ตอนที่ 3 เกือบไปแล้ว

4365 Words
ตอนที่ 3 เกือบไปแล้ว “ดะ เดี๋ยว!” “กรี๊ดด ช่วยด้วยยย!” “หยุด หุบปาก!” ปรานต์ออกคำสั่งแต่ยังคงความทุ้มนุ่มเจืออยู่ในน้ำเสียง ชายหนุ่มรวบข้อมือบางเอาไว้ทั้งสองข้างจนอีกฝ่ายหนึ่งดิ้นไม่หลุด เขาตัดสินใจกดขาเธอเอาไว้ด้วยท่อนขาตนหวังจะให้เธอหยุดดิ้นรน แต่การกระทำของเขา กลับยิ่งทำให้หญิงสาวใต้ร่างคิดเตลิดไปไกลมากยิ่งขึ้น “จะทำอะไร ลงไปเดี๋ยวนี้เลยนะมาคร่อมไว้ทำไม ปล่อยฉัน ปล่อย เดี๋ยวนี้!” หญิงสาวตะโกนจนแสบคอ เมื่อเห็นว่าหมดสิ้นหนทางที่จะดิ้นรน อีกต่อไป “ผมบอกให้หุบปากไง หยุด!” น้ำเสียงของปรานต์เริ่มเข้มและห้วนขึ้น เขายื่นหน้าเข้าไปตะคอกใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างเหลืออด แล้วเปลี่ยนมารวบข้อมือเล็กไว้ด้วยมือเพียง ข้างเดียว แล้วเอามือข้างที่ว่างไปอุดปากเธอเอาไว้ “ผมช่วยชีวิตคุณไว้นะ คำขอบคุณสักคำก็ไม่มี แถมยังมาใส่ร้ายผมอีก” ชายหนุ่มต่อว่าพร้อมกับสายตาคมกริบที่จ้องลึกลงไปในดวงตาสีนิลดำขลับที่กระพริบปริบๆ หญิงสาวนอนนิ่งด้วยไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรมา ตอบโต้เพราะตัวผิดเต็มๆ อารมณ์อันคุกรุ่นของปรานต์ถูกซ่อนไว้ภายใต้ ใบหน้าคมเข้มที่ยังคงความสงบนิ่งได้อย่างน่าทึ่ง เมื่อเห็นว่าหญิงสาว ใต้ร่างยอมสยบ เขาจึงยอมคลายมือออกจากปากและข้อมือน้อยๆ ของเธอ “ก็ดูสารรูปคุณสิ อี๋” เมื่อเป็นอิสระก็เริ่มมีฤทธิ์อีกครั้ง เจ้าตัวใช้มือข้างหนึ่งปิดหน้า อีกข้างชี้ไปยังจุดที่ทำให้เธอต้องหวาดกลัวอยู่ในขณะนี้ ปรานต์ก้มลงมองตัวเอง ชายหนุ่มกระตุกยิ้มกับการที่เขาห่วงเรื่อง ช่วยชีวิตของเธอจนลืมไปเสียสนิท ว่าตนอยู่ในสภาพล่อแหลมชวนให้คิดลึก เมื่อเห็นพวงแก้มสาวแดงซ่านเขาจึงไปหยิบผ้าขนหนูที่กองไว้ริมลำธารมา พันรอบกายเอาไว้อย่างลวกๆ โดยไม่อายสายตาของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า เลยแม้สักนิด “หยุดโวยวายซะ ไม่อย่างนั้นผมจะปล้ำคุณจริงๆ” ชายหนุ่มขู่ฟ่อขณะเดินกลับมาย่อตัวนั่งข้างคนที่กำลังตัวสั่นงก คีตัญชลีหลุบตาหนีหลบหลีกนัยน์ตาสีเทาที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเธอนิ่ง ยากจะเดาว่าภายในใจเขากำลังคิดอะไรอยู่ และเหมือนคำขู่จะได้ผล เมื่อหญิงสาวยังคงนั่งก้มหน้านิ่งราวถูก สตาฟ ด้วยกลัวว่าคำพูดนั้นจะไม่ได้เป็นแค่คำขู่ เพราะเวลานี้เขาคือชาย แปลกหน้าสำหรับเธอ แถมดูจากรูปร่างสูงใหญ่ของเขาแล้ว เธอคงไม่มี ปัญญาที่จะสู้ได้ถ้าเกิดว่าเขาคิดจะทำขึ้นมาจริงๆ สถานการณ์ตอนนี้การ สงบปากสงบคำเอาไว้คือสิ่งที่ควรกระทำ คีตกวีรู้สึกว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่แสนเลวร้ายที่สุดสำหรับเขา เพราะ โทรศัพท์มือถือที่มีอยู่กลับแบตฯหมดจนไม่สามารถติดต่อใครได้เลย ที่ทำได้ เวลานี้คือเขาต้องรีบเร่งฝีเท้าเพื่อกลับสู่ที่พัก และติดต่อเจ้าหน้าที่ให้หาคนมาช่วยค้นหาตัวพี่สาวของเขาโดยเร็วที่สุด กว่าเขาจะกลับลงไปถึงก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เจ้าหน้าที่ให้เหตุผล ว่าจุดที่พี่สาวของเขาถูกกระแสน้ำพัดพาไปนั้นค่อนข้างซับซ้อน และเบื้อง หน้านั้นมีหุบเหวซ่อนอยู่ด้วย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าให้เขาทำใจ เพราะโอกาสที่พี่สาวของเขาอาจจะเสียชีวิตเป็นไปได้สูง และที่สำคัญพื้นที่ บริเวณนั้นยังไม่เคยมีใครเข้าไปสำรวจมาก่อน อุปสรรคด้านความมืดและ เส้นทางที่ค่อนข้างซับซ้อนทำให้ยากแก่การคาดเดา ทุกคนจึงตกลงกันว่า วันรุ่งขึ้นถึงจะเริ่มทำการค้นหา “เปลี่ยนเสื้อผ้าซะ ถ้าหากจะรอให้เสื้อผ้าแห้งบนตัวคุณ ผมกลัวว่า คุณอาจจะเป็นไข้ตายอยู่ในป่านี้เสียก่อน” ปรานต์ยื่นเสื้อผ้าของตนให้กับหญิงสาวตรงหน้า โชคดีที่เขาพก กางเกงสำหรับใส่นอนและเสื้อยืดมาเปลี่ยน เลยพอแก้ขัดไปได้บ้าง แต่เขานี่สิ…คืนนี้คงต้องทนเหม็นเอาหน่อยเนื่องจากต้องสวมเสื้อผ้าชุดเดิม ชายหนุ่มคิดขณะสายตาจับจ้องไปยังหญิงสาวเบื้องหน้าอย่างสำรวจ “ฉันยอมเป็นไข้ตาย ถึงยังไงฉันก็ไม่มีชุดชั้นในที่จะเปลี่ยนอยู่ดี” คีตัญชลีปฏิเสธความหวังดีนั้น ทั้งๆ ที่ตัวเองนั่งหนาวตัวสั่นงกอยู่ ริมลำธาร “ตามใจ ถ้าเกิดตายขึ้นมาจริงๆ ผมก็จะทิ้งคุณไว้ที่นี่แหละ ไม่แบก ศพกลับไปให้เหนื่อยหรอก” ปรานต์ไม่พูดเปล่า เขาทำท่ายักไหล่แล้วโยนเสื้อผ้าจนไปกองรวม กันบนกระเป๋าที่เพิ่งรื้อออกมาเมื่อสักครู่ “อย่าทำอย่างนั้น ถ้าฉันตายจริงๆ ได้โปรดเอาฉันกลับไปด้วย ฉัน ไม่อยากเป็นผีเร่ร่อน” “ผมว่านะ คุณรักษาตัวเองให้ดีแล้วให้ผมพากลับไปเป็นๆ ยังดีกว่า แบกศพเป็นไหนๆ มันเหนื่อยน่ะรู้ไหม” ปรานต์ประชดประชันพลางคิดในใจว่าหญิงสาวตรงหน้าช่างดื้อรั้น เป็นที่สุด ขนาดหนาวจะตายอยู่แล้วก็ยังอายด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง “แต่ว่า…” คีตัญชลียังคงกังวลเรื่องชุดชั้นใน เพราะนั่นหมายถึงว่าเธอจะต้อง โนบราต่อหน้าชายแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่นาที “ทนๆ เอาหน่อยแค่คืน เดียวเท่านั้น” ปรานต์เอ่ยแทรกเหมือนรู้ทันว่าอีกฝ่ายกังวลอะไร “แต่ฉันอายนะ คุณเป็นผู้ชายจะไปอายอะไร” “เอาเป็นว่าผมจะพยายามไม่มองละกัน” ปรานต์ให้คำสัญญาแต่แววตาคมกริบที่จ้องมองไปยังหญิงสาวเบื้องหน้า มันทำให้เจ้าตัวรู้สึกร้อนวูบวาบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…ก็คนมันห้ามสายตาไม่ได้นี่นะ สาวๆ สวยๆ มาอยู่ตรงหน้าใครจะไม่มอง ชายหนุ่มคลี่ยิ้มกับความคิดตัวที่เห็นคนสวยแล้วลายเจ้าชู้มักจะเผยออกมา “อย่ามาทำสายตาหื่นๆ กับฉันนะ” พูดจบคีตัญชลีรีบลุกไปหยิบเสื้อผ้า