ตอนที่4

3283 Words
"แบบนี้แฟนคลับคู่จิ้นของทั้งสองคนคงได้กรี๊ดกันแน่ ๆ เลยค่ะ เห็นภาพความสนิทสนมกอดหอมกันบ่อย ๆ นี่ พี่ว่ามุมกล้องคงไม่จำเป็นมั้งคะใช่มั้ยน้องพาย ว่าแต่ไม่หวั่นไหวกันจริงเหรอคะ" พิชญากรอมยิ้มก่อนจะตอบออกไปขำ ๆ "ก็อย่างที่พี่แนนบอกแหละค่ะ เอาไว้ดูตอนละครออกอากาศดีกว่า ส่วนเรื่องหวั่นไหวอะไรนี่คงไม่มีหรอกค่ะที่เห็นเราเล่นกันแบบนั้นก็สนิทแบบพี่น้องกันนี่แหละ พายมีแต่พี่ชายนอกจากเพื่อนสนิทก็มีพี่แนนที่เป็นรุ่นพี่ในวงการที่พายสนิทที่สุดตั้งแต่เข้าวงการมาก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นพวกพี่ก็ยังจะเห็นภาพแบบนั้นอีกเรื่อย ๆ ค่ะ" "สรุปแล้วทั้งคู่ก็ยังโสดในเรื่องหัวใจกันใช่มั้ยคะ ส่วนพระเอกของเรื่องเมื่อไหร่จะมีข่าวดีเรื่องน้องคะ" อัฐวิทย์ผายมือให้สองสาวตอบคำถามก่อน "สำหรับพายก็อย่างที่บอกทุกครั้งแหละค่ะว่า เนื้อคู่ถ้ามีอยู่ก็คงจะมาเจอกันในสักวัน ตอนนี้ยังไม่มีใครทำให้หัวใจพายเต้นผิดจังหวะได้ พายก็คงรอต่อไปค่ะ" นางร้ายคนสวยตอบพลางยิ้มให้พี่นักข่าว "ตอบแบบเดิมก็แสดงว่า ไม่ได้เจาะจงว่าคนนั้นจะเป็นชายหรือหญิงใช่มั้ยคะน้องพาย" "ค่ะ เรื่องความรักพายไม่เคยระบุเพศอยู่แล้ว ถ้าใช่ก็คือใช่ค่ะ" "แล้วน้องแนนละครับช่วงนี้มีคนมาทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือเปล่า" "แนนก็ยังเหมือนกันค่ะ เอาไว้ถ้ามีจริง ๆ แนนจะไม่ปิดแน่นอนค่ะ" คำตอบของนางเอกสาวก็เรียกเสียงแซวปนเชียร์ไปตามประสาก่อนปิดท้ายคำสัมภาษณ์จากพระเอกของเรื่อง ว่าอีกไม่นานคงจะมีข่าวดีเรื่องการมีเจ้าตัวเล็ก       ณ ห้องประชุมเล็กชั้นห้าตอนนี้มีเจ้าของโรงพยาบาลอย่างอธิวัฒน์นั่งเป็นประธาน มีหมอและเจ้าหน้าที่บางแผนกของโรงพยาบาลเข้าร่วมฟังด้วย หนึ่งในนั้นก็คือแพทย์หญิงกนิษฐา แพทย์เชี่ยวชาญด้านหัวใจและสมอง "มากันครบแล้วนะคนที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องที่จะต้องรับรู้เนื้อหาที่ผมอยากจะประชุมในวันนี้ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องซีเรียสอะไรนักเพียงแต่ต้องให้บุคลากรของเรารับทราบกันเอาไว้ และช่วยกันดูแลให้เรียบร้อย ว่าแต่คุณสิริรัตน์ได้แจกเอกสารประกาศไปทุกแผนกหรือยัง" อธิวัฒน์เอ่ยถามบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบ ในการที่จะมีกองถ่ายละครมาขอใช้สถานที่ในโรงพยาบาลเพื่อถ่ายละครบางฉาก "เรียบร้อยแล้วค่ะท่านผอ.ดิฉันส่งเอกสารให้แต่ละฝ่ายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ" "อืม ถ้างั้นก็น่าจะรับรู้กันแล้วใช่มั้ยว่ามีทางผู้จัดละครมาขอใช้สถานที่ในโรงพยาบาลเราถ่ายละคร เรื่องอะไรนะคุณรัตน์ อะไรข้ามภพชาติ นี่ผมก็ยังไม่ได้อ่านอะไรมาก" วิรัญญาที่นั่งอยู่ข้างบิดาก็ยิ้มขำก่อนจะเอ่ยตอบแทน "เสน่หาข้ามภพค่ะ คุณพ่อ" "อ่ะ อ้อ อืม นั่นแหล่ะซึ่งเขาขอใช้ห้องทำงานบางห้องเพื่อสมมุติว่าตัวละครที่เป็นนางเอกของเรื่อง มีอาชีพเป็นหมอทำงานที่โรงพยาบาลใช่มั้ย" "ใช่ค่ะท่านผอ. อีกอย่างคือทางคุณหวานเธอขอความช่วยเหลือนิดหน่อยจากเจ้าหน้าที่เราเวลาที่เขาถ่ายจริง ก็คือจะถ่ายบรรยากาศการทำงานจริง ๆเลยค่ะ ยกเว้นฉากที่นางเอกของเรื่องตอนนั่งในห้องพักแพทย์เขาจะจัดฉากกันเอง" "อืม แล้วหมอเกมส์มีปัญหามั้ยที่ต้องเข้าฉากเป็นอาจารย์หมอของคุณนางเอกเขาน่ะ" กนิษฐามองไปรอบห้องประชุมที่ต่างก็มีแต่คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น แล้วดูหน้าตาแต่ละคนที่มองเธอทำไมต้องยิ้มเหมือนจะล้อเลียนกันด้วยล่ะ ถ้าเธอบอกว่าไม่ได้จะทำไงกัน "คือ จริง ๆ ไม่เห็นต้องให้หมออย่างเราเข้าฉากละครอะไรนี่เลยนะคะผอ.เขาสมมุติเอานักแสดงมาเป็นหมอไม่ได้เหรอคะ" "หืม หมายความว่าหมอเกมส์ไม่สะดวกเข้าฉากว่างั้นเหอะ" อธิวัฒน์เอ่ยถามพลางยิ้มอย่างเข้าใจ  "เอ่อ มันก็ไม่ถึงกับว่าไม่สะดวกหรอกค่ะ เกมส์แค่เห็นว่าไหน ๆ มันก็คือละครทางทีมงานน่าจะจัดฉากกับนักแสดงแทนหมอจริง ๆ ที่ต้องดูแลรักษาคนไข้แค่นั้นเองค่ะ" "อืม ที่พี่เกมส์พูดมาก็จริงนะคะคุณพ่อ เกิดวันที่เขามาถ่ายละครแล้วมีเคสที่พี่หมอต้องดูแลหรือเข้าห้องผ่าตัด ก็คงช่วยกองละครไม่ได้อยู่ดี" วิรัญญาฟังรุ่นพี่แล้วก็เห็นด้วย "แต่ว่าที่คุณหวานเธอแจ้งพี่มา เธอบอกแค่ฉากเดียวสั้น ๆ ถ่ายไม่ถึง20นาทีเองนะคะหมอวิ แล้วเธอเล่าฉากคร่าว ๆให้ฟังว่าเป็นเพียงฉากที่อาจารย์หมอเดินมาช่วยวิเคราะห์คนไข้ที่มีอาการเกี่ยวกับสมองตายให้นางเอกที่เป็นหมอฟังแค่นั้นเองค่ะ  และก็นะ หมอที่เหมาะสมที่สุดในหน้าที่นี้นอกจากหมอเกมส์แล้วก็มีแต่หมอผู้ชาย ส่วนหมอท่านอื่นก็อยู่คนละแผนกกันที่สำคัญ คิก ๆ อันนี้พี่ว่าหมอเกมส์สวยสูสีดาราค่ะ ถ้าได้เข้าฉากด้วยอาจจะดังแบบไม่รู้ตัวก็ได้" "พี่รัตน์คะ เกมส์ไม่ได้อยากดังนะคะ เกมส์อยากรักษาคนไข้ค่ะ" กนิษฐาเอ่ยค้านคนที่อายุแก่กว่าแต่ก็อดขำ กับความคิดพี่แกไม่ได้เหมือนกัน  "อือ ลุงว่าก็ไม่น่าเป็นปัญหานะถ้าเขาใช้เวลาไม่มากน่ะ อีกอย่างพวกอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่ช่วยคนไข้นี่ก็ต้องมีอยู่ในฉากด้วยไม่ใช่เหรอ ถ้าในบทเขาระบุมาแบบนั้นก็ต้องเป็นส่วนของหมอเกมส์นั่นแหละถูกแล้ว จะว่าไปการมีกองละครมาขอถ่ายในโรงพยาบาลเรามันก็ดีนะ อย่างน้อยก็เป็นการโปรโมทบรรยากาศสถานที่โรงพยาบาลไปในตัวด้วย" อธิวัฒน์เปรยออกมายิ้ม ๆ จะว่าไปก็ถือเป็นเรื่องดีเพราะที่รู้มาดาราที่แสดงเรื่องนี้ก็เป็นนักแสดงแถวหน้าที่ประชาชนรู้จักกันทั่วไป ได้มาถ่ายในโรงพยาบาลของเขาก็เหมือนช่วยโปรโมทสถานที่ให้คนได้รู้จักเพิ่มมากขึ้นไปด้วย "ถ้ามันเป็นช่วงเวลาที่เกมส์ไม่ได้ติดเคสผ่าตัดก็ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าให้เกมส์พูดถึงอาการของคนไข้จริง ๆ แบบไม่ใช่ให้ไปพูดตามบทละครของเขานะคะ" "พูดถึงอาการของคนไข้ที่ป่วยอาการนั้นจริง ๆ เลยค่ะหมอ ยังไงวันที่กองละครจะเข้ามาถ่ายเขาจะแจ้งมาก่อนล่วงหน้าค่ะ" สิริรัตน์ผู้ที่รับข้อมูลรายละเอียดมาจากวัลถาผู้จัดละครก็ชี้แจงตามที่ได้ข้อมูลมา ให้กนิษฐาพยักหน้าเข้าใจ "อืม ถ้างั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไรให้ต้องห่วงใช่มั้ย ก็อาจจะวุ่นวายหน่อยถ้าหากว่าคนไข้ที่มาใช้บริการเขารู้ว่ามีดารามาถ่ายละครในนี้น่ะแหละ ยังไงก็ฝากคุณปัญญาช่วยจัดระเบียบหรืออำนวยความสะดวกให้ทีมงานเขาหน่อยแล้วกันนะ จะได้ไม่วุ่นวายจนให้ผู้มาใช้บริการเราเดือดร้อนกัน" "ครับท่าน ผอ. ทางผมจะช่วยดูและประสานงานให้เรียบร้อยครับ" ปัญญาเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยที่ร่วมฟังด้วย ตอบรับในส่วนที่เขาต้องรับผิดชอบ "ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ผมแค่อยากให้ทุกฝ่ายช่วย ๆ กันดูแลอย่าให้มีผลกระทบกับคนไข้ที่มาใช้บริการเราในช่วงที่เขามาถ่ายกันแค่นั้นแหละ งั้นก็ไปทำงานกันต่อเถอะ อืม หมอเกมส์อยู่คุยกับลุงก่อนนะ" "ค่ะ/ ครับ ผอ." "งั้นวิไปทำงานต่อก่อนนะคะ" วิรัญญาบอกกับบิดาก่อนจะลุกออกไป อธิวัฒน์พยักหน้าให้ลูกสาวก่อนหันมายิ้มอ่อนให้หมออีกคนที่เปรียบเหมือนลูกหลานที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แม้จะไม่สนิทสนมเท่ากับครอบครัวหมอแก้มกวิสราซึ่งทางนั้นบิดาเป็นเพื่อนเขาแล้วกวิสราเองก็เป็นเพื่อนสนิทกับลูกสาวอีก ส่วนกนิษฐาก็รู้จักกันมาบ้างแล้วจนกระทั่งเจ้าตัวเรียนจบมาเป็นหมอที่นี่ "หนูจะเดินทางเมื่อไหร่แพลนเอาไว้หรือยัง" กนิษฐายิ้มบางพยักหน้ารับ "เกมส์ว่าจะเดินทางหลังปีใหม่นี่แหละค่ะ เพราะทางเจ้าช่อบอกที่ผ่านมาสามเดือนนั้นผลการทดลองดีอย่างไม่น่าเชื่อ อยากให้เกมส์ไปดูช่วงที่เขาทดลองผ่านไประยะหกเดือนแล้ว ที่สำคัญเจ้าช่อจะพาเข้าป่าด้วยถ้าไปช่วงที่ไม่ใช่หน้าฝนก็จะไม่ลำบากมากเท่าไหรค่ะ" "อืม แล้วคิดว่าจะไปกี่วัน ลุงไม่ว่านะเพราะหนูก็เหมือนไปทำงานนอกสถานที่ นำสิ่งมีประโยชน์กลับมาให้โรงพยาบาลและมันก็จะเป็นเรื่องดีต่อคนไข้ในอนาคตด้วย ถ้ายาตัวนี้มันได้ผลอย่างที่ทางนั้นแจ้งมาดีเสียอีกที่ได้ร่วมพัฒนาไปด้วยกัน" "ถ้าคุณลุงไม่มีปัญหาเกมส์ก็อาจจะขอลาไปสักเดือนค่ะ น่าจะเพียงพอในการดูผลทดลอง" อธิวัฒน์พยักหน้ายิ้มให้ "ไม่นานหรอกแค่นี้เอง แล้วข้ามไปที่นั่นจะสามารถติดต่อกันได้หรือเปล่า ไปคนเดียวลุงก็เป็นห่วงนะ แล้วเกมส์บอกพ่อกับแม่เราหรือยังว่าจะไปเมืองหมอกเมฆา" "บอกแล้วค่ะ แม่กับพ่อก็ห่วงแหละแต่เกมส์เชื่อในความปลอดภัยของฝั่งนั้นค่ะ เรื่องการติดต่อก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะปกติเกมส์ก็ติดต่อกับเจ้าช่อด้วยเมลอยู่แล้ว ถ้ายังไงเกมส์จะรายงานตัวมาเรื่อย ๆ ค่ะ" หลังพูดคุยกับอธิวัฒน์เสร็จกนิษฐากลับมาที่ห้องทำงานตัวเอง ดูเวลาอีกไม่ถึงยี่สิบนาทีก็จะเที่ยงแล้ว แมคบุ๊คถูกหยิบขึ้นมาเปิดอีกครั้งก่อนเข้าเช็คอีเมลล์ตามปกติ ช่วงนี้จะมีเมลจากเจ้าช่อส่งมาอัพเดตข่าวเรื่องผลทดลองจากต้นยาที่ว่าอยู่เรื่อย ๆ "สวัสดีค่ะเจ้า วันนี้พี่คุยกับ ผอ.แล้วท่านไม่ว่าอะไรหากพี่จะต้องมาศึกษาข้อมูลเรื่องยาที่นี่สักเดือน สรุปแล้วอีกสองเดือนเจอกันค่ะ" กนิษฐาพิมพ์ข้อความส่งไปแจ้งข่าวเพียงสั้น ๆ สายตามองดูปฏิทินก็ขมวดคิ้ว เมื่อเห็นวงกลมสีแดงที่ถูกวงเอาไว้และตัวอักษรเล็กที่เขียนกำกับ "เกือบลืมเลยนะนี่ว่ามีงานหนังสือวันมะรืนนี้" งานแสดงหนังสือที่จัดขึ้นที่สถานที่แห่งหนึ่งเป็นอีกงานที่กนิษฐาชอบ และมักจะไปเดินเลือกซื้อหาหนังสือมาไว้อ่าน ทั้งหนังสือวิชาการและหนังสือหายากที่จะมีมาขายในงานนี้ด้วย หากไม่ติดเคสสำคัญจริง ๆ เธอจึงไม่เคยพลาดที่จะไปเดินจับจ่ายหาความรู้เพิ่มเติม  เสียงข้อความเตือนดังขึ้นให้ต้องหยิบมือถือออกมาดู ริมฝีปากบางเผยยิ้มเล็ก ๆ เมื่อเห็นข้อความสั้นชวนไปทานกลางวันจากน้องสาว  Kanittha: เจอกันหน้าตึกค่ะเดี๋ยวพี่ลงไป พิมพ์ข้อความส่งกลับไปก่อนจะปิดคอมเก็บให้เรียบร้อย เมื่อเดินออกมาเห็นว่ามีใครบ้างรออยู่ตรงล๊อบบี้โรงพยาบาลก็อดยิ้มไม่ได้ "วันนี้คิวว่างเหรอคะนิน" หมอรุ่นน้องหัวเราะเบา ๆ กับคำแซวสั้นของรุ่นพี่ "พี่เกมส์อย่าแซวสิ วันนี้อยากไปกินกับพี่ ๆ บ้างค่ะ อยากเม้าส์ด้วยเรื่องพี่เกมส์จะได้เข้าฉากละคร" อิอิ วิรัญญากับกวิสรายิ้มพลางส่ายหัวเล็ก ๆ ถ้าในความสนิทในอาชีพแล้วพวกเธอทั้งหมดถือเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบันมาด้วยกัน แต่นอกเหนือจากนั้นก็เป็นความสนิทส่วนตัวนี่แหละ "ใช่เหรอนิน ถ้าคุณศิเขาไม่ติดประชุมที่สำนักงานใหญ่เราจะไปกินกับพวกพี่เหรอ" วิรัญญาเอ่ยแซวขึ้นมาอีกคนทำให้น้องเล็กของกลุ่มออกอาการเหวอเล็ก ๆ "พี่หมอวิน่ะ นินใช่จะไปหาเขาทุกวันที่ไหนล่ะคะ พอ ๆ ค่ะหยุดแซวนินได้แล้ว" ใบหน้าเง้างอนที่ปกปิดอาการเขินไม่มิด ก็ทำให้พี่ ๆ หลุดขำกันออกมา "อ้าว แล้วหมอฟ้าล่ะ หรือว่าแอบไปเดทกับหมอวิน" "ไปกับหมอวินนั่นแหละค่ะ แต่พักก่อนเราแล้ว" ทั้งหมดเดินไปคุยไปจนถึงรถของวิรัญญาที่จอดอยู่ข้างตึกในส่วนของผู้บริหาร "พี่เกมส์ตื่นเต้นมั้ยคะจู่ ๆ ก็ได้เป็นดาราจำเป็นน่ะ" ชญานินถามขึ้นมาเรียกรอยยิ้มขำจากพี่ "เอาจริง ๆ พี่อึดอัดมากกว่าจะตื่นเต้นนะ เพราะไม่รู้การถ่ายละครนี่เขาทำตัวกันยังไง แต่ยังดีที่พี่รัตน์เขาบอกแค่ฉากสั้น ๆ ก็เลยคิดว่าน่าจะไม่มีปัญหา" ชญานินพยักหน้าพลางยิ้มไปด้วย ที่ยิ้มนี่ไม่ใช่ว่าตื่นเต้นกับการจะได้เห็นดารามาถ่ายละครนะ แต่นึกภาพอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แค่นั้น "เสียดายนะคะ นางเอกที่รับบทเป็นหมอไม่ใช่คุณพาย" "หืม ทำไมต้องเสียดายด้วยล่ะคะ เกี่ยวอะไรกับคุณพาย" กนิษฐาหันมาถามรุ่นน้องที่จู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาแบบนั้น แต่สองสาวที่นั่งอยู่ด้านหน้ารถกำลังอมยิ้มไปด้วย ภาพติดตาที่ผ่านมาเป็นปี เหตุเกิดตอนงานแต่งงานของกวิสราที่ใคร ๆ หลายคนก็เห็น จะว่าไปก็เหมือนฉากกุ๊กกิ๊กในละครฉากหนึ่งเหมือนกันนะ เพียงแต่ว่ามันเป็นภาพผู้หญิงสองคนเท่านั้นเอง "พี่เกมส์เชื่อเรื่องพรหมลิขิตมั้ยคะ" แทนที่จะตอบคำถามตรง ๆ ของหมอเกมส์ชญานินกลับโยนคำถามใหม่มาให้รุ่นพี่ยิ่งงงเข้าไปอีก "ถามว่าเชื่อมั้ยพี่ก็ไม่ได้ลบหลู่อะไรนะคะ ว่าแต่มันเกี่ยวอะไรกันนี่พี่งงนะ" เสียงหัวเราะคิกคักของสามสาวดังขึ้นพร้อมกัน ให้คนเป็นพี่ใหญ่ขมวดคิ้วมุ่นไปด้วย "ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่คิดเล่น ๆ น่ะว่ามันช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่จู่ ๆ ก็มีกองละครมาขอถ่ายที่โรงพยาบาลเรา ที่บอกว่าเสียดายที่คนแสดงเป็นหมอไม่ใช่คุณพาย เราแค่นึกถึงภาพวันงานแต่งพี่แก้มแค่นั้นเองค่ะ" กนิษฐานึกตามคำพูดของหมอรุ่นน้อง ภาพที่เธอช่วยรับช่อดอกไม้ไม่ให้โดนหัวใครบางคนก็ผุดขึ้นมา ตามด้วยคำถามของชญานินที่ว่าเธอเชื่อเรื่องพรหมลิขิตมั้ยก็เข้าใจทันทีว่าเด็ก ๆ พวกนี้ขำอะไรกัน เธอยิ้มพลางส่ายหน้าเบา ๆ "คิดกันไปได้นะพวกเราเนี่ย" "แต่อะไรมันก็เกิดขึ้นได้นะคะพี่เกมส์ ถึงคุณพายจะไม่ได้เข้าฉากกับพี่ แต่เธอก็ต้องมาถ่ายละครที่นี่ด้วยเหมือนกัน ไม่รู้สึกอะไรเหรอคะ ได้ข่าวว่าสาวยกช่อดอกไม้ให้ทั้งแจกันเลยไม่ใช่เหรอพี่หมอ" วิรัญญาเอ่ยแซวขึ้นบ้าง พวกเธอก็แค่อยากให้คนที่เปรียบดั่งพี่สาวลองเปิดใจกับความรักครั้งใหม่ แต่ที่แซวพาดพิงไปถึงนางร้ายคนสวยก็เพราะสองคนนี้ดันมีโมเมนต์น่ารัก ๆ กันนี่สิ เรื่องพิชญากรฝากแจกันดอกกุหลาบให้หมอเกมส์เธอแค่บังเอิญได้ยินพยาบาลพูดแซวพี่หมอนั่นแหละ เลยเก็บเอามาแซวต่อ "พี่เพิ่งคิดก็ตอนพวกเราพูดมานี่แหละ" "คุณพายเธอโสดนะคะพี่เกมส์" กวิสราพูดขึ้นมาเป็นครั้งแรกด้วยรอยยิ้ม "เดี๋ยว ๆ เอากันใหญ่เลยนะพวกเรานี่นั่นดารานะ" "ดาราก็คนค่ะพี่หมอ ที่สำคัญนินอ่านคำสัมภาษณ์เธอตอนที่เปิดกล้อง เธอบอกความรักเธอไม่ระบุเพศค่ะ" กนิษฐาขมวดคิ้วมุ่นมองหน้ารุ่นน้องที่นั่งข้าง เจ้าตัวยิ้มทะเล้นมาให้ ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจสิ่งที่น้อง ๆ สื่อออกมาหรอกนะ เพียงแต