บทที่๔อารมณ์ล้วนๆ(๑)

1700 Words
เรือนร่างอรชรของพัณณิตาเหยียดเกร็งไปทุกส่วนสัด เธอกำลังจะขาดใจตายเพราะความร้อนผ่าวที่พาดผ่านเนื้อตัวทุกตารางนิ้ว แม้จะมีชุดนอนของเธอและเขาเป็นตัวกั้นกลาง หากร่างกำยำที่เบียดเคล้าอยู่ตลอดเวลา แถมมือที่เคลื่อนขยับราวกับปลาหมึกยักษ์ อีกทั้งปากร้อนวูบวาบที่ขบผิวเนื้อนุ่ม ก็ล้วนสร้างความวาบหวิวให้ก่อเกิดไปทั้งสรรพางค์กาย “ผมอยากเห็นผิวของคุณทุกส่วน” คนตัวโตกระซิบเบาๆ ขณะอุ้งปากร้อนขยับไปตามปทุม ไม่นานชายเสื้อนอนก็ถูกรั้งขึ้นเรื่อยๆ จนมือน้อยๆ ต้องรีบตะครุบเอาไว้ “อย่านะ!” คนตัวบางพยายามเปล่งเสียงให้แข็งกระด้าง หากมันช่างแผ่วเบาจนคนฟังแทบไม่ได้ยิน แต่ถึงจะส่งเสียงดังก็ใช่ว่าแฟรงค์ แฮคตันจะได้ยิน ในเมื่อชายหนุ่มหลงเพริดไปกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของผิวพรรณเนียนสวย ที่ไม่ว่าจะลูบจับตรงไหนก็ช่างนุ่มละมุนมือไปหมด อีกทั้งชายเสื้อที่ถูกรั้งจนมองเห็นฐานดอกบัวงามก็ยิ่งทำให้ลมหายใจแผ่วช้า ลำคอนั้นแห้งผาก เพราะภาพตรงหน้ามันช่างได้รูปโค้งนูนน่ามองเหลือเกิน ไหนจะหน้าท้องแบนราบของเธออีกที่ชวนให้ฝังปลายจมูกลงดอมดม ปลายนิ้วเรียวเริ่มหันมาสะกิดกระดุมเสื้อนอนของตัวเองออกทีละเม็ด จนในที่สุดกระดุมเม็ดสุดท้ายก็ร่วงหลุดออกจากรังดุมโดยง่ายดาย อวดโชว์มัดกล้ามของแผงอกซึ่งมีไรขนอ่อนสีน้ำตาลเป็นกลุ่มๆ จากนั้นฝ่ามือร้อนผ่าวก็ลูบวนอยู่ที่เอวคอดกิ่ว ปากหยักขบเม้มเบาๆ บริเวณฐานทรวงสวย ขณะกำลังจะไต่ขึ้นสูง เสียงสั่นๆ ของอะไรบางอย่างที่สะเทือนอยู่บนโต๊ะเล็กข้างเตียงก็ทำให้คนตัวเล็กเริ่มดิ้นออกแรงต้านทาน “ปล่อยฉันนะ” คนที่ถูกหลอกลวงให้ตกอยู่ในภวังค์หวามกัดกลีบปากตัวเองจนห้อเลือด หมายจะให้ความเจ็บร้าวลบความวาบหวาม ก่อนจะยกมือผลักศีรษะทุยที่อยู่ในระดับสายตาให้ออกห่าง พร้อมกับขยับร่างกายตัวเอง พลางรั้งชายเสื้อลง ดวงตาสีน้ำตาลไหม้เหลือบมองโต๊ะข้างเตียงนั้นเพียงนิด แสงวูบๆ และอาการสั่นเบาๆ ของเจ้าเครื่องมือสื่อสารมันยังคงดังรบกวนอย่างต่อเนื่อง นาทีนี้ชายหนุ่มจึงพ่นลมหายใจทิ้ง ค่อยๆ ผละห่างจากความนุ่มเนียนของเรือนร่างอรชร ก่อนจะสบถบางอย่างออกมาอย่างหัวเสีย “บ้าชะมัด!” ร้องอย่างไม่สบอารมณ์เสร็จ ก็คว้าผ้าห่มผืนโตมาปิดความงามสะพรั่งที่ผลิบานล่อตาล่อใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ซึ่งหน้าจอปรากฏเบอร์ของน้องชายตัวแสบผู้ไม่รู้จักกาลเทศะมากดรับ แล้วกรอกเสียงห้วนๆ ตามไปสาย “มีอะไร” “ทำอะไรอยู่ครับพี่” คนปลายสายถามไถ่ด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์ “ที่นี่เมืองไทยนะเจ้าเฟียซ โทรมาเวลานี้พี่ก็ต้องหลับต้องนอนน่ะสิ” ตอบออกไปแล้วก็เหล่ตามองร่างอรชร ซึ่งตอนนี้เจ้าหล่อนกระถดกายไปอยู่อีกฟากฝั่ง แล้วรั้งผ้าห่มมาพันกายจนแทบมิดคอ ดีหน่อยที่ไม่กระวีกระวาดลงไปจากเตียง ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องทิ้งโทรศัพท์แล้วคว้าเจ้าหล่อนมาลงทัณฑ์ให้หนักๆ เป็นแน่ “หลับแล้วจริงๆ หรือครับ ดูเสียงเหนื่อยๆ ชอบกล ไม่ได้ทำอะไรกับสาวไทยอยู่ใช่ไหม” เฟียซ แฮคตันยังคงถามตามประสาคนอยากรู้ แต่แล้วก็เปรยเสียงเรียบตอบเอง “คงไม่ใช่หรอก พี่เกลียดสาวไทยจะตายไป” สาเหตุที่เฟียซพูดออกไปแบบนั้นก็เป็นเพราะทุกคนในตระกูลแฮคตันต่างรู้ดีว่า หัวใจที่แข็งกระด้างของแฟรงค์ แฮคตันมีผลพวงมาจากเรื่องใด หากเพราะไม่ใช่สาวไทยคนนั้นทรยศหักหลังแล้วละก็ ป่านนี้ตำแหน่งสะใภ้คนโตคงมีคนครอบครองไปเรียบร้อยแล้ว ด้านคนเป็นพี่ พยายามไม่พ่นหายใจทิ้ง ยอมรับว่าก่อนจะพบกับร่างอ้อนแอ้นของคนที่เขาเพิ่งจะลวนลาม ความรู้สึกเกลียดชังผู้หญิงไทยยกเว้นมารดาและน้องสาวนั้นยังลุกโชนอยู่ แต่ตอนนี้ความรู้สึกแบบนั้นมันกำลังแปรเปลี่ยน “นายมีอะไรถึงโทรมาป่านนี้” เมื่อหลุดจากภวังค์ก็รีบร้องถามทันที “ผมจะโทรมาบอกว่าอีกไม่กี่วันก็คงกลับไปดูงานที่โรงแรมใหญ่ได้แล้ว เพราะงานที่ดูไบจวนเสร็จแล้วครับ” รายงานจบก็ฉีกยิ้มกว้าง รอฟังคำเยินยออย่างเคย ทว่าพี่ชายบังเกิดเกล้ากลับเงียบสนิท คนโทรมารายงานจึงต้องรีบเอ่ยเย้า “พี่ไม่คิดจะชมน้องชายหน่อยเหรอ อุตส่าห์สะสางงานให้จนเรียบร้อย” ลูกชายคนที่สามแห่งตระกูลแฮคตันบ่นราวกับเป็นน้องนุชสุดท้องของบ้าน แต่เมื่อพี่ชายยังเงียบอยู่ จึงต้องเปลี่ยนเรื่องสนทนา “ว่าแต่ที่เมืองไทยเป็นยังไงบ้างครับ” “รอทีมโอดอลล์มาจัดการ” ชายหนุ่มตอบพลางลอบผ่อนลมหายใจทิ้ง เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่อยากกดตัดสายน้องชายบังเกิดเกล้า เจ้าตัวดีจะรู้บ้างไหมว่าเป็นคนทำลายอารมณ์หวามที่ลงทุนก่อมาจนมอดเป็นเถ้าถ่าน “ว้าว! ท่าทางงานนี้คงได้ถอนรากถอนโคนทั้งหมด” “มีอะไรอีกหรือเปล่า” “จะรีบวางไปไหนครับละครับพี่ ผมมีเรื่องตั้งหลายอย่างจะเล่าให้ฟัง” “พี่จะนอน” คนเป็นพี่ตอบแล้วเหล่สายตาไปมองร่างเล็ก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตาพอดี แค่ถูกเขาสำรวจเพียงนิด เจ้าหล่อนก็ขยับตัวแล้ววาดขาลงจากเตียงโดยไม่ลืมหยิบผ้าห่มไปคลุมตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และก่อนที่พัณณิตาจะเดินได้ก้าวที่สาม เจ้าพ่อโรงแรมก็รีบบอกน้องชายเสียงห้วน “แค่นี้นะ พี่ง่วงเต็มทีแล้ว” “ง่วงอะไรขนาดนั้นครับ” น้องชายสุดประเสริฐยังไม่ยอมวางสาย แถมยังโพล่งเสียงดังลั่นจนชายหนุ่มต้องยกโทรศัพท์ออกห่างจากโสตประสาท “หรือว่า...พี่กำลังออกกำลังกายอยู่จริงๆ” “นายเฟียซ!” เค้นเสียงตะคอก “หยุดพูดมาก ไม่อย่างนั้นพี่ฆ่านายแน่” “โอเคครับ สนุกให้เต็มที่นะครับพี่” ก่อนที่อารมณ์โมโหของพี่ชายจะพุ่งสูง ต้นสายก็รีบตัดบทแล้วกดตัดสัญญาณอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้คนเป็นพี่กัดฟันกรอดๆ แล้วรำพันก่นด่าอยู่ภายในใจ พร้อมกับที่โทรศัพท์เครื่องหรูก็ลอยละลิ่วไปอยู่กลางเตียงอย่างน่าเวทนา จากนั้นดวงตาสีน้ำตาลไหม้ก็เมียงมองหาคนตัวเล็ก แล้วสายตาก็ไปปะทะกับกองผ้าห่มที่ถูกทิ้งไว้หน้าประตูห้องน้ำ ขณะที่หูก็ได้ยินเสียงน้ำกระทบพื้น อึดใจต่อมาช่วงขากำยำก็ปรี่ไปที่ประตูห้องน้ำแล้วเคาะเรียกคนด้านในเบาๆ “ประภาภรณ์ เข้าไปอยู่ในนั้นนานแล้วนะ ออกมาสักที” รอไม่นานบานประตูก็เปิดออกกว้าง เผยให้เห็นใบหน้าเล็กซึ่งมีหยดน้ำเกาะพราวไปทั่ว มือบางยกขึ้นปาดป้ายออก แต่ดวงตากลมๆ ของเธอกลับก้มลงมองเพียงปลายเท้าเท่านั้น นาทีต่อมาร่างบางก็เบี่ยงตัวเดินออกห่าง หากยังไม่ทันได้พ้นช่วงตัวบึกบึน ชายหนุ่มก็คว้าแขนเล็กไว้ “ประภาภรณ์” ความเจ็บแปลบวิ่งแล่นเข้าไปในอก เธอจ้องมือที่กุมแขนตัวเองอย่างนึกโมโห พลางรู้สึกเกลียดชังปากเขาที่เอ่ยเรียกชื่อคนอื่นยิ่งนัก ทั้งๆ ที่เธอก็เคยบอกแล้วว่าตนเองชื่อพัณณิตา ไม่มีสมองจดจำเลยหรือยังไง คิดได้เท่านี้มือเล็กก็ปัดอุ้งมือใหญ่ให้หลุดออก พลางบอกเขาเสียงอ่อยทั้งน้ำตา “ถ้าจะไม่เป็นการรบกวนคุณมากจนเกินไปแล้วละก็ ได้โปรดเรียกฉันว่าลูกแก้ว” สิ้นเสียงนั้นชายหนุ่มก็ยอมปล่อยให้คนตัวเล็กเป็นอิสระ เธอจึงมุ่งปลายเท้าไปที่เตียงกว้าง แล้วล้มตัวลงนอน เห็นดังนั้นปากหยักได้รูปจึงรำพันชื่อหญิงสาวแผ่วๆ ในลำคอ ก่อนจะก้มหยิบผ้าห่มที่ถูกทิ้งไว้ จากนั้นก็มุ่งปลายเท้ากลับไปทิ้งตัวลงนอนใกล้ๆ ร่างบาง “ลูกแก้ว...” เอ่ยเรียกพลางขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะวาดท่อนแขนกำยำพาดเอวเล็ก “แค่กอดก็พอนะคะ ฉันเหนื่อยที่จะสู้รบกับคุณแล้ว ถ้าจะทำมากกว่านั้นได้โปรดฆ่าฉันให้ตายซะเถอะ” จบประโยคแข็งๆ เปลือกตาของพัณณิตาก็ค่อยๆ ปิดลง ก่อนที่จะหลับสนิท เธอก็รับรู้ได้ว่าแขนที่พาดอยู่บริเวณเอวคอดนั้นหายไปอย่างช้าๆ ส่วนเตียงที่ยุบยวบเพราะเรือนกายกำยำมันก็ดีดเด้งกลับมาอยู่ในสภาพเดิม ข้างๆ ตัวไร้ซึ่งความอบอุ่น ชั่วอึดใจร่างแน่งน้อยก็ต้องสะดุ้งเพราะแรงประตูปิดดังปังจนบ้านแทบสะเทือนไปทั้งหลัง เจ้าของเรือนกายกำยำก้าวออกจากห้องนอนด้วยอารมณ์ไม่เป็นปกติ ริมฝีปากเม้มสนิทคล้ายเส้นตรง ปลายเท้าหนาใหญ่ก้าวหนักๆ ลงจากชั้นสองของบ้าน ก่อนจะปรี่ไปนั่งอยู่เดียวดายที่บาร์เครื่องดื่ม ตรงหน้ามีบรั่นดีขวดใหญ่กับแก้วหนึ่งใบซึ่งมีแอลกอฮอลล์อยู่ในแก้วเกือบครึ่ง ปลายนิ้วข้างขวายกเกลี่ยเบาๆ บนปากหยัก เหตุที่ต้องก้าวออกมาจากห้องนอนนั่นก็เพราะว่าอารมณ์พิศวาสที่คุกรุ่นอยู่ในร่างกายมันยังคงโหมกระพือจนน่ากังวล เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจ้าพ่อโรงแรมต้องตกอยู่ในภาวะที่ความต้องการไม่สมปรารถนา หนำซ้ำยังเป็นฝ่ายถูกห้ามปรามไม่ให้แตะต้อง เพราะปกติที่ผ่านมามีแต่ชายหนุ่มเท่านั้นที่เป็นฝ่ายเอ่ยไล่ผู้หญิง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD