ณวกาญจน์ตื่นเช้าเสมอ ไม่ว่าจะเป็นสมัยใช้คำนำหน้าว่าเด็กหญิง นางสาว หรือแม้แต่ตอนนี้เธอยังใช้คำว่านางสาวแต่นามสกุลใช้ของตุลาแล้วก็ยังคงกิจวัตรเดิมไม่เปลี่ยน
ลุกขึ้นจัดแจงเรื่องส่วนตัวจนเรียบร้อยแล้วจึงเปิดประตูห้องตรงไปยังโต๊ะอาหาร แต่แล้วกลับพบว่าชายคนรักตื่นเช้ากว่าตนเสียอีก ยิ้มให้แผ่นหลังของเขาที่เพียงแค่เห็นก็รู้ว่าอบอุ่นเพียงไหน
จากชายหนุ่มดูสูงลิบลับจับต้องไม่ได้ในวันวาน มาวันนี้คล้ายเขากำลังเปลี่ยนตัวเองเพื่อเธอมากเสียจนพูดได้เต็มปากว่า ไม่ผิดหวังเลยที่เลือกรักเขา
และไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรเธอก็รักเขาจนหมดหัวใจไปแล้ว
ก่อนหน้าที่เจอเขาในร้านของวาสนา เธอไม่เคยรู้เลยว่าเขาทำอาหารได้ และทำได้อร่อยมากขนาดนี้ ยิ่งรู้จักอีกด้านของเขามากขึ้นเท่าไร ณวกาญจน์ก็ยิ่งรู้สึกรักเขามากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ถามด้วยระดับเสียงที่พอจะทำให้เขาได้ยิน
“ทำอะไรคะพี่ตุลย์”
“ข้าวต้มอันธพาล” ตุลาตอบทั้งที่ยังง่วนอยู่กับอาหารบนเตา
“ข้าวต้มอันธพาล?”
เหลือบตามองบนหน่อยหนึ่งแล้วเดินไปหยิบปลาสลิดหั่นเป็นชิ้นพอดีคำสีเหลืองทองกรอบน่ากิน ที่ทอดเสร็จวางให้สะเด็ดน้ำมันบนตระแกรงเข้าปากบ่นงึมงำ
“ห้าบาทสิบบาทก็เล่นหรือคะ ไม่เห็นขำเลย”
ตุลาพลิกชิ้นปลาในกระทะไม่วายบ่นเธอคืน
“กินอาหารห้ามคุย”
แกล้งเรียกเขางอนๆที่ทำมาย้อนคำของเธอ “พี่ตุลย์…”
ตุลายืนยิ้มยังคงง่วนกับงานตรงหน้า แกล้งไล่เสียงดุ
“ไปรอที่โต๊ะเลยไป เกะกะจัง”
ได้ยินเขาไล่แล้วแต่ยังเดินไปสวมกอดตุลาจากทางด้านหลัง อ้อนเสียงอ่อน “ให้เปรมช่วยไหมคะคุณชาย” ถามทั้งๆที่ตนเองทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง
“ยกหม้อรามชามช้อนออกไปก่อน เดี๋ยวพี่ทอดปลาสลิดกับยำเกี้ยมฉ่ายเสร็จแล้วจะเอาออกไปวางไว้ให้”
ถอนใจเฮือก เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเมนูโปรดของเธอขึ้น บอกเสียงหงอยลงมาระดับหนึ่ง
“คิดถึงพ่อจังเลยพี่ตุลย์ ตอนเด็กๆพ่อก็ชอบทำให้เปรมกินแบบนี้” แผ่นหลังของตุลาเกร็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาลอบผ่อนลมหายใจเบาๆเมื่อได้ยินหญิงสาวเอ่ยถึงบุพการีของตนเอง
แต่แล้วเจ้าหล่อนก็รีบปรับอารมณ์มัวซัว หันไปชมเขาเสียงหวานจ๋อย “พี่ตุลย์น่ารักจังเลย”
“เพิ่งรู้?”
“รู้ตั้งนานแล้วค่ะ แล้วพี่ตุลย์รู้ไหมว่านอกจากพ่อแล้วก็มีพี่ตุลย์นี่แหละที่เปรมรัก รักมาก รักมากที่สุดเลยน่ะ”
“ก็รู้น่ะสิ รักพี่ตรงไหนบอกให้ชื่นใจสิ”
ณวกาญจน์นิ่งไปอึดใจ ถึงบอก
“พี่ตุลย์เป็นคนสุภาพมาก”
ได้ยินข้อแรกของเธอแล้ว สีหน้าของตุลาเปลี่ยนสีในทันที เขาหันหลังให้เธอ แสร้งวุ่นวายกับงานครัวต่อ อันที่จริงก็พอจำได้หมดแล้วเพราะณวกาญจน์พูดกรอกหูบ่อยจนแทบจะท่องจำได้ขึ้นใจ
‘พี่ตุลย์สุภาพ อ่อนโยน เป็นผู้ใหญ่ แล้วก็ใจเย็นมากๆ’
ก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเอง
“พี่ตุลย์”
ตุลากระแอมทีหนึ่ง ตอบรับสั้นๆทำท่าทางให้ดูวุ่นวายอยู่กับอาหารเช้าของเธอ ณวกาญจน์มุ่ยหน้าเรียกเขาอีกที
“พี่ตุลย์น่ะ”
“อะไรล่ะ พูดมาสิ”
“หันมามองเปรมหน่อย”
ชายหนุ่มเลยต้องละงานหน้าเตา มาสบตาพเยิดหน้าให้เธอพูด
“พี่ตุลย์มีอะไรห้ามปิดเปรมนะ”
“อือ”
“ห้ามมีความลับกับเปรมทุกเรื่องเลย”
“เออ” แกล้งทำเสียงรำคาญใส่เธอ ณวกาญจน์หรี่ตาลงแล้วว่าต่อ
“ข้อสุดท้าย ห้ามนอกใจเปรม”
“โอย ข้อสุดท้ายไม่ต้องมาขอหรอก”
“ทำไมคะ”
“ก็ไม่มีทางเลยน่ะสิที่พี่จะนอกใจเปรมได้”
“ฮึ ที่ห้ามนอกใจ ไม่ใช่ไปนอกกายกับคนอื่นนะ ห้าม! เข้าใจไหมคะ”
“เข้าใจครับผม”
“เปรมจะคอยดูค่ะ”
“พี่รักเปรมจะตาย นอกกายนอกใจเราได้ไง”
“เปรมก็รักพี่ตุลย์ค่ะ” เจ้าหล่อนบอกเสียงแผ่ว ก่อนจ้องตาเขาแล้วย้ำต่อ “รักมากๆด้วย รู้ไหม ห้ามทำให้เปรมเสียใจนะ”
ตุลาพยักหน้าแล้วยิ้ม ทำขอแบบเนียนๆ
“รักก็จุ๊บที” เขายื่นปากออกรอท่า มองแล้วอดยิ้มไม่ได้ ฝืนกลั้นเอาไว้จนปวดแก้มแล้วค่อยยื่นหน้าเข้าไปหาเขาช้าๆก่อนเบี่ยงไปจุ๊บที่ติ่งหูของเขาแทน
"โอ๊ะ!" ตุลาสะดุ้ง ร้องเสียงหลง
“เดี๋ยวเถอะ ชอบยั่วกันเรื่อยเลย ครั้งหน้าพี่ทนไม่ไหวนะ อย่ามานอนร้องไห้กระซิกๆว่าพี่ล่ะ”
ตุลามีจุดอ่อนบริเวณติ่งหู ยิ่งเวลาถูกสัมผัสด้วยริมฝีปากแบบไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ เขาจะขนลุกขนชันเสมอ ณวกาญจน์ที่บังเอิญรู้เข้าจึงนำมาแกล้งเขาอยู่เรื่อย อดหัวเราะเสียงดังอย่างถูกใจไม่ได้แล้วเลิกคิ้วล้อเลียน เดินไปหยิบข้าวของตามที่เขาบอกไปตั้งวางที่โต๊ะ ถาม ขณะจัดของบนโต๊ะอาหาร
“วันนี้ไม่เข้าออฟฟิศหรือคะ”
“ไปครับ เดี๋ยวพี่กินข้าวกับเราก่อน”เขาบอกขณะตักชิ้นปลาออกใส่จาน ถามต่ออีก “แล้ววันนี้มีโปรแกรมจะไปไหนบ้าง”
ณวกาญจน์นิ่งคิด แล้วตอบ
“ว่าจะทำงานอยู่ที่ห้องนี่แหละค่ะ ไม่ได้ไปไหน”
“มีงานอะไรให้ทำ จะเขียนนิยายอะไรนั่นน่ะหรือ อย่าทำเลยเดี๋ยวได้ปวดท้องอีกหรอก”
“ค่ะ” ตอบรับสั้นๆ หยิบรีโมตขึ้นเปิดทีวีดู เป็นจังหวะที่มีข่าวนำเสนอเรื่องฆาตกรรมพอดี ฟังจนจบจึงหันไปคุยกับตุลา
“พี่ตุลย์ได้ฟังข่าวเมื่อกี๊ไหมคะ”
คนถูกถามนิ่งไปอึดใจ ถาม “มีอะไรหรือ พี่ไม่ทันฟัง”
“ฆ่ากันแถวๆบ้านพี่ตุลย์ไง ท่าจะเป็นพวกมีอิทธิพลด้วยนะ พวกมาเฟีย พวกนี้ต้องขายยา ไม่ก็ขายอาวุธเถื่อนแน่ๆเลยค่ะ”
เพราะมัวแต่เล่ารายละเอียดของข่าว ตามองจอสี่เหลี่ยมทั้งยังหยิบของบนโต๊ะกินไปพลาง จึงไม่เห็นว่าตุลาชะงักราวถูกไฟช็อตไปครู่หนึ่ง
“เปรมเกลียดมากเลยนะพวกเลวๆพวกนี้เนี่ย สาธุ ขออย่าให้ได้เจอะได้เจอกันเลย” บอกจบพนมมือขึ้นทำท่าไหว้ประกอบ
ตุลาเหลือบมองคนรักด้วยแววตาหม่นแสงลงเล็กน้อยก่อนจางหายไป ลอบถอนหายใจเบาๆ ที่ณวกาญจน์เกลียดพวกมีอิทธิพล จำพวกมาเฟีย ขบวนการค้ายาเสพย์ติด ค้าของเถื่อนและอื่นๆที่ผิดกฎหมายทุกอย่างชนิดฝังหัวขนาดนี้ เขาเคยถามอยู่ที ได้คำตอบว่าพ่อของเธอถูกดักยิงจนเสียชีวิตจากมือปืนที่อ้างว่ายิงผิดตัว
พ่อของณวกาญจน์เป็นผู้นำชุมชนท้องถิ่นที่ใสซื่อมือสะอาด น่าจะเข้าไปขัดผลประโยชน์กับผู้มีอิทธิพลจึงถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมเช่นนั้น
และตุลาก็รู้จากปากของวาสนามาอีกว่า ณวกาญจน์รักพ่อของเธอมาก เพราะตั้งแต่คลอดออกมาก็เป็นท่านที่เลี้ยงณวกาญจน์มาโดยตลอด ต่างจากบ้านอื่นที่มีแม่คอยดูแลลูก แต่บ้านของเจ้าหล่อนมีบิดาที่ทำหน้าที่ในบ้านทุกอย่างรวมไปถึงเลี้ยงดูบุตรสาวคนเดียวคนนี้ด้วย ด้วยความรักอย่างสุดดวงจิตดวงใจ ตอนที่รู้ข่าวว่าพ่อถูกยิงตาย ตอนนั้นณวกาญจน์ยังเป็นแค่เด็กหญิง ก็ถึงกับช็อคไปเลยและกลายเป็นคนไม่พูดไม่จาอยู่เป็นปีๆ อาจารย์ณหทัยเครียดมาก นอกจากต้องเสียสามีไปแล้ว ลูกสาวยังมาเป็นแบบนี้อีก แกพาณวกาญจน์ไปรักษาอยู่หลายที่กว่าจะกลับมาอาการดีขึ้นได้ พอเจ้าหล่อนก้าวเข้าสู่วัยรุ่นมารดาก็เสียชีวิตลงด้วยการถูกยิงเช่นเดียวกันกับบิดาของตน
ชายหนุ่มมองหญิงสาวคนรักด้วยสายตาเรียบนิ่งที่อ่านไม่ออก พลันลอบถอนหายใจยาว สงสารคนรักจับหัวใจ และก็มีความรู้สึกหนึ่งเสียดแทงในหัวใจของเขาด้วยเช่นกัน
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังแว่วออกมาจากด้านในห้อง ณวกาญจน์จึงปลีกตัวเดินเข้าไปหยิบมากดดูก่อนรับสาย
‘คุณณวกาญจน์หรือเปล่าคะ’
“ค่ะ”
‘ดิฉันโทรมาจากโรงพยาบาล…นะคะ’
ปลายสายแจ้งความจำนงของคนป่วยจบถึงได้ตัดการสนทนาไป
ณวกาญจน์กำลังใจหายเมื่อนึกถึงคนที่นอนเจ็บอยู่และทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้งให้ทราบ ว่าคนป่วยระบุชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของเธอเอาไว้ให้ติดต่อกลับ
เช้านี้จึงไม่ได้อยู่รับประทานอาหารข้าวเช้ากับตุลา
หลังวางสายหญิงสาวตรงไปยังโรงพยาบาลที่เป็นจุดหมายทันทีด้วยใจร้อนรน
สภาพของคนบนเตียงย่ำแย่มากจนณวกาญจน์เห็นแล้วใจหาย น้ำตาซึม
ดวงตาข้างซ้ายม่วงและมีเส้นเลือดแตกในส่วนที่เป็นเนื้อของตาสีขาว ใบหน้าซีกเดียวกันช้ำเหมือนมะม่วงใกล้เน่า แขนขานั่นอีกยังมีทั้งรอยแผลและรอยถลอกอยู่เต็มไปหมด
“พัดต้องแจ้งความเอาผิดคนแบบนั้นนะ”
บอกเป็นประโยคแรกเมื่อเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย จนมาหยุดที่ขอบเตียง พรรษมนส่ายหน้าเบาๆให้เป็นคำตอบ หลบตาแล้วว่า
“ไม่ค่ะพี่เปรม พัดไม่อยากมีเรื่องมีราวให้ต้องปวดหัว แค่นี้ก็...”
“ทำไมเป็นแบบนี้ พี่ไม่ชอบเลยเถอะ ทำไมต้องไปยอมมัน ผู้ชายที่ทำกับผู้หญิงได้ถึงขนาดนี้ ไม่ใช่คนดีนะพัด เอางี้เดี๋ยวพี่โทรหาคนรู้จักพี่ ให้เขาช่วยเราดีไหม”
ทำเป็นคุยโวไปอย่างนั้นเอง นอกจากตุลา และญาติผู้น้องที่กำนันอยู่ต่างจังหวัดแล้ว เธอไม่มีใครพอที่จะพึ่งพาได้ในทำนองนั้นสักคน แต่เมื่ออารมณ์มันขึ้นก็เลยปากไว
พรรษมนส่ายศรีษะว่า ‘ไม่’ แล้วเงยใบหน้าสวยที่บัดนี้ช้ำไปหมดด้วยร่องรอยการถูกทำร้าย น้ำตาคลอเต็มสองตา เอ่ยเสียงสั่น
“พัดขอร้องนะคะ อย่าแจ้งความ พัดไม่อยากมีเรื่องกับเขา”
“ทำไมต้องไปกลัว ใหญ่มาจากไหนเชียวบอกพี่ซิ”
พรรษมนกัดปากส่ายหน้าไม่ตอบ น้ำตาไหลอาบสองแก้มน่าเวทนายิ่งนัก จนคนมองได้แต่ครางอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“โธ่พัด ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย...”
ณวกาญจน์บอกไม่สบอารมณ์ พอดีกับที่แพทย์และพยาบาลเข้ามาดูอาการเลยนั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้นด้วยความเป็นห่วง อยู่ป้อนอาหารให้สาวรุ่นน้องเมื่อถึงเวลา ตามด้วยยาจนเรียบร้อยแล้วจึงลงมาด้านล่างเพื่อหาซื้อของกินของใช้ที่จำเป็นขึ้นไปให้คนเจ็บที่นอนพักรักษาตัวอยู่
ขึ้นมาบนห้องแล้วถามพรรษมนด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์แบบเดิม เพราะก่อนลงไปตะล่อมว่าต้องแจ้งความเอาผิดอีกฝ่ายให้จงได้ แต่พรรษมนกลับเงียบ ซึ่งนั่นเป็นคำตอบได้อย่างดีว่าเจ้าตัวจะไม่ยอมเอาเรื่องเอาราวกับทางนั้น ณวกาญจน์เลยมีท่าทีไม่พอใจอย่างที่ว่า
“อยากได้อะไรเพิ่มไหมพัด” ถามเสียงมึนตึงเล็กน้อย
พรรษมนถอนหายใจเฮือก แล้วเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “พี่เปรมน่ะ อย่าเป็นแบบนี้สิคะ”
“เป็นแบบนี้? เป็นอะไรล่ะ”
“โกรธพัดหรือคะ”
“พี่ไม่ชอบเลย เวลาเห็นผู้หญิงด้วยกันถูกทำร้ายแบบนี้นะพัด”
“พัดผิดด้วยแหละค่ะที่ไปต่อปากต่อคำกับเขา”
“ต้องแจ้งความ”
“ไม่ค่ะ”
“พัด!”
“พัดจะไม่ให้เขามาที่บ้านอีกค่ะ หลบได้พัดจะหลบ จะได้ไม่มีเรื่องกัน พี่เปรมว่าดีไหมคะ”
“ดี!” ณวกาญจน์ตอบรับเสียงแข็ง ก่อนตบท้ายคำเดิม “แต่ต้องแจ้งความ”
พรรษมนไม่พูดอะไรต่อจากนั้น ได้แต่ล้มตัวลงนอนตะแคงหันหลังให้ ไหล่ยกเป็นจังหวะพร้อมเสียงสะอื้นไห้ ไม่ต้องเดินไปดูก็พอรู้ว่าคงนอนร้องไห้น้ำตาไหลพรากแล้วตอนนี้ ณวกาญจน์เห็นแล้วให้หงุดหงิดในใจยิ่งกว่าเก่า เงียบกันอยู่นานจนหยุดร้องไห้ พรรษมนพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“พี่เปรมกลับเถอะค่ะ พัดนอนอีกวัน พรุ่งนี้จะขอหมอกลับแล้ว”
ณวกาญจน์พยักหน้าเนือยๆ ลุกมาบีบมืออย่างต้องการส่งกำลังใจอีกฝ่าย “พรุ่งนี้พี่จะมารับกลับบ้านนะ มีอะไรโทรหาพี่ด่วนเลย รู้ไหม”
คนเจ็บนอนพยักหน้าให้พร้อมตอบรับเบาๆ “ค่ะ”
ณวกาญจน์ร่ำลาคนเจ็บไม่นาน ค่อยออกจากโรงพยาบาล เธอแวะที่สำนักงานของตุลาที่ตั้งอยู่ในตึกสูงติดสถานีรถไฟฟ้าห่างจากคอนโดมิเนียมที่พักไม่กี่สถานีเท่านั้น
ตุลาทำธุรกิจเกี่ยวกับส่งออกจำพวกผลไม้นอกฤดูกาล เขาบอกว่าตนเองเป็นเพียงหุ้นส่วนเสี้ยวเล็กเสี้ยวน้อยในนามบริษัทแห่งนี้เท่านั้น เขาเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจได้ไม่นานหลังรวบรวมทุนจากญาติของเขาเอง เธอไม่ค่อยรู้เรื่องราวในธุรกิจของเขามากนัก เพราะตุลาเคยบอกให้เธอเข้ามาช่วยงานเขา แต่เธอรู้สึกว่างานลักษณะนี้ไม่เหมาะกับเธอเลยสักนิด
ณวกาญจน์ยิ้มอย่างสุภาพให้พนักงานด้านหน้าแล้วเดินไปหยุดยืนมองเมื่อเห็นว่าคนข้างในง่วนอยู่กับงานเพียงลำพัง ค่อยยกมือเคาะประตูกระจกห้องทำงานของเขาเบาๆ ยื่นหน้าเข้าไปขยับปากถามไร้เสียง
‘ยุ่งหรือเปล่าคะ’
ตุลาเงยหน้าขึ้นสบตาแล้วพยักหน้าให้ พอผลักประตูเข้ามาแล้ว ก็ยังเห็นเขาเอาแต่ก้มหน้าทำงาน แต่กระนั้นยังเอ่ยปากคุยด้วย
“กินข้าวหรือยัง”
“ยังค่ะ พี่ตุลย์กินยัง”
“ยังน่ะสิ พี่รอกินพร้อมเรา”
“ก็บอกว่าไม่ต้องรอ กินไปเลย”
“พี่ไม่ชอบกินข้าวคนเดียวก็รู้นี่ พี่ชอบกินพร้อมเรา”
นึกถึงคนตัวโตๆที่ต้องรอกินข้าวพร้อมเธอแทบทุกมื้อก็ยิ้มอ่อนให้ เหมือนมีลูกชายอย่างไรอย่างนั้นเลย
ตุลาถามทั้งที่ยังง่วนอยู่กับงาน
“แล้วไปไหนมา ทำไมหน้ายังไม่หายเครียดอีก เมื่อเช้านี้พี่เห็นหน้าเราเครียดๆนึกว่าออกไปเตร่แล้วจะอารมณ์ดีขึ้น”
มองเธอแวบเดียวเท่านั้น ยังรู้ว่าอารมณ์ของเธอเป็นเช่นไร หญิงสาวยิ้มหน่อยหนึ่งแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ไม่ได้สนใจว่าเขาจะเหน็บเรื่องที่ว่าเธอชอบเตร่ไปเรื่อย แล้วเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องราวของพรรษมน เพราะตอนที่ออกไปนั่นไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรให้อีกฝ่ายฟัง จนจบแล้ว ตุลาบอกเสียงเคร่งขรึม
“อย่าไปยุ่งเรื่องของเขาเลยเปรม”
“พัดยังเด็กมากนะคะพี่ตุลย์ แล้วผู้ชายคนนั้นก็เลวผิดมนุษย์มนาจริงๆ เปรมเกลียดค่ะ เปรมเกลียดพวกชอบรังแกคนอื่นแบบนั้น”
ได้ยินคำสบถว่านั่นแล้ว ตุลาถึงกับสะอึกแล้วแสร้งทำท่าตกใจ วางปากกาลง ยกมือขึ้นทาบอก จีบปากจีบคอค่อนคนรัก
“โอยตาย นั่นปากหรือคะหนู”
ค่อยหายโกรธเพราะมัวแต่ขำกับท่าทางของเขา ไม่วายบอกเสียงฉุนจัด
“เปรมโกรธนี่คะ”
“โกรธ ‘ผัว’ เขา ทั้งๆที่ ‘ผัว’ ตัวเองนั่งหัวโด่อยู่นี่”
ตุลาแสร้งว่า ทำปากแบบไม่มีเสียงกับคำว่า ‘ผัว’ จนคนฟังหันขวับตวัดตามองค้อน ชี้หน้าเขาพร้อมกับส่งเสียงดัง
“พี่ตุลย์! พูดอะไรหยาบคายที่สุด”
“ผัวเนี่ยนะหยาบ งั้นคนสมัยก่อนไม่หยาบกันทั้งบางหรือไง” พอเห็นสายตาของเธอ ก็โบกไม้โบกมือก่อนยอมจำนน “อ๊ะๆ สามีก็ได้ครับ”
“ตลอดเลย วกเข้าแต่เรื่องพวกนี้ทุกที” ขัดใจที่ตุลาพาเข้ามาเรื่องของเธอกับของเขาอีกจนได้ หน้าแดงออกร้อนไม่หายเพราะอายกับคำเรียกขานเมื่อครู่
ตุลาหัวเราะหึๆในคอ ครึ้มอกครึ้มใจกับสีหน้าแดงกล่ำของคนรัก มองเธอครู่หนึ่งแล้วก้มหน้าลงทำงานต่อ ณวกาญจน์ทำลายความเงียบด้วยการชวนคุย
“มะรืนครบรอบวันตายของพ่อ เปรมว่าจะไปทำบุญให้พ่อนะ”
ถามทั้งๆที่ยังก้มหน้าอยู่ “ทำที่ไหน เราจะกลับบ้านหรือ”
“ไม่หรอกค่ะ ว่าจะทำที่วัด...” เจ้าหล่อนเอ่ยชื่อวัดใกล้ๆคอนโด
ตุลาไม่ได้ว่าอะไร เขาบอกขึ้นบ้าง “พี่จะกลับบ้านนะ”
ณวกาญจน์ส่งเสียงอืออาในลำคอทำนองว่ารับรู้ ตุลาจึงเงยหน้าถามต่ออีก
“วันนี้เราว่างไหม”
“ทำไมหรือคะ”
“ซื้อขนมไปฝากน้องพลอยกัน”
ตุลาบอกแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาถามทำนองว่า ‘ไปไหม’
ณวกาญจน์มีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย ลอบถอนหายใจแล้วฝืนยิ้มพยักหน้าตกลงว่าไปในที่สุด
ทั้งคู่ใช้รถยนต์ส่วนตัวของตุลาที่จอดทิ้งไว้หน้าสำนักงานพากันแวะซื้อขนม ผลไม้ติดมือไปจำนวนหนึ่งก่อนตรงไปยังจุดหมายที่ซึ่งไกลจากมหานครออกไป ใช้เวลาเดินทางร่วมสองชั่วโมง ที่นั่นเป็นบ้านสองชั้นค่อนข้างใหญ่
“เย้ คุณพ่อมา พ่อตุลย์มาหาน้องพลอยแล้ว”
เสียงใสแจ๋วดังมาจากสวนเล็กๆ เมื่อตุลาจอดรถและลงมายืนอ้าแขนรอรับ ไม่นานร่างเล็กๆในชุดกระโปรงติดกันสีฟ้าอ่อนวิ่งปร๋อเข้ามาหา ก่อนโถมตัวให้อีกฝ่ายรับแล้วอุ้มขึ้นหอมแก้มอย่างทุกที
“พ่อซื้อหนมสุดโปรดมาให้พลอยชมพูของพ่อด้วยนะ”
“คิดถึงพ่อตุลย์ที่สุดในโลกเลยค่ะ”
“พ่อก็คิดถึงน้องพลอยค่ะ” ตุลาหอมแก้มใสที่แดงระเรื่อของเด็กหญิงในอ้อมกอดแล้วบอกต่อ
“ดูซินั่น ใครมากับพ่อด้วย”
เด็กหญิงพลอยชมพูหันขวับมองไปยังณวกาญจน์ก่อนกรอกตาอย่างเซ็งๆ
“มาทำไมคะ”
“อ้าว ทำไมพูดแบบนี้คะลูก ไม่น่ารักเลย”
“ก็น้องพลอยอยากคิดถึงแค่คุณพ่อนี่คะ ไม่ชอบให้คนอื่นมาด้วย”
เด็กหญิงพลอยชมพูบอกอย่างไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก
“แต่พี่เปรมมีขนมมาฝากด้วยนะ” ตุลาพยายามผูกมิตรกลับไปให้
“ไม่เห็นจะสนเลย”
ณวกาญจน์ลอบถอนหายใจแล้วส่งยิ้มพร้อมสายตาบอกตุลาว่าไม่เป็นอะไร เพราะเธอชินเสียแล้วกับการต้อนรับของแม่หนูนางนี้
“คุณตุลย์” เสียงทักทายจากในบ้านนั่นเอง
นางฮุย หญิงวัยสี่สิบต้นๆเดินยิ้มแย้มออกมาจากด้านในของบ้าน พร้อมยกมือรับไหว้ณวกาญจน์ก่อนบ่น
“ซื้ออะไรมากันคะเยอะแยะเลย”