ตอนที่ 19 ชื่อตอน กำลังใจของท่านตา

1325 Words
เสียงนกหวีดดังขึ้นพร้อมๆกับการปะทะที่เริ่มขึ้นมา องครักษ์ลับใบหน้าซีดเผือด ทั้งองค์ชายน้อยที่กายหนาหนัก ทั้งคนร้ายที่มีมากนัก ยามตื่นตกใจก็เผลอเหวี่ยงขาอ้วนป้อมขององค์ชายน้อยหมุนไปเตะใบดาบออกไปอย่างแรง องค์ชายน้อยนึกสนุก จึงเตะเท้าใส่ใบหน้าคนอย่างแรงนัก ท่อนขาหนาหนักทำให้ผู้คนมึนงงมากไปเลยทีเดียว เช่นนี้ทั้งสองจึงร่วมแรงกันต่อสู้ไปอย่างมิได้วางแผนใดมาก่อนนี้ ผู้เฒ่ามู่เกร็งพลังวัตรและสะบัดพัดเหล็กหมุนเป็นกงจักรตัดลำคอของผู้คนจนเลือดสาดกระเซ็น และกระโดดถีบคนผู้หนึ่งจนกระเด็นไปกระแทกเสาไม้อย่างรุนแรง เกิดเสียงดัง ตู้ม "โห้ว ท่านตามู่สุดยอดเลย!!!! " ยามที่ได้ยินหลานของตนส่งเสียงให้กำลังใจนั้น ผู้เฒ่ามู่ก็ฮึกเหิมขึ้นมาสุดกำลัง ยกโต๊ะหนาหนักขึ้นมาพลันและทุ่มลงกระแทกหัวคนร้าย ดัง ตู้ม "ว้าว ยอดที่สุดท่านตามู่!!!! " ยามมีเสียงน้อยๆดังขึ้นมาอีกท่านตามู่ก็ยกแจกันทุ่มลงใส่หัวคนเสียงดัง เพล้ง!!!! "โฮ้ว ท่านตามู่ยอดไปเล๊ย!!!! " องครักษ์ลับเหงื่อแตกซิก ยามองค์ชายน้อยส่งเสียงไปก็วิ่งออกไปมองไปคราหนึ่ง คนร้ายก็หมายจะมาจับในคราหนึ่ง ต้องใช้ทั้งเท้าทั้งหมัด แย่งดาบมาฟาดฟันผู้คน คอยคุ้มกันองค์ชายน้อยอย่างยากลำบากนัก "โฮ้ว อาอี่ท่านสุดยอดไปเล๊ย โฮ้ว !!! " ร่างในตัวหน้ากากฮว่านฉยงยกมือไม้ทำท่าหมัดมวยอย่างแข็งขันในทันใด ในใจนั้นลุกโชนด้วยพลังรบอย่างสุดกำลังแล้ว "ฮู้ว อย้า ฮึ่ย ย่า!!!! " อาอี่เหงื่อแตกพลั่ก ลำพังต่อยตีมิเคยแพ้พ่ายแต่ยามต่อยตีไปแบกลูกหมูหนึ่งตัวและคอยปกป้องกำบังภัยให้ไปด้วยและยิ่งอยู่ในสถานที่ปิดเช่นนี้แล้วคนร้ายก็ยังมีมาเสมือนห่าฝน อาอี่เหงื่อโทรมกายและรู้สึกกดดันขึ้นมาจริงๆ โชคดีที่มินานหลังจากนั้น คนของจวนมู่ติดตามเสียงนกหวีดมาได้ทันและเก็บกวาดทุกสิ่งออกไปจนหมดสิ้น ผู้เฒ่ามู่สามารถปกป้องเด็กๆและคนในโรงละครเอาไว้ได้โดยมิบาดเจ็บหนักนัก ยามมือปราบมาสอบความก็พบว่ามีคนรับใช้เข้ามาใหม่และทราบว่าท่านผู้เฒ่ามู่จะมาในวันนี้ จึงนำคนมาปิดล้อมโรงละครเอาไว้และจัดการปลอมตนเป็นนักรำดาบและนักเชิดหุ่นแทนไปเสีย ซึ่งผู้เฒ่ามู่ก็รู้ทัน เพราะกระบวนท่ารำดาบนั้นใช้จริงๆในสนามรบมิได้แต่ผู้เฒ่ามู่ชอบชมนัก ยามกระบวนท่าแปรเปลี่ยนไปจึงหยอกล้อคนร้ายโดยเรียกหลานตนมาให้ดูชม ผู้เฒ่ามู่เสื้อขาดวิ่นเผยแผงอกกำยำ คนในโรงละครเร่งมาทำแผลให้และนำอาหารสุรามาให้ในทันใด ผู้เฒ่ามู่นั้นชาวเมืองยกย่องนับถือเป็นวีรบุรุษในแคว้นเว่ย ผู้เฒ่ามู่สั่งอาหารเด็กมาแปดอย่างและป้อนอาหารแก่เสี่ยวเซียวก่อนตนเองโดยพลัน เสี่ยวเซียวส่ายหน้าเบาๆและยกตะเกียบขึ้นมาส่งไปทางปากขอท่านตาอย่างเอาใจ "ท่านตาเหนื่อยแล้ว ท่านกินเถอะ อาอี่จะช่วยเสี่ยวเซียวเอง" ยามเอ่ยเช่นนั้นอาอี่ก็เร่งพุ้ยข้าวเข้าปากเสียคำโตและซดน้ำแกงลงไปเสียงดังซู้ด และขยับมาป้อนข้าวนายของตนในทันใด เสี่ยวเซียวหัวเราะคิกและหยิบปลาหิมะป้อนลงในปากของอาอี่ก่อนคำหนึ่งและบ่นออกมาทั้งยกมือกอดอกตนขึ้นมา "เปิ่นกงจื่อบอกแล้วว่าให้กินข้าวก่อนออกมาติดตามคนอาอี่นั้นก็มิเคยจะฟัง รีบเท่าใดฟู่ชินก็ออกเบี้ยมาเท่าเดิมจะขยันมากมายไปก็ได้เบี้ยอยู่เท่าเดิม" ผู้คนหัวเราะร่า อาอี่แย้มรอยยิ้มบางๆและเช็ดแก้มแดงๆนั้นเบาๆ "กระหม่อมนั้นมีหน้าที่สำคัญพะยะค่ะ จะละทิ้งมิได้ องค์ชายนั้นก็มีหน้าที่ที่สำคัญจะละทิ้งก็มิได้เช่นกัน เช่นนี้กินข้าวช้าลงหน่อยก็มิมีอันใดนักหรอกพะยะค่ะ" ผู้เฒ่ามู่ได้ยินเช่นนั้นก็วางถ้วยข้าวลงตรงหน้าของอาอี่และโปะเนื้อชิ้นโตลงมาพลัน "เฮ่ย เจ้าอย่าไปคิดเช่นนั้นเลย กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ท้องของเราหิวเราจะมีเรี่ยวแรงอันใดกัน มาๆกินเข้าไปเยอะๆมื้อนี้ข้าเลี้ยงเจ้า อีกมินานจะมีนักเล่านิทานมาอีก ยามยังเยาว์บุตรสาวของข้าชื่นชอบนัก ข้าจึงอยากพาองค์ชายน้อยมาดูชมซักคราหนึ่ง" องค์ชายน้อยได้ยินก็ตาโตขึ้นมาทันทีและเอียงคอถามออกไปในทันใด "ท่านตา มู่ชินชอบดูละครและฟังนิทานเช่นนั้นหรือ" "ฮ่า ฮ่า ใช่แล้วหลานคนเก่งของตา มู่ชินของเจ้ายามที่เยาว์น่ารักนัก ชอบเล่นตุ๊กตาทั้งยังวางกลหมากชนะคนทั้งเมืองหลวง อ่อนหวานงดงามนักดูราวกับกระเบื้องเคลือบชั้นดี ผู้ใดเห็นก็ชมชอบนัก" "โฮ่ว...เช่นนั้นหรือ..อืม เช่นนั้นเอง มู่ชินอ่อนหวาน มู่ชินอ่อนบางน่ารักนัก เช่นนี้ต้องปกป้องมู่ชินให้ดี" ผู้เฒ่ามู่พยักหน้าขึ้นมาในทันใด มินานนักเล่านิทานก็มาถึงเป็นสตรีวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าเผ่าซรงหนู และเล่าเรื่องการรวมแคว้นของซรงหนู การเดินทางของนักรบ เสี่ยวเซียวชมชอบมากนัก ถึงกับล้วงเงินของอาอี่ออกไปตบรางวัลเลยทีเดียว "โตขึ้นเปิ่นกงจื่อจะรวมแคว้นเข้าด้วยกันจะให้ผู้คนเป็นปึกแผ่น มิต้องรบรากันอีกแล้ว" คนเล่านิทานหัวเราะเบาๆและส่งปิ่นปักผมของชาวซรงหนูให้เป็นของกำนัล องค์ชายน้อยคลำในอกของตนเองคราหนึ่งแล้วก็หยิบหินสลักรูปนาฬิกาแดดอันหนึ่งให้สตรีวัยกลางคนนั้นและเอ่ยขึ้นมาพลัน "คราหน้าถ้ามีนิทานดีๆอีกก็ไปหาเปิ่นกงจื่อได้ที่วังขององค์ชายเทียนเซียวนะ" สตรีนางนั้นตื่นตกใจและคุกเข่าลงไปในทันใด องค์ชายน้อยประคองไว้เบาๆและเอ่ยขึ้นมาพลัน "มู่หลิงซือท่านแม่ของเปิ่นกงจื่อบอกว่าคนเรามิควรให้ผู้อาวุโสมาคารวะนัก เปิ่นกงจื่อยังเด็กนักต้องคารวะผู้อาวุโสแล้ว เช่นนี้ท่านจงลุกขึ้นเถิด" ยามได้ฟังเช่นนี้ ผู้คนก็กระพือข่าวไปทั้งเมืองในทันใด หลังจากนั้นเพียงแค่มินานเกินข้ามวัน ทางฝ่ายซ้ายยามได้รับข่าวเช่นนั้นก็กรุ่นโกรธนัก เพราะหวังเหลือเกินว่าบุตรของตนนั้นจะต้องได้ขึ้นเป็นฮองเฮาในภายหน้า สกุลลี่จึงเต้นร่ำอยู่กันมิสุขต่อไปได้อีก อำมาตย์ลี่เร่งเข้าวังเฝ้าองค์ฮ่องเต้ในทันใด องค์ฮ่องเต้สรวลออกมาพลันยามที่พบใบหน้าแดงสลับขาวของมหาอำมาตย์ลี่เช่นนั้น รู้สึกรื่นรมย์ในอกขึ้นมาอย่างบอกมิถูกเลย "มหาอำมาตย์ลี่เร่งรีบมาเข้าเฝ้าเจิ้นเช่นนี้มีอันใดเร่งร้อนเช่นนั้นหรือ อย่างไรร้อยวันพันปีท่านมิเคยเร่งรีบเฉกเช่นนี้เลยมหาอำมาตย์ลี่ " มหาอำมาตย์ลี่ใบหน้าแดงขึ้นอีกและเร่งไต่ถามความสำคัญในทันใด "ฝ่าบาท กระหม่อมนั้นอยากทราบความที่เล่าลือกัน ในเมืองหลวงพะยะค่ะ มีข่าวเล่าลือว่ามู่หลิงซือนั้นจะขึ้นมาเป็นไท่จื่อเฟยจริงๆเช่นนั้นหรือพะยะค่ะ "
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD