ตอนที่ 4
ยั่วผมทำไม
หลังจากฝืนไม่ให้หลับเพราะทั้งกลัวและกังวล แต่ความอ่อน เพลียทำให้คีตัญชลีผล็อยหลับไปในที่สุด หญิงสาวมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อ สัญชาตญาณบอกว่าข้างกายตนนั้นไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไป เมื่อลืมตามองก็พบว่าปรานต์กำลังจะล้มตัวลงนอน ในมือถือไฟฉายที่ยังคงส่องสว่างจนมองเห็นในกันและกัน
“เอ๊ะ! คุณ เข้ามาทำไม”
หญิงสาวผลุนผลันลุกขึ้นนั่ง หายง่วงงุนเป็นปลิดทิ้ง
“อ้าว ถามแปลกนะคุณ ผมก็จะเข้ามานอนน่ะสิ”
พูดพลางล้มตัวลงนอนหน้าตาเฉย อีกฝ่ายร้องห้ามพลางใช้สองมือ ดึงท่อนแขนแข็งแรงให้ลุกขึ้นมา
“ไม่ได้นะ คุณจะนอนในนี้ไม่ได้ ฉันเป็นผู้หญิง คุณเป็นผู้ชาย”
“นี่คุณ เต็นท์นี้ก็ของผม คุณเสียอีกที่มาแย่งพื้นที่ส่วนตัวของผมน่ะ แล้วยังจะใจดำไล่ให้ผมออกไปนอนเลี้ยงยุงข้างนอกอีก ผู้หญิงใจร้าย ใจดำสิ้นดี”
อันที่จริงเขาก็พูดถูก เขาช่วยชีวิตเธอแถมยังต้องมาถูกเธอแย่งที่อีก ไม่เป็นไรแค่คืนเดียวไม่มีใครรับรู้เสียหน่อย ถ้าเขาไม่เอาไปพูดความลับก็จะเป็นความลับ คีตัญชลีคิดพลางมีท่าทีลังเลเล็กน้อย
“ฉันเหม็น นอนไม่หลับ” หญิงสาวยังคงตั้งแง่ บ่ายเบี่ยงไม่ยอม
“เหม็นก็ต้องทน ก็คุณเล่นแย่งเสื้อผ้าของผมไปหมด หรือจะให้ผมนอนแก้ผ้ากันล่ะ เอาอย่างนั้นก็ได้นะเพราะอยู่คนเดียวผมก็ไม่เคยใส่อะไรนอนอยู่แล้ว”
คนพูดทำท่าจะถอดเสื้อขึ้นมาจริงๆ อีกฝ่ายรีบจับชายเสื้อเขาเอาไว้ให้มันกลับไปอยู่ที่เดิม
“ไม่เป็นไรฉันทนได้ ไม่ต้องถอดหรอกนะฉันกลัวคุณจะหนาวตาย”
ชายหนุ่มหรี่ตามองคนพูด เขาแอบขันกับท่าทีงกๆ เงิ่นๆ ของเธอ กับการที่กลัวว่าจะถูกเขาจับปล้ำขึ้นมาจริงๆ
“สรุปอนุญาตให้ผมนอนด้วยได้ใช่มั้ยครับ คุณผู้หญิง”
“ก็ได้ๆ แต่ต้องรับปากนะว่าเรื่องคืนนี้จะรู้กันแค่สองคน”
หญิงสาวเอ่ยอย่างอึดอัด พลางมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง
“มองหน้าผมทำไม จริงๆ แล้วอยากให้ผมทำอย่างอื่นมากกว่านอน เฉยๆ ใช่มั้ย”
“จะหลงตัวเองยังไงก็หลงไปเถอะ อย่างคุณน่ะไม่ใช่สเปคฉันหรอก คุณผู้พัน ฉันไม่ชอบทหาร ฉันเกลียดคนในเครื่องแบบน่ะเข้าใจมั้ย”
“เกลียดทหาร ระวังจะมีผัวทหารนะครับ”
‘ปากหรือนั่น’ หญิงสาวลมหายใจร้อนผ่าวขณะเขม่นตามองคนพูดเพราะเถียงเขาไม่ทัน พูดอะไรก็ถูกยอกย้อนไปเสียทุกเรื่อง
“ก็คงไม่ใช่คุณหรอกมั้งคะ คุณผู้พัน”
“เกลียดอะไรได้อย่างนั้นระวังให้ดี ผมก็อยากจะรอดูเหมือนกันว่าคุณจะได้ผัวทำอาชีพอะไร”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าผู้หญิงคนไหนจะซวยมาเป็นเมียคุณน่ะ
เอ๊ะ หรือว่ามีแล้ว ฉันขอโทษนะที่พูดไปอย่างนั้น ผู้หญิงไม่ได้ซวยแค่คุณเอา
ความซวยไปหาเธอเท่านั้น”
‘ปากดี’ ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม มาทำเป็นลอยหน้าลอยตาปะทะคารมกันแบบนี้ เขาอยากจับกดกับพื้นแล้วยัดเยียดความเป็นสามีเสียให้สาแก่ใจ แต่นั่นก็ได้แค่คิดเพราะเขาไม่เคยขาดแคลนผู้หญิงจนต้องฝืนใจใคร
“ผมไม่อยากเถียงกับคุณให้เมื่อยปาก นอนดีกว่า”
“ขยับไปให้ชิดแถบโน้นเลยนะ เพราะฉันนอนดิ้น ปากแตกขึ้นมาฉันไม่รู้ด้วยนะเพราะฉันนอนดิ้นมากๆ”
“สรุปว่าใครเป็นเจ้าของเต็นท์กันแน่ครับ”
“ฉันกลัวแขนจะไปฟาดหน้าคุณ บอกแล้วใช่มั้ยว่าฉันนอนดิ้น”
“เฮ้อ ชีวิตไอ้ปรานต์ หนีเสือปะจระเข้จริงๆ”
ชายหนุ่มนอนเอามือก่ายหน้าผากเมื่อนึกไปถึงรินรดา ลงทุนไม่กลับบ้านเพราะกลัวเจอเธอแล้วต้องมานั่งเอาใจ แต่กลับต้องมาเจอสิ่งที่หนักใจยิ่งกว่า เหลือบมองเห็นอีกฝ่ายนอนตะแคงคุดคู้หันหน้าเข้าหาเต็นท์ เขาจึงคว้าไฟฉายมากดปิดเพื่อที่จะพักผ่อนเอาแรง หลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน
ปรานต์ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเมื่อรู้สึกว่าร่างกายของตนเริ่มถูกรุกรานจากอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มเปิดไฟฉายดูก็พบว่าคนที่นอนหัน หลังให้เมื่อตอนหัวค่ำนั้น ตอนนี้พลิกตัวขยับเข้ามาใกล้คล้ายต้องการซุกหา ไออุ่น คงมาจากอากาศที่เย็นลงกว่าเดิมร่างกายเลยแสดงออกมาตามสัญชาตญาณ
ชายหนุ่มนอนเกร็งเมื่อสัมผัสได้ถึงความนุ่มหยุ่นที่บดเบียดเข้าหา
ทั้งยังพาดแขนมาโอบกอดเขาไว้คล้ายกลัวว่าจะหนีหายไปไหน เท่านั้นยังไม่ พอ ขาข้างหนึ่งยังยกขึ้นมาพาดทาบทับขาของเขาเอาไว้อีกด้วย คล้ายกำลัง เข้าใจผิดคิดว่าตัวเขาคือหมอนข้างก็ไม่เชิง
“หนาว กอดหน่อย ฮืออ…”
ไม่พูดเปล่า แขนข้างที่กอดเขาไว้เมื่อสักครู่เปลี่ยนมาทำท่าไขว่คว้า ไปมาในอากาศ ปรานต์จำต้องสวมรอยตามคำเรียกร้องนั้น ชายหนุ่มรั้งร่างนุ่มนิ่มเข้ามากอดเอาไว้เพื่อหวังช่วยคลายความหนาวเหน็บให้เธอ
“ฟู่...”
เสียงลมหายใจที่ออกมาจากริมฝีปากได้รูปบ่งบอกถึงความอึดอัดอย่างเหลือแสน ร่างกายของเขาเริ่มทรยศเมื่อความเป็นชายกำลังเรียกร้อง รุนแรง แม้จะพยายามกดมันเอาไว้ก็ตามที แต่ดูเหมือนความพยายามนั้นจะ พังลงมาอย่างไม่เป็นท่า ความรู้สึกปวดร้าวแล่นไปทั่วสรรพางค์กาย เมื่ออีก ฝ่ายบดเบียดยั่วเย้าให้เขาอารมณ์กระเจิดกระเจิง ยิ่งไปกว่านั้นยังสอดมือ ข้างหนึ่งเข้าไปใต้ชายเสื้อจนสัมผัสกับผิวเนื้อหนุ่ม แค่นั้นยังไม่พอ มือเล็กเริ่มซุกซนลูบไล้ก่อกวนอยู่ตรงหน้าท้องแข็งแรง การกระทำของเธอไม่ต่างไปจากการราดน้ำมันชั้นดีลงไปบนเชื้อเพลิงอย่างเขา มันร้อนจนแทบมอดไหม้ ลงเสียตรงนี้
‘อูยย…หยุดเสียทีเถอะแม่คุณ นี่คนนะไม่ใช่ต้นไม้ ลูบอยู่ได้’
ชายหนุ่มกัดฟันกรอดราวแค้นเคืองใครสักคนที่กลั่นแกล้งให้เขาหัวปั่น เพราะในขณะที่เธอนอนหลับสบาย ส่วนเขานั้นกำลังจะคลั่งตาย
ชายหนุ่มตัดสินใจจับมือซุกซนเอาไว้เพื่อให้หยุดการเคลื่อนไหวก่อน ที่ทุกอย่างจะระเบิดขึ้น จากนั้นจึงควานหาเสื้อแจ็คเก็ตเพื่อที่จะนำมาใส่ให้ เธออีกชั้นกันหนาว ทันทีที่แสงไฟส่องกระทบใบหน้าของคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องราว เขากลับเผลอจ้องมองอย่างลืมตัว เพราะสายตาไปหยุดนิ่งยังกลีบ
ปากอิ่มที่เผยอออกจากกันเล็กน้อย นั่นอาจเป็นการยั่วยวนอย่างไม่ตั้งใจ
แต่เขานั้นคิดเตลิดไปไกล
‘บ้าฉิบ คิดว่าเราตายด้านหรือยังไงกัน’
ปรานต์คิดพลางหลับตาลงพยายามไม่มองภาพเย้ายวนตรงหน้า
แต่เหมือนยิ่งห้ามจะยิ่งยุ เพราะสายตาซุกซนของเขากลับเลือกที่จะมองลงต่ำ…ต่ำลง และต่ำลงไปเรื่อยๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เขาอยากเห็นบางสิ่งที่อยู่ใต้เสื้อยืดตัวโคร่ง ความเต่งตึงที่ปราศจากบรามันดึงดันเนื้อผ้า ดึงดูดสายตาของเขาให้จับจ้องมองอย่างลืมตัว
“คืนนี้มึงแย่แน่ไอ้ปรานต์”
ชายหนุ่มกัดฟันกรอดพูดกับตัวเองเบาๆ พยายามกดความ ปรารถนาที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกไม่ให้ออกมามีอำนาจควบคุมเขาได้
‘อย่าโง่สิไอ้ปรานต์ คนดีตายหมดแล้ว’ เหมือนมีเสียงกระซิบเบาๆ อยู่ข้างหูว่าเขาไม่ควรปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไป ปรานต์บอกตัวเองเช่น นั้น ในที่สุดความอดทนก็เดินทางมาถึงขีดสุด ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีขาดผึง ลงเดี๋ยวนั้น
ชายหนุ่มตัดสินใจพลิกร่างอีกฝ่ายให้นอนหงายอย่างแผ่วเบาที่สุด คนอะไรยามนอนหลับก็ยังน่ามอง คิดเมื่อยามฝ่ามือร้อนทาบลงบนใบหน้าขาวเนียน ริมฝีปากอิ่มเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มเล็กน้อยเหมือนคนกำลังฝันดี เขาลองสัมผัสเพียงแผ่วเพื่อไม่ให้ไก่ตื่น ขบเม้มเบาๆ ตะล่อมชิมอย่างใจเย็น
เมื่อได้ลิ้มลองแล้วกลับยิ่งถลำลึกโดยไม่รู้ตัว รสสัมผัสแบบแนบชิด
ถึงตัวทำให้เขาไม่คิดจะถอนจูบออกไป ยิ่งได้ใจบดเคล้ากลีบปากนุ่มอย่างหน่วงหนัก สัญชาตญาณดิบของชายหนุ่มเริ่มทำงานเมื่อมือข้างหนึ่งได้ สอดเข้าไปในเสื้อยืดตัวโคร่ง ‘ขอเพียงแค่จับนิดเดียวเท่านั้น’ นั่นคือความ
คิดยามฝ่ามือร้อนบีบเคล้นอกอิ่มจากห้วงอารมณ์เสน่หา
‘นี่มึงกำลังทำอะไรอยู่วะ ไอ้บ้าปรานต์’
สมองส่วนที่ยังพอมีสามัญสำนึกบอกเจ้าตัวอย่างนั้น แต่สมอง ส่วนความต้องการตามธรรมชาติของวัยหนุ่มตอนนี้มีอำนาจมากกว่า เขารู้ เพียงแต่ว่าต้องการเธอคนนี้และตอนนี้ ต้องการที่จะล่วงล้ำมากกว่าการสัมผัสภายนอก เพราะมันไม่ช่วยให้เขาสงบลงได้เลย
ชายเสื้อถูกเลิกขึ้นอย่างแผ่วเบาเผยให้เห็นความอวบอิ่มที่ซ่อนเร้น อยู่ข้างใน คนมองเกือบเลือดกำเดาพุ่งเพราะมันช่างเต็มไม้เต็มมือเขาดีเหลือเกิน ยิ่งบีบเคล้นฟอนเฟ้นเลือดในกายก็ยิ่งวิ่งพล่านจนร้อนรุ่มไปทั้ง ร่าง ชายหนุ่มกัดริมฝีปากจนเจ็บชาเพราะความขาวอวบที่ดีดเด้งสู้มือทำให้เขามันเขี้ยวจนอยากที่จะกินเธอเข้าไปทั้งตัว
เขายอมจำนนรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี เมื่อความแข็งแกร่งในจิตใจถูกพังทลายลงเพราะเธอ ใบหน้าคมก้มลงไปซุกไซร้ทรวงอกอุ่นด้วยความต้องการอย่างรุนแรง ปลายลิ้นสากตะโบมจูบดูดดึงที่ปลายยอดราวหิวกระหาย ในขณะที่มือทั้งสองข้างยังคงบีบเคล้นความนุ่มหยุ่นไปพร้อมกันกับปลายลิ้นร้อน ที่ตวัดดูดกลืนอกอิ่มราวกำลังลองลิ้มของหวานอร่อยลิ้น …เขากำลังเอร็ดอร่อยจนน้ำลายหกและไม่เคยกินอะไรที่มูมมามแบบนี้มาก่อน ต้องโทษเธอที่ทำให้เขากลายเป็นคนตะกละตะกรามได้ถึงเพียงนี้
วินาทีนั้นร่างอวบอิ่มเริ่มขยับตัวไปมาคล้ายรับรู้ถึงการถูกคุกคามนี้
ว่าคือเรื่องจริงไม่ใช่ฝันไป เหมือนชายหนุ่มจะรู้ทันจึงรีบผละริมฝีปากออก จากอกอิ่ม แล้วเปลี่ยนไปปิดปากเธอเอาไว้ด้วยจูบนุ่มนวลและอ่อนหวาน คล้ายต้องการเรียกร้องให้เธอคล้อยตามด้วยความเต็มใจ
‘อะไร!’ คีตัญชลีตกใจลืมตาโพลง แต่เธอช้ากว่าลีลาหนุ่มที่จงใจ ปลุกเร้าร่างกายตนอยู่ในขณะนี้ หญิงสาวร้องครางประท้วงเสียงอู้อี้เมื่อ รู้สึกว่าร่างกายส่วนล่างกำลังถูกคุกคามด้วยมือแกร่ง เธอเริ่มหวั่นวิตกด้วย นึกขึ้นมาได้ว่าเขาคงล่วงล้ำได้ง่ายดาย เนื่องจากเธอไม่ได้สวมใส่ชุดชั้นใน
“ซี๊ดด!”
อารมณ์อันหวามไหวของปรานต์ต้องจบลง ความรู้สึกเหมือนมีใคร กระชากเขาลงมาจากสรวงสวรรค์จนตกกระแทกพื้นอย่างแรง สักพักความรู้สึกเจ็บแสบก็แล่นไปทั่วร่าง ชายหนุ่มเอื้อมมือไปลูบบริเวณแผ่นหลังอันเป็นที่มาของร่องรอยความเจ็บ เขาสัมผัสได้ถึงแผลที่ครูดเป็นทางยาว
“ปั้ก!”
ยังไม่ทันที่จะตั้งตัว วัตถุที่อยู่บริเวณนั้นก็ฟาดลงมาที่ศีรษะของเขาเต็มๆ มันทั้งเจ็บและมึนงงไปพร้อมกัน
ปรานต์ยกมือขึ้นกุมศีรษะด้วยรู้สึกเจ็บชาขึ้นมาในทันใด เขา ผลุนผลันลุกขึ้นนั่งด้วยความมึนงงไปชั่วขณะ ชายหนุ่มขบกรามแน่นเพื่อ ข่มความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายหยิบยื่นมาให้
“สมน้ำหน้า หื่นนักใช่มั้ย!”
ไม่พูดเปล่า กระบอกไฟฉายที่อยู่ในมือทำท่าจะซ้ำลงมาที่เดิมอีก ครั้ง แต่ปรานต์ใช้ความว่องไวกว่าจับข้อมือเล็กเอาไว้ไม่ให้ทำร้ายเขาได้อีกเป็นครั้งที่สอง
“ปล่อยนะ!”
คีตัญชลีพยายามบิดข้อมือเพื่อให้หลุดพ้นจาก พันธนาการ แต่ปรานต์กลับออกแรงบีบแน่นมากขึ้น ต่างฝ่ายต่างยื้อยุดกัน ไปมา แต่ปรานต์ได้เปรียบตรงที่แรงเยอะกว่า ไฟฉายที่อยู่ในมืออีกฝ่ายเลย ถูกเขากระชากออกมา
“เสร็จแน่ๆ”
ชายหนุ่มข่มขู่พร้อมกับท่อนแขนแข็งแรงที่รั้งร่างอวบอิ่ม เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว
“ไอ้บ้ากาม ปล่อยฉันนะ”
คีตัญชลีตะโกนลั่น เมื่อเห็นท่าว่าจะเสียทีให้อีกฝ่าย ถ้าหากเขาคิด จะทำอะไรขึ้นมาตอนนี้เธอคงไม่มีปัญญาที่จะขัดขืนได้ คิดได้ดังนั้นจึง พยายามดิ้นรนจนสุดกำลัง
“คุณต้องชดใช้ ที่ทำให้หัวผมเกือบแตก”
ปรานต์กระซิบกับพวงแก้มนุ่ม ก่อนฝังปลายจมูกตามลงไป ยามนี้อารมณ์เขาหดหายเพราะเจ็บตัว แต่แค่ต้องการแกล้งให้เธอหวาดกลัวกันเล่นๆ เท่านั้น
“ฉันแค่ป้องกันตัว เพราะคุณจะปล้ำฉันยังไงล่ะ”
“แล้วไม่คิดว่าผมจะโมโหจนปล้ำคุณจริงๆ บ้างล่ะ”
“ฉันขอโทษ อย่าทำอะไรฉันเลยนะ”
เมื่อเห็นท่าทีแข็งกร้าวของอีกฝ่าย คีตัญชลีรีบเปลี่ยนมาใช้ไม้อ่อน ทันที ความหวาดกลัวทำให้เธอกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ จึงปล่อยให้มันหลั่งรินออกมาโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นใจ
ดูเหมือนว่าจะได้ผล เพียงร่างในอ้อมกอดเริ่มสั่นระริก ทั้งยังมาพร้อมกับหยาดน้ำใสๆ ที่เริ่มเอ่อล้นออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ปรานต์ ถึงกับนิ่งอึ้งไปในทันที “คุณร้องไห้!”
คีตัญชลีสะอื้นหนักขึ้น แววตายาวรีจ้องมองใบหน้าคมคร้ามด้วย ความตื่นตระหนกคล้ายกับแววตาของกวางสาวกำลังร้องขอชีวิตจากพญา
ราชสีห์ เพียงเท่านั้นหัวใจของคนมองถึงกับอ่อนยวบลงไปในทันที ความต้องการก่อนหน้านั้นมลายหายไปสิ้น มีเพียงความรู้สึกสงสารที่เข้า มาเกาะกุมหัวใจของผู้พันหนุ่มแทน
“ผม…ขอโทษ”
ปรานต์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว พลางไล้นิ้วเช็ดหยาดน้ำตา ที่หลั่งรินออกมารดพวงแก้ม ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาพลางคิดว่า เมื่อสักครู่ผีห่าซาตานตนไหนกันที่มาเข้าสิงให้เขาทำสิ่งเลวร้ายลงไปได้ ขนาดนั้น ชายชาตินักรบอย่างเขาเกือบทำในสิ่งที่อัปยศอดสูที่สุดในชีวิต ด้วยการบังคับขืนใจโดยที่ฝ่ายหญิงไม่ยินยอม ทั้งที่ในชีวิตเขาไม่เคยทำแบบนี้กับใครมาก่อน
“ผมห้ามมันเอาไว้ไม่ได้…คุณ…ยกโทษให้ผมได้มั้ย”
“…..”
“ได้มั้ยครับ”
ท่อนแขนแข็งแรงค่อยๆ คลายออกจากร่างอวบอิ่ม เมื่อเป็นอิสระ หญิงสาวรีบพาร่างเข้าไปซุกอยู่มุมเต็นท์ทันที แววตาที่จ้องมองมายังคง ฉายแววไม่ไว้วางใจ ปรานต์มองท่าทีของเธอแล้วความรู้สึกผิดยิ่งถาโถมทวีคูณ
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบงันไปชั่วขณะ เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ พูดอะไร เมื่อเห็นว่าดึกมากแล้วปรานต์จึงตัดสินใจเอ่ยขึ้นมา
“คุณนอนเถอะ ผมจะไปนอนข้างนอกเอง”
พูดแล้วก็ผลุนผลันออกจากเต็นท์ คีตัญชลีมองตามอีกฝ่ายไปเพื่อ ให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ย้อนกลับเข้ามาแล้วจริงๆ