ก่อนหายเข้าไปในเต็นท์ด้วย ความรวดเร็ว เธอได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจ พร้อมเสียงตะโกนดังไล่หลัง ตามมา “เปลี่ยนเร็วๆ นะคุณ ถ้าช้าผมจะตามเข้าไปช่วยเปลี่ยนเดี๋ยวนี้” “นี่เราจะรอดคืนนี้มั้ยเนี่ย” หญิงสาวครวญออกมาเมื่ออยู่เพียงลำพังในเต็นท์ ภายหลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จพอออกมาก็พบว่าอีกฝ่ายได้ ทำการก่อกองไฟไว้เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อยที่เขา ไปหาเศษไม้แห้งมาจากไหนรวดเร็วขนาดนี้ เพียงแค่ชั่วระยะเวลาที่เธอเข้า ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแค่นั้น เธอหอบผ้าเปียกของตนเดินเลี่ยงไปหากิ่งไม้ เพื่อจัดการนำเสื้อผ้า ผึ่งลมด้วยหวังว่ามันจะแห้งทันที่เธอต้องใส่ในวันรุ่งขึ้น ไม่วายนำชุดชั้นใน ตากไว้ในที่ลับที่คิดว่าน่าจะรอดพ้นสายตาของเขา “คุณพักที่ไหน แล้วมีญาติมาด้วยหรือเปล่า” ปรานต์เอ่ยถามเมื่ออีกฝ่ายเดินกลับมานั่งลงข้างๆ กองไฟ “พักที่เทียมหมอก ป่านนี้น้องชายของฉันคงไปบอกเจ้าหน้าที่แล้ว คุณจะช่วยติดต่อให้ฉันใช่ไหมคะ” น้ำเสียงของคีตัญชลีบ่งบอกถึงความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นอีกฝ่ายหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา “น้องคุณชื่ออะไร” “พีช…พีช คีตกวี” ปรานต์ติดต่อไปยังบ้านพักของเทียมหมอกเพื่อแจ้งข่าวสารให้เจ้าหน้าที่ได้รับทราบ ก่อนที่ชายหนุ่มจะขอคุยกับคีตกวีเพื่ออธิบายเรื่องราว ทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง สนทนากันอยู่สักพักจึงหันมาถามคีตัญชลี “คุยมั้ย” ปรานต์เอ่ยถามพลางชี้ไปที่วิทยุ “ใคร พีชเหรอ” ตัญชลีเอ่ยถามด้วยสีหน้าตื่นเต้นพลางปราดเข้าไปแย่งวิทยุที่อยู่ ในมือของอีกฝ่ายไปทันที “ลูกพลัม ตัวเองปลอดภัยดีใช่มั้ย!” เสียงจากปลายสายถามกลับมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เค้าปลอดภัยดีไม่ต้องเป็นห่วงเพราะมีคนช่วยเอาไว้ได้อย่างบังเอิญ แต่คืนนี้ต้องนอนในป่าก่อนพรุ่งนี้เช้าถึงจะไป” เจ้าตัวพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้ใคร เห็น เนื่องจากเธอแอบปรายตามองชายหนุ่มเบื้องหน้าก็รับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าเขากำลังจับจ้องมองเธออยู่อย่างสนใจ “รู้ว่าตัวเองปลอดภัยเค้าก็ดีใจแล้ว รู้หรือเปล่าว่ากลัวแทบแย่ กลัวว่าตัวเองจะเป็นอะไรไป” “ขอโทษนะที่ทำเรื่องแย่ๆ จนเดือดร้อนไปทั่ว” “ไม่เป็นไรอย่าไปคิดถึงมัน ตอนนี้มันฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย เหมือนมีคลื่นแทรก” คีตกวีเอ่ยขึ้นเมื่อเขาไม่ชินกับการสนทนาทางวิทยุ จึงทำให้การพูดคุยกับพี่สาวค่อนข้างมีอุปสรรค “อืม ถ้าอย่างนั้นแค่นี้ก่อน เพราะเค้าก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกัน” “แล้วพรุ่งนี้เจอกัน บาย” “อืม…บาย” คีตัญชลียื่นวิทยุคืนให้ชายหนุ่มตรงหน้า แววตาฉายความรู้สึกผิดจนอีกฝ่ายจับได้ “คุยกันเรียบร้อย” ปรานต์เอ่ยถามขณะกำลังรับวิทยุเพื่อมาเก็บเอาไว้ “ค่ะ น้องชายฉันจะรออยู่ที่นั่น” “ผมมีอาหารญี่ปุ่นมาด้วย คุณสนใจหรือเปล่า” เอ่ยถามในขณะที่ มือกำลังค้นหาอะไรบางอย่างที่อยู่ในกระเป๋า “อาหารญี่ปุ่น?” คีตัญชลีทำหน้างงเล็กน้อย เธอเลือกที่จะเดินกลับไปหาที่นั่งตรงจุด ที่คิดว่าไกลจากเขามากที่สุด มือก็กอดอกปิดบังส่วนสงวนไว้ตลอดเวลา “นี่ไง อาหารญี่ปุ่น” ชายหนุ่มพูดพลางชูสิ่งหนึ่งขึ้นมา “เนี่ยนะ! อาหารญี่ปุ่นของคุณ” “จะกินหรือไม่กินครับ” “กินสิ ถามได้” คีตัญชลีตอบกลับโดยไม่ต้องคิดเนื่องจากท้องของเธอมันเริ่มเรียก ร้องเสียแล้ว เห็นอีกฝ่ายหยิบหม้อต้มน้ำขึ้นมาแล้วอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ที่เขาต้องมานั่งทำอะไรให้เธอทั้งที่ไม่รู้จักกัน เมื่ออิ่มจากอาหารค่ำคือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของผู้พันจอมหื่นในสายตาของเธอแล้ว คีตัญชลีเริ่มนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ในขณะที่ดวงตากลมโต เหม่อมองไปยังกองไฟที่กำลังลุกโชนด้วยความรู้สึกผิดที่เข้ามาเกาะกุม หัวใจ เพราะถ้าเธอเชื่อน้องชายก็คงไม่ต้องมานอนกลางป่ากับชายแปลก หน้าแบบนี้ คิดพลางเหลือบตามองบุรุษตรงหน้า เมื่อมองแล้วต้องรีบหลุบตาหนี เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจับจ้องมายังตนเช่นกัน ปรานต์ไล่สายตาพินิจพิจารณาใบหน้ารูปไข่ที่ไร้เครื่องสำอางแต่ยัง คงดูสวยโดดเด่น มันพร้อมกับความน่ารักแบบที่เขาไม่เคยพบมาก่อน เขา ชอบมองเส้นผมสีเบจยาวสลวย กับนัยน์ตาสีดำขลับกลมโตที่ถูกล้อมไว้ ด้วยแพขนตายาวๆ จมูกโด่งพอประมาณส่วนปลายนั้นเชิดรั้นนิดๆ รวมกับปากกระจับทำให้เขามองเพลิน จนต้องเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นสาวเจ้ารู้ตัว ชายหนุ่มแสร้งหัวเราะออกมาเพื่อกลบเกลื่อนนิสัยที่แท้จริง “หัวเราะอะไรไม่ทราบ” “เปล่า ไม่มีเหตุผล ผมก็หัวเราะลมฟ้าอากาศไปเรื่อยเปื่อย” คำตอบแบบยียวนพร้อมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นั่นยิ่งทำให้อีกฝ่าย หนึ่งไม่เชื่อ “นี่คุณกำลังหัวเราะฉันอยู่ใช่มั้ยคะ” “บ้าเหรอ ผมจะหัวเราะคุณทำไม” ชายหนุ่มโยนเศษไม้แห้งเติมลงไปในกองไฟ แววตาฉายแววกรุ้มกริ่มตามสัญชาตญาณ “ผมก็แค่…แค่กำลังคิดว่า…คุณน่ะ ตกลงมา จากสวรรค์ชั้นไหนกันนะ” คนพูดชี้มือไปยังหน้าผาที่เธอตกลงมา เขาเกือบอ้วกเพราะคำพูดตัวที่ช่างคิดออกมาได้ ‘นี่มึงกำลังคิดจะจีบเธอหรือวะ’ จิตใต้สำนึกบอกเขา อย่างนั้น “ขอบใจนะที่ชมว่าฉันสวย” “นี่คุณ ผมเผลอพูดออกไปตอนไหนครับ” “ก็นางฟ้าตกสวรรค์ไงไม่เคยได้ยินหรือไง นางฟ้าก็ต้องสวยใช่มั้ยรึคุณจะเถียง” “นางฟ้าจอมโก๊ะสิไม่ว่า ผมถามจริงๆ เถอะไปเซ่อซ่าอีท่าไหนถึงได้ ตกลงมาแบบนั้น” ชายหนุ่มเอนกายลงนอนบนพื้นที่เขาใช้ใบไม้มาปูสุมทับกันจนหนา ใช้สองแขนสอดหนุนต่างหมอน สายตาแลเห็นรอยฟกช้ำดำเขียวบริเวณ แขนขาแล้วให้นึกสงสาร โชคดีที่เขามียาพาราและยาแก้ฟกช้ำติดตัวมา เลยให้เธอกินและทาเพื่อช่วยบรรเทาความปวดจากการกระแทก “ฉันไม่ได้เซ่อนะ…ก็แค่…แค่เผลอออกนอกเส้นทางเท่านั้นเอง” คีตัญชลีแกล้งทำเสียงอุบอิบให้ได้ยินอยู่คนเดียว ด้วยเกรงว่าเขาจะ สรรหาคำมาต่อว่าได้อีก “แบบนี้คงไม่เรียกว่าเผลอแล้วละมั้ง เขาเรียกว่าตะแบง ที่ห้ามก็จะทำ” แล้วก็เป็นอย่างที่หญิงสาวคิด เมื่อเขาเหน็บกันจริงๆ “ฉันก็แค่เสียดายกล้องที่ตกลงไปในน้ำ ตั้งใจจะตามไปเก็บแต่พลาด ก็เลยถูกกระแสน้ำพัดมาถึงที่นี่ แล้วก็เจอผีทะเลอย่างคุณ เอ้ย ไม่ใช่สิ ต้อง เรียกผีน้ำตกถึงจะเข้ากัน” “แค่กล้องตัวเดียวเนี่ยนะ ทำเดือดร้อนกันไปหมด โชคยังดีที่ตกลง มาตรงแอ่งน้ำพอดี ถ้าโชคร้ายไปกระแทกกับโขดหินผมคงได้แบกศพคุณ กลับไปจริงๆ แน่ ถามหน่อยเถอะห้อยพระอะไรถึงได้ดวงแข็งขนาดนี้” “ปากหรือน่ะที่พูด ให้ตายสิ ทำไมฉันต้องมาเจอผู้ชายแบบคุณด้วย นะ ซวยชะมัด” ประโยคหลังสุดเธอพูดให้ได้ยินคนเดียว แต่คนหูดีเป็นเลิศอย่าง ปรานต์นั้นได้ยินชัดเจนพอดี เขาเลยโต้กลับทันควัน “ผมสิซวย ที่จริงวันนี้ผมน่าจะได้พักผ่อน และกะว่าจะมาพักผ่อนนอนฟังเสียงน้ำตกสักคืน แต่กลับต้องมานั่งเฝ้าปฐมพยาบาลและดูแล คนบางคนเสียนี่…เฮ้อ” “ฉันไม่ได้ใช้ให้คุณมาช่วยเสียหน่อย จุ้นไม่เข้าท่า” คีตัญชลีเหน็บกลับไปด้วยความหมั่นไส้ ปากยื่นๆ และจมูกรั้นๆ ของคนชอบเอาชนะชวนให้ปรานต์คิดไปไกล…ความห่างหายจากผู้หญิงมานานทำให้เขาคิดไม่ซื่อกับเธอ… บุรุษผู้เข้มแข็งที่ถูกฝึกมาอย่างดีไม่ให้หวั่นไหวกับอะไรง่ายๆ ทำไมถึงมีความคิดแบบนี้ขึ้นมาได้ เขาแปลกใจในตัวเองจนต้องร้องห้าม หัวใจ สั่งการให้สมองที่เริ่มรวนกลับสู่สภาวะปรกติโดยเร็ว ก่อนที่มันจะรวน จนควบคุมไม่ได้ ‘ไอ้ปรานต์มึงหยุดเลย หยุดความคิดชั่วๆ ซะเดี๋ยวนี้’ “ทำไมเราถึงไม่ไปกันคืนนี้เลย ฉันเป็นห่วงน้อง” “ไม่ต้องกังวลหรอก รับรองเช้าวันพรุ่งนี้ผมส่งคุณกลับบ้านได้แน่ นอน แต่เวลานี้มันไม่เหมาะที่ผู้หญิงอย่างคุณจะต้องมาเดินป่า” “ไม่ใช่ว่าหลอกฉันไว้ แล้วรอเพื่อนคุณมาจับฉันไปเรียกค่าไถ่นะ” “เรียกสักกี่ล้านดีนะแบบนี้” คนพูดแสร้งกัดริมฝีปาก แววตาทอประกายวาววับให้อีกฝ่ายนึกกลัว “ฉันยิ่งไม่ไว้ใจคุณ ยังจะมาพูดให้กลัว ฉันกลัวคุณจริงๆ นะ อย่าทำอะไรฉันเลย” หญิงสาวสบกับนัยน์ตาสีเทาแสนเซ็กซี่ของชายหนุ่มตรงหน้าคล้ายกับขอคำมั่นสัญญา เธอไม่รู้ตัวหรอกว่าไอ้แววตาวิงวอนที่มาพร้อมกับสีหน้า เศร้าที่แสดงออกมานั้น ทำให้บุรุษตรงหน้าปั่นป่วนในหัวใจเพียงไร “ด้วยเกียรติของนักรบ” ชายหนุ่มรับคำพลางยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก รอยยิ้มที่ทำให้คนมองหัวใจปั่นป่วน ‘ถ้าเผลอใจลุ่มหลงไปกับเปลือกนอกของผู้หญิงจะทำให้มึงยุ่งยาก ในภายหลังนะโว้ยไอ้ปรานต์’ ปรานต์พยายามบอกตัวเองอย่างนั้น ยามนี้เขาอยากบีบคอตัวเองที่ ไม่น่าหาเรื่องเข้าป่า…ก็ใครจะไปคาดคิดว่าจะเจอผู้หญิงกลางป่า สงสัยเขา คงหนีผู้หญิงไม่พ้นจริงๆ คิดมาถึงตรงนี้ชายหนุ่มถึงกับหัวเราะให้ตัวเองที่โชคชะตาช่างเล่นตลกสิ้นดี ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนสถานการณ์ เขาลุกขึ้นไปทำอะไรบางอย่างกับ กระเป๋าตัวเอง คีตัญชลีเห็นเขาเทน้ำออกจากกระบอกเก็บความร้อน เพียง ไม่นานเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับแก้วที่อยู่ในมือ “ดื่มนี่สิ” โอวัลตินส่งกลิ่นหอมกรุ่นถูกยื่นมาตรงหน้า หญิงสาวรับมากระดกลงคอไปอึกหนึ่ง เพราะเริ่มรู้สึกว่าอากาศชักจะเย็นลงขึ้นทุกที แต่ก็ไม่วายหวาดระแวง “แน่ใจนะ…ว่าคุณไม่ได้ใส่อะไรลงไปในนี้” “ผมไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอกน่า รูปร่างอย่างคุณไม่ทำให้ผมหน้า มืดไปได้หรอก” พูดไปแล้วก็แทบกัดลิ้นตัวเอง ปรานต์กำลังคิดว่าเขาช่าง กล้าพูดอะไรที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึกออกมาได้ยังไงกัน “ย่ะ ให้มันจริง ฉันจะได้นอนหลับสบายไม่ต้องคอยระแวงผีน้ำตก อย่างคุณ” คีตัญชลีมองหน้าคู่สนทนาด้วยความหมั่นไส้ ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอตรงนี้ต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่มีเสน่ห์อยู่ในตัวเองโดยที่ไม่ต้องพยายาม แค่ไม่กี่ชั่วโมงที่พบหน้าแต่ก็มากพอที่จะทำให้หัวใจสะดุ้งสะเทือน เธอกำลังหลงใหลไปกับเปลือกนอกของเขาที่ห่อหุ้มปกปิดภายใน เอาไว้ และเธอไม่สามารถรู้ได้เลยว่าตัวตนที่แท้จริงของบุรุษตรงหน้าเป็น เช่นไร เธอชอบดวงตาของเขาที่ดูไม่เหมือนใคร มันแปลกตรงที่เขามีนัยน์ตา สีเทาเข้มที่ช่างรับกับแผงคิ้วเข้มได้อย่างลงตัว แววตาที่พร้อมจะหลอม ละลายเธอได้ทุกเมื่อถ้าเผลอไปสบตา มันดูมีอำนาจและความน่ายำเกรง “นี่ คุณผู้พัน ฐานของคุณไปอีกไกลมั้ย” คีตัญชลีเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบ เมื่อเธอเริ่มรู้สึกว่ากำลังถูก เขาเล้าโลมทางสายตา “ไกลสำหรับคุณ แต่ใกล้สำหรับผม…นี่คุณเดาเอาหรือว่านั่งทางใน ดูถึงได้รู้ว่าผมทำมาหากินอะไรน่ะ” ปรานต์เพิ่งนึกได้ว่าเธอรู้ได้อย่างไรว่าเขามีอาชีพอะไร “ฉันเป็นคนเดาอะไรเก่งอยู่แล้ว…ผู้พัน” หญิงสาวหัวเราะร่วนโชว์ลักยิ้มข้างขวา อันที่จริงเธอรู้สถานะของ เขาจากสมุดบันทึกที่วางไว้ในเต็นท์ต่างหาก “แสนรู้อย่างนี้น่าจับไปไว้ที่บ้านจัง” ปรานต์แกล้งยั่วให้อีกฝ่ายโกรธ แล้วก็ได้ผล “ฉันไม่ใช่หมานะมาว่าฉันแสนรู้ คุณน่ะก็ไม่ต่างกันหรอกเพราะ ปากมอมใช่ย่อย” “ขอบคุณครับที่ชม” “ฉันด่าย่ะ” “อ้าวเหรอ ทำไมผมถึงไม่รู้สึกเลยล่ะว่ากำลังถูกด่า” เขายิ้มใส่ตาคนตรงหน้าทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร “ถ้าอย่างนั้นหน้าคุณก็คงหนายิ่งกว่าปูนต์ซีเมนต์” “ดุแบบนี้…ผมว่านะคุณน่ะเหมาะที่จะเป็นเสือสมิงปลอมตัวมา มากกว่าจะเป็นนางฟ้า มันเข้ากับสถานที่ดี” “รู้ไว้ก็ดี เพราะว่าถ้าคุณลวนลามฉัน…ฉันจะจับคุณกินทันที” “ตายแล้วน่ากลัวจัง แล้วผมควรจะกลัวคุณหรือเปล่าเนี่ย…หืม” การที่เขาทำท่าขยับกาย มันช่างดูไม่น่าไว้วางใจในสายตาคนมอง มือเล็กควานหาไม้ที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด เธอเจอแต่เศษกิ่งไม้ผุๆ แต่ก็รีบกำมันเอาไว้เผื่ออีกฝ่ายพรวดพราดเข้ามา “อย่าลุกขึ้นมานะ! ถ้าขยับมาอีกนิดฉันจะฟาดให้หัวแตก” “ผมอยากลองมีเมียเป็นเสือสมิงดูบ้าง รสชาติจะเหมือนคนหรือเปล่าขอชิมหน่อยจะได้มั้ยคุณเสือ” “อยากตายก็ลองดู…ฉันไม่ได้ขู่” หญิงสาวขู่ฟ่อ เรียกเสียงหัวเราะขบขันให้ดังออกมาจากริมฝีปากร้ายกาจ “ก่อนที่ผมจะตาย ผมเกรงว่าคุณคงหมดเรี่ยวแรงเสียก่อนที่คิดจะ ทำอย่างนั้น” เขาแกล้งใช้สายตาเล้าโลมไปทั่วร่างสมส่วน ที่จริงจะว่าแกล้งก็ไม่ถูกเพราะมันคือนิสัยของเขาที่ติดตัวมาแก้ไม่หาย สายตาชวนให้ถูกตบหยุด นิ่งยังบริเวณหน้าอกที่เจ้าตัวยังคงกอดอกปิดไว้ไม่ให้เขาได้มองทะลุเนื้อผ้าเข้าไป “คนหื่นกาม ลามกไม่มีใครเกิน รู้อย่างนี้ฉันน่าจะจมน้ำตายไปให้รู้แล้วรู้รอด เป็นผีก็ดีจะได้ไม่ต้องมาเจอคนบ้ากามแบบนี้!” เสียงด่านั้นมาพร้อมกับกิ่งไม้แห้งปลิวหวือไปทางใบหน้าของปรานต์ จนชายหนุ่มต้องยกมือปัดป้องเป็นพัลวัน “ผมเจ็บนะคุณ เล่นอะไรเนี่ย” บ่นพลางยกมือขึ้นลูบคลำซีกหน้าข้างที่ถูกกิ่งไม้ เมื่อรู้สึกแสบบริเวณโหนกแก้มเล็กน้อย พลางคิดว่าเธอช่าง ปาแม่นยิ่งกว่าข้าศึกที่ยิงปืนใส่เขาเสียอีก “ถ้าผมเสียโฉมคุณจะต้องรับผิดชอบ ผมไม่ยอมจริงๆ นะ” “สมน้ำหน้า ที่จริงมันน่าจะเข้าตาให้บอด จะได้ไม่ต้องมาใช้สายตา แบบนั้นกับฉันอีก!” “เก่งนักนะ!” ชายหนุ่มไม่พูดเปล่า เขาลุกพรวดขึ้นแล้วปราดเข้าไปยืนจังก้าตรง หน้าคนปากดี เพราะจะสั่งสอนให้เธอสงบปากสงบคำด้วยการลงโทษเบาะๆ แต่เขาได้กำไร “โอ๊ะ!” คีตัญชลีทั้งตะโกนทั้งพยายามดิ้นเมื่อเขานั่งลงแล้วกระชากเธอเข้าไปกอดหน้าตาเฉย จนพากันล้มลงไปนอนกลิ้งบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษใบไม้ด้วยกันทั้งคู่ “อย่ามามั่ว มากอดฉันไว้ทำไม ปล่อย…ปล๊อยย” “ผมไม่เคยให้ใครมาทำร้ายร่างกายฟรีๆ หรอกนะ นี่คือค่าเจ็บตัวของผม” ไม่พูดเปล่า มือแกร่งโน้มใบหน้าเล็กเข้ามาใกล้พร้อมฝังจมูกลงบน พวงแก้มสาวแล้วสูดความหอมสดชื่นเข้าปอดจนเต็มรัก เพียงได้ลิ้มลองกลิ่นกายสาวก็ดั่งมีมนต์สะกดให้ดำดิ่ง ใบหน้าคมเคลื่อนลงต่ำลงไปยังซอกคอหอมกรุ่นแล้วซุกไซร้รุกรานกายสาวดั่งคนเมาที่ทำอะไรลงไปแล้วไม่รู้ตัว “คอยดูนะถ้าออกไปได้ฉันจะฟ้องต้นสังกัดให้คุณต้องอับอาย ถูกเด้งหรือไม่ก็ถูกขับออกจากราชการ คอยดู” หญิงสาวขู่ฟ่อตะโกนลั่น ขณะพยายามผลักดันใบหน้าของอีกฝ่ายให้ออกห่าง ตอหนวดที่เสียดสีกับผิวกายสาวก่อให้เกิดรอยแดงเป็นจ้ำตัดกับผิวขาวๆ ในความไม่ยินยอมมันมาพร้อมกับความรู้สึกวาบหวิวแปลกๆ ที่เจ้าตัวไม่รู้ว่ามันคืออะไร “คุณทำผมเจ็บตัว ผมทำผิวคุณเป็นรอย ถือว่าเจ๊ากันนะ” ‘หายกันบ้าอะไร ฉันนี่สิขาดทุน ไอ้คนทุเรศเอ๊ย’ คีตัญชลีใช้มือถูไปตามพวงแก้มและซอกคอที่ถูกเขาลวนลาม เห็นเขาเผยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างไม่ยี่หระกับสิ่งที่ทำ เมื่อเขายอมถอยห่างปล่อยให้เธอเป็นอิสระ หมัดเล็กก็สวนกลับไปเป้าหมายคือดั้งจมูกคมสันของคนตรงหน้า เธอจะต่อยเสียให้มันหักเลือดกระจาย “คนบ้ากาม นี่แน่ะ!” “โอ๊ย!” ดีที่เขาว่องไวเลยหลบทัน แต่มันก็เฉียดเข้าโหนกแก้มอีกข้าง สรุปคือทั้งหน้าซ้ายขวาเขามีแต่รอยฟกช้ำ พรุ่งนี้จะมีหน้าไปแก้ตัวกับลูกน้องยังไงนั้นเขานึกไม่ออกด้วยซ้ำ แน่นอนว่าจะต้องมีคนสังเกตโดยเฉพาะเพื่อนของเขา…ผู้กองทัตเทพตัวแสบที่ชอบรู้ทันกันเสียทุกเรื่อง “อูยย ดั้งหักแล้วมั้งคุณ ต่อยผมทำไม” “เปล่า ฉันตกใจมือก็เลยพลาด เวลาฉันตกใจแล้วมักจะลืมตัวอยู่เรื่อย ขอโทษนะฉันไม่ได้ตั้งใจ” หญิงสาวถอยกรูดไปไกลเพื่อความปลอดภัย เห็นเขายังคงนั่งลูบซีกหน้าข้างที่เพิ่งได้รอยช้ำ…สมน้ำหน้า หญิงสาวคิดในใจ “ฝากไว้ก่อนเถอะ” ชายหนุ่มเข่นเขี้ยวเนี้ยวฟัน ขณะรื้อค้นยาแก้รอยฟกช้ำเพื่อเอามาทาสกัดเอาไว้ “กลับออกไปผมจะฟ้องร้องคุณ ข้อหาทำร้ายร่างกาย และข้อหาทำให้ผมหัวใจกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง…คอยดู ยายแสบเอ๊ย” “ฉันง่วงแล้ว อยากนอน” “ก็นอนไปสิ ผมไปห้ามคุณตอนไหน มือเท้าก็ไม่ได้มัดไว้เสียหน่อย” “เอ๊ะ คุณนี่ ทำไมต้องกวนกันด้วยนะ” “ก็ผมอยากกวนนี่ครับ รู้ไหม คุณน่าจะภูมิใจด้วยซ้ำที่ทำให้ผมรู้สึก อยากคุยกับผู้หญิงขึ้นมาได้น่ะ” “ทำไม เป็นเกย์หรือไง” “แล้วแต่จะคิด แต่ถ้าอยากพิสูจน์ก็ได้นะ ผมก็เต็มใจ” “เหอะ ไปพิสูจน์กับคนอื่นเถอะ” “มีคนอยากพิสูจน์อีกเยอะแยะ ไม่สนเหรอครับโปรโมชั่นให้ทดลองฟรีทั้งคืน จะกี่ครั้งก็ได้ผมไหวรับได้ทุกสถานการณ์” ชายหนุ่มตะโกนไล่หลังคนที่รีบผลุบเข้าไปในเต็นท์ ได้ยินเสียงตะโกนสวนกลับมา “เชิญคุณนั่งเฝ้ากองไฟไปคนเดียวเถอะ และฉันขอแช่ง ให้เสือคาบคุณไปกิน”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD