ใช่ทิชา แต่กลับเป็นอีกคน
“พี่แผ่นดิน..”
“ไง เมื่อวานสนุกกันไปถึงไหนล่ะ”
“คะ?”
“สนิทถึงขั้นมารับกันเลยเหรอ”
“พี่กำลังพูดอะไร”
“อย่าทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย”
“โอเค พีชขอตัวก่อน” เขาน่าจะเมา ไม่ก็หัวไปกระทบกับอะไรสักอย่างมา เพราะดูเหมือนว่าอีกคนจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไหร่
“อย่าเดินหนีฉัน” เขาไม่ชอบให้ใครเดินหนี มันเหมือนว่าเขากำลังถูกทิ้ง ซึ่งเขาไม่ชอบ..
“ถ้าจะสั่งงานก็รอก่อนนะคะ เพราะนี่มันพักเที่ยงไม่ใช่เวลางาน” เขาเป็นถึงประธานบริษัทน่าจะรู้กฎเกณฑ์นี้ เวลาพักควรให้พนักงานพักได้อย่างเต็มที่ เพราะถึงเวลาทำเธอก็เต็มที่กับงานเหมือนกัน
สิ้นประโยคคนตัวเล็กก็หันหลังเดินจากไปทันที เธอออกจากห้องไปทิ้งให้คนตัวสูงมองตามแววตาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ไม่คิดว่าเด็กฝึกงานของตนจะปีกกล้าขาแข็งขนาดนี้ พอมีคนคุ้มกะลาหัวหน่อยก็ทำตัวอวดเก่งไม่เลิก สงสัยต้องปราบพยศเด็กมันสักหน่อยล่ะมั้ง
เอี๊อด!!~
“คุณผืนป่า”
“นายใหญ่อยู่ไหน”
“ในห้องทำงานครับ”
“เอาของบนรถไปเก็บไว้ในห้อง”
“ครับคุณผืนป่า”
ร่างสูงของผืนป่าก้าวเข้าไปในบ้านด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความดุดันน่าเกรงขาม เหล่าบอดี้การ์ดภายในบ้านทุกคนต่างก็เคารพและก้มหัวให้เขาทุกคน ซึ่งในขณะที่เขากำลังก้าวขาขึ้นบันได น้ำเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“ผืนป่าลูก!”
“นายหญิง” ปากหนาขยับเป็นคำพูดเสียงเบา สายตาคมกริบมองนายหญิงของบ้านที่กำลังเดินตรงมายังเขา ก่อนที่หญิงวัยกลางคนจะโผกอดเขาด้วยความคิดถึง
“ทำไมวันนี้กลับบ้านได้แล้วลูก” นอกจากแผ่นดินก็มีผืนป่าที่เป็นลูกชายของเธอ
ความจริงผืนป่าไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเธอกับสามีหรอก เมื่อครั้งที่เธอคลอดแผ่นดิน กระทั่งลูกชายอายุครบ 3 ขวบ เธอได้พาลูกชายนั่นก็คือแผ่นดินไปเที่ยวเหนือพร้อมกับสามี ทว่าวันสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพ มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งมาชนเธอเต็มแรงจนหงายหลังไป ซึ่งหนูน้อยที่ล้มก็ไม่ได้ร้องไห้เจ็บแต่อย่างใด แต่เพราะความตกใจและสงสารหนูน้อยเป็นอย่างมากเลยรีบเข้าไปอุ้มขึ้นพร้อมกับปลอบเด็กน้อย ในเวลาถัดมาก็มีผู้ชายสองคนวิ่งเข้ามาพร้อมกับกระชากเด็กที่อยู่ในอ้อมกอดของเธอออกไปอย่างแรง
“นี่พวกคุณ!” ทำไมถึงได้ทำตัวเสียมารยาทแบบนี้ ขอดี ๆ ก็ได้ไหม ไม่สมควรมาแย่งไปจากมือคนอื่น
“อย่าเสือก”
“ว่าไงนะ?”
“ไปกันเถอะ” ชายอีกคนพูดขึ้น ทว่าเปมนีย์กลับไม่ยอม เธอกระชากแขนผู้ชายคนที่แย่งเด็กไปให้หันกลับมาเผชิญหน้าอย่างไม่เกรงกลัว กล้าดียังไงถึงมาพูดคำนี้กับเธอ คิดว่าเป็นเจ้าถิ่นแล้วจะไม่มีใครกล้ากับตัวเองงั้นเหรอ งั้นก็คิดใหม่ซะ เพราะเธอไม่เคยกลัวใครอยู่แล้ว
“เดี๋ยว”
หมับ พรึ่บ!
“มึงทำเหี้ยอะไรวะ!!” ชายที่เตรียมจะพุ่งใส่เธอ แต่ยังไม่ทันจะถึงตัวเปมนีย์ ตัวของผู้ชายคนนั้นก็ปลิวไปด้านหลังโดยที่อีกคนยังไม่ทันตั้งตัว ทำเอาคนที่มาด้วยกันถึงกับผงะถอยหลบไปทันที
“อย่ายุ่งกับเมียกู”
“ผะ ผม”
“ปล่อยเด็กลง”
“ไม่! เด็กคนนี้ลูกผม”
“ไม่ เขาตีแม่ผมเลือดออก” ทว่าคำตอบของเด็กน้อยทำเอาทุกคนที่ยืนอยู่อึ้งไปตาม ๆ กัน พรเกียรติส่งสัญญาณให้ลูกน้องไปเอาเด็กมา
“เอาเขามา!”
แกร็ก!
“ปล่อย”
อึก~ ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบากเมื่อปืนสีดำจ่ออยู่ที่หัว คนพวกนี้เป็นใครถึงได้พกปืนไว้ในครอบครอง หรือว่าพวกมันจะเป็นพวกมีอิทธิพล ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเขาต้องซวยแน่ ๆ ต้องรีบติดต่อไปหานายตัวเองให้เร็วที่สุด
“เอาไง จะตายที่นี่หรือไปตายในคุก” พรเกียรติให้มันเลือกเอาว่าอยากตายที่ไหน ถ้ามันปล่อยเด็กก็แค่ติดคุก แต่ถ้ามันดึงดันจะเอาเด็กไป งั้นก็เตรียมตัวไปเฝ้ายมบาลได้เลย
“พวกคุณเป็นใคร”
“ปล่อย”
“มะ ไม่” สองสามีภรรยามองไปที่มันสีหน้ายากจะคาดเดา กระทั่งเปมนีย์เอ่ยกับเด็กน้อย
“ตัวเล็กครับ ช่วยปิดหูแล้วหลับตาให้หน่อยได้ไหมครับ” น้ำเสียงและคำพูดของเปมนีย์ทำให้หนูน้อยยอมทำตามอย่างว่าง่าย ทันทีที่มือเล็กเลื่อนไปปิดที่หูตัวเอง พร้อมกับค่อย ๆ ปิดเปลือกตาสองข้างลง
ปืนอีกกระบอกเล็งไปที่ชายคนนั้นพร้อมกับกดลั่นไกใส่ศีรษะจนร่างนั้นหงายหลังไป เปมนีย์รีบคว้าเอาเด็กมาอุ้มแล้วเดินออกไปทันที ไม่อยากให้เด็กต้องมาเห็นภาพพวกนี้ สองสามีภรรยาเดินกลับมาถึงบ้านพักตากอากาศของตัวเอง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุมาก บ้านหลังนี้อยู่ไม่ไกลจากเขตชุมชน ไม่แปลกที่จะมีคนนอกวิ่งผ่านมา เพราะเส้นทางที่เธอเดินอยู่ก่อนหน้านั้นเป็นทางลัดไปทางชุมชน
“ลืมตาได้แล้วครับ”
“....” เด็กน้อยมองผู้ใหญ่ตาแป๋ว ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงนิ่ง แปลกตรงที่เด็กคนนี้ไม่รู้สึกกลัวคนแปลกหน้า ทั้งยังกล้าพูดในสิ่งที่มันไม่ใช่ความจริง ไหนจะสายตาที่ไม่กลัวตายนั่นอีก ทั้งสองรู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้เข้าให้แล้วสิ
“แม่เลือดออก” พร้อมกับชี้ไปยังเส้นทางที่ไปโผล่บ้านตัวเอง ทั้งสองสบตากันนิ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
“โอเค งั้นหนูพาน้าไปหาแม่ได้ไหม”
“....” พยักหน้า
“ไปกันเถอะ”