บทที่๑คนบ้าอำนาจออกโรง(๒)

1610 Words
“ผมรู้ว่าที่นี่มีปัญหา ผมก็เลยรีบมาจัดการครับ” รีบแก้ตัวเร็วรี่ พลางส่ายหน้าให้ดาราดังซึ่งหิ้วติดไม้ติดมือมาด้วย ถอยห่างออกจากเรือนกายกำยำ เพราะตอนนี้เจ้าหล่อนกำลังใช้ริมฝีปากร้อนๆ ยุ่มย่ามอยู่แถวๆ ซอกคอ แถมยังร้องเรียกเสียงหวานอีกต่างหาก “เมื่อกี้เสียงอะไร พี่ได้ยินเหมือนเสียงผู้หญิง” คนปลายสายหูดีรีบโพล่งออกมา “นี่นายลากสาวเข้าโรงแรมอีกแล้วหรอ” “เปล่าครับ” เฟียซปฏิเสธรัวเร็วพลางอธิบาย “แม่บ้านทำความสะอาดน่ะครับ พอดีห้องที่โรงแรมมันรกไปหน่อย” “เหรอ!” คนรู้ทันว่าด้วยการประชด “มีเสียงจูบปากมาตามสายด้วยเนี่ยนะ” “โธ่...พี่ ไม่ใช่สักหน่อย ผมกำลังปฏิบัติหน้าที่ให้พี่อย่างขะมักเขม้นอยู่ต่างหาก รับรองได้ว่าโรงแรมที่นี่จะเรียบร้อย เอ่อ...ถ้าพี่ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอไปสั่งงานแม่บ้านต่อได้ไหมครับ” “ไม่ได้!” แฟรงค์รีบคัดค้าน แล้วเอ่ยยาวเหยียด “นายยังไม่ได้ตอบคำถามของพี่อีกหนึ่งเรื่อง ไหนลองบอกมาสิ สามเดือนก่อนนายไปดูโรงแรมที่เมืองไทยใช่ไหม แล้วดูยังไงมันถึงได้ขาดทุนร่วมสิบล้านแบบนั้น” “ก็พอดี...” “ตาแก่ทรงพลมีลูกสาวสวย นายก็เลยปิดปากเงียบ” พี่ชายผู้รู้ไส้พุงรีบโพล่งแทรก ก่อนจะติเตียนในประโยคต่อมา “เฟียซ ถ้านายไม่เลิกนิสัยแบบนี้ พี่จะคุยกับพ่อ แล้วจะลดตำแหน่งนายจากรองประธานเป็นเพียงแค่พนักงานขับรถของบริษัทเท่านั้น เข้าใจไหม!” “เพราะรู้ไงครับ ผมถึงได้หนีมาดูงานที่นี่ให้” คนกำลังวาบหวิวอยู่กับบทรักร้อนๆ ของดาราดังรีบบอก “เอาน่า...พี่ไม่ได้ไปเมืองไทยมาตั้งหลายปี ก็ลองไปดูสักหน่อยสิครับ ผมจะกระซิบบอกอะไรดีๆ ให้นะครับ สาวไทยน่ะทั้งสวยทั้งน่ารัก พอยิ้มทีผมแทบจะละลายกลายเป็นไอ หนำซ้ำยังใจดี อ่อนหวานเป็นที่หนึ่ง รับรองเยี่ยมยอดกว่าคนเก่าของพี่แน่ๆ” “นายไม่ต้องบรรยายสรรพคุณพวกนั้น เพราะต่อให้พูดจนปากฉีก นายก็เปลี่ยนทัศนคติพี่ไม่ได้หรอก ผู้หญิงที่ไหนมันก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครดีสักคน อ้อ! ยกเว้นมัมอภิศรากับยัยลูกพีชตัวแสบ” “ครับคุณพี่ชายบังเกิดเกล้า แล้วชาตินี้ผมจะมีพี่สะใภ้ไหมเนี่ย” หนุ่มหล่ออยู่อีกประเทศของโลกบ่นอุบ แล้วรีบตัดบทอย่างรวดเร็ว “ถ้าอย่างนั้นไปเมืองไทยคราวนี้ พี่ก็อย่าลืมหิ้วสาวมาฝากผมบ้างนะ ตอนนี้ผมขอไปจัดการกับแม่บ้านก่อน เธอทำงานไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ” “เฟียซ!” เจ้าพ่อหนุ่มได้แต่เรียกชื่อน้องชาย เมื่ออีกฝ่ายกดตัดสายไปซะดื้อๆ สักพักก็ยกมือถือออกห่างจากใบหูสะอาด แล้วนำมาวางไว้ตรงหน้า พลางกระตุกยิ้มเย็น“ชาตินี้นายคงไม่มีวันได้เห็นเมียพี่หรอกเจ้าเฟียซ” ออกปากแค่นั้น ร่างสูงก็ยืดตัวขึ้น แล้วก้าวยาวๆ หมุนตัวไปมองทัศนียภาพของเมืองแมนฮัตตัน มือทั้งสองข้างสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงราคาแพง ลมอุ่นร้อนถูกระบายออกจากปากหยักได้รูป ที่ชายหนุ่มเปรยแบบนั้นออกมา นั่นก็เพราะในอดีตเคยรักและหลงใหลผู้หญิงคนหนึ่ง เธอนั้นสวยบาดตาบาดใจ จนถึงขั้นเจียนจะขอเธอแต่งงาน แต่แล้วทุกอย่างมันก็พังทลายลงไปในพริบตา เพียงเพราะเห็นภาพของสองหนุ่มสาวอิงแอบแนบชิดกันจนไร้ช่องว่างอย่างไม่อายฟ้าดินภายในห้องพักของโรงแรมตัวเอง เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ชายหนุ่มเกือบลงมือฆ่าคนรัก พร้อมๆ กับชายชู้ซึ่งเป็นเพียงผู้จัดการโรงแรมทิ้ง “เจ้านายครับ” ลูกน้องตัวดีที่ยืนนิ่งอยู่นานร้องเรียก “ตกลงเราต้องไปเมืองไทยจริงๆ ใช่ไหมครับ” “อืม...” เมื่อถูกทำลายภวังค์ความคิด แฟรงค์จึงครางรับในลำคอ ก่อนจะหมุนกายกลับมาเผชิญหน้า “นายไปจัดการเรื่องการเดินทางให้เรียบร้อย ฉันจะได้รีบจัดการเรื่องบ้าๆ พวกนี้ให้จบสิ้นสักที” “แล้วเราจะอยู่สักกี่วันครับ” “ไม่รู้เหมือนกัน คงจนกว่าเรื่องทางนั้นจะเรียบร้อยนั่นแหละ” แบรด เอ็ดสันพยักหน้าน้อยๆ แล้วขอตัวไปจัดการงานของตัวเองเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเยือนประเทศไทย ประเทศที่ไม่ได้หวนกลับไปเยือนนานนับห้าปีเต็ม แม้เป้าหมายจะเป็นการทำงานอันแสนหนักอึ้งร่วมกับเจ้านายหนุ่ม ทว่าความงดงามของเมืองไทยก็เป็นแรงกระตุ้นชั้นดีที่จะให้หนุ่มแมนฮัตตันคนนี้อยากไปเยือนเป็นร้อยๆ ครั้ง สองหนุ่มหล่อต่างสถานะใช้เวลาร่วมยี่สิบสี่ชั่วโมงในการบินข้ามโลก และเมื่อมาถึงประเทศไทยก็มีเจ้าหน้าที่จากโรงแรมขับรถคันหรูมารับเพื่อพาไปยังโรงแรมในเครือแฮคตันโฮลล์ กลางเมืองกรุงเทพฯ ตลอดทางที่รถวิ่งผ่านก็เห็นแสงไฟหลากสีที่ประดับอยู่ริมถนนและตึกรามบ้านช่องซึ่งหนาแน่นจนแทบไม่มีว่างเว้น แฟรงค์ แฮคตันปิดเปลือกตาลงทันทีที่เข้ามานั่งในรถ ชายหนุ่มเกลียดการเดินทางอันแสนยาวนานเป็นชีวิตจิตใจ น้อยครั้งที่จะนั่งเครื่องบินไกลๆ หากไม่ติดเรื่องมีคนฉ้อโกงนับสิบล้านแล้วละก็ สาบานได้ว่าเจ้าพ่อหนุ่มจะไม่กลับมาเหยียบเมืองไทยอีก ด้วยการจราจรอันติดขัด จึงทำให้รถเบนซ์เคลื่อนไปได้ราวกับเต่าคลาน และต้องใช้เวลาถึงสองชั่วโมงจึงจะมาถึงโรงแรมในเครือซึ่งถูกใช้เป็นที่พักและที่ทำงานของเจ้าพ่อหนุ่มหล่อ และเมื่อรถจอดหน้าโรงแรมใหญ่สูงเจ็ดสิบชั้นเรียบร้อย ลูกน้องอย่างแบรดจึงเอ่ยบอกเบาๆ “เจ้านายเรามาถึงโรงแรมแล้วครับ” “อืม...” ชายหนุ่มครางรับในลำคอเสียงแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาอย่างช้าๆ เมื่อภาพตรงหน้าชัดเจนจึงก้าวลงจากรถโดยมีพนักงานโรงแรมมาเปิดประตูให้อย่างสุภาพ ร่างสูงยืดตัวตรงหมายจะลดความเมื่อยล้า ดวงตาสีน้ำตาลไหม้จ้องเขม็งไปยังตัวโรงแรมซึ่งได้มาเยือนเป็นครั้งที่สองในชีวิต ก่อนจะทอดถอนหายใจพรืดใหญ่ ขายาวๆ เตรียมก้าวเข้าสู่ด้านใน แต่ก็เอี้ยวตัวกลับมาสั่งงานลูกน้องก่อน “แบรด จัดการนัดประชุมผู้บริหารโรงแรมให้ด้วยนะ พรุ่งนี้เก้าโมงตรงจะได้จัดการเรื่องยุ่งๆ สักที” “ได้ครับ” คนสนิทรับคำสั่งด้วยท่าทีกระฉับกระเฉงแกมตื่นเต้นที่ได้มาเหยียบแผ่นดินประเทศไทย ปล่อยให้คนเป็นนายส่ายหน้าเแล้วก้าวสู่ด้านในโดยมีแบรดเดินตามไปติดๆ บอดี้การ์ดหนุ่มขึ้นลิฟต์ไปส่งเจ้านายจนถึงหน้าห้อง ก่อนยื่นโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อกับครอบครัวให้อย่างเคย เพราะเมื่อไรที่แยกกับคนเป็นนาย ต้องคืนโทรศัพท์เครื่องนี้ทุกครั้ง “ขอบใจ นายไปพักเถอะ” แฟรงค์บอกแล้วก็เปิดประตูออกกว้าง แต่ก็ถูกทัดทานด้วยสุ้มเสียงติดจะหวังดี “เอ่อ...เจ้านายจะให้ผมเรียกดาราสวยๆ สักคนมาบริการไหมครับ” ดวงตาคมกล้าวาวขึ้น พร้อมๆ กับริมฝีปากหยักสวยเหยียดออก ก้าวเพียงครั้งก็ประชิดตัวลูกน้องหนุ่มได้สำเร็จ มือหนาวางลงบนไหล่กระด้างของแบรด เอ็ดสัน แล้วตบหนักๆ ไปสองที “นายลืมไปหรือเปล่า ฉันไม่ใช่เจ้าเฟียซนะ ฉะนั้นไม่ต้องสรรหาผู้หญิงหน้าไหนมาให้ฉันทั้งนั้น แต่ถ้านายอยากทำตำแหน่งนั้นด้วย ก็ย้ายก้นตัวเองเดินตามเจ้าน้องชายตัวแสบของฉันไปได้เลย” ลูกน้องพ่วงหลายตำแหน่งตีหน้าแหย เจ็บที่ไหล่กระด้างไม่พอ ยังมาเจอคำพูดแกมหยิกกัดสาดใส่หน้าอีก และเพียงเจ้านายบังเกิดเกล้าหมุนตัวเข้าห้อง แล้วปิดประตูดังโครม แบรดก็ต้องรีบยกมือทาบทับอกด้านซ้ายของตัวเองในทันที “เฮ้อ...นึกว่าหัวใจจะวายซะแล้ว” รำพันแผ่วๆ แค่นั้น ก็รีบหมุนกายลงไปยังห้องพัก จัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย แบรดก็ไม่ลืมปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้านายหน้าหล่ออย่างเคร่งครัด กระนั้นก็อดขยาดแทนคนที่กระทำการผิดพลาดไม่ได้ นี่แหละนะเล่นกับใครไม่เล่น ดันมาเล่นกับตระกูลแฮคตันซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อแห่งวงการโรงแรมที่โหดไม่ต่างจากมาเฟียฮ่องกง เช้าวันต่อมา ในเวลาเฉียดใกล้เก้าโมงเช้า ผู้จัดการทุกฝ่ายของโรงแรมในเครือแฮคตันโฮลล์ทยอยกันเข้าสู่ห้องประชุมใหญ่ของบริษัท ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนทำหน้ายุ่งเนื่องจากถูกเรียกตามตัวด่วน โดยบางคนก็ได้รู้ข่าวตั้งแต่เมื่อคืน แต่ก็มีบางคนที่เพิ่งรู้เมื่อเช้านี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็กำลังส่งเสียงโวยวายด้วยความหงุดหงิดอยู่บริเวณหน้าห้องประชุม “ใครเรียกประชุมในวันนี้ไม่ทราบฮ้า! คุณสมรศรี” คุณทรงพล คติธนากรณ์ ผู้นั่งแท่นบริหารโรงแรมแฮคตันโฮลล์ สาขากรุงเทพฯ ร่วมเจ็ดปี ถามเลขาฯ วัยสี่สิบปีของตัวเองด้วยดวงตาเกรี้ยวกราด ขณะนำพาร่างสูงที่มีพุงย้อยล้นเข็มขัดออกมาจนป่องคล้ายกับคนท้องก้าวมาใกล้ แล้วชี้กราดไปยังประตูห้องประชุม “ฉันถามทำไมไม่ตอบล่ะคุณสมรศรี” กดเสียงลงต่ำจนคนฟังขนลุกวาบ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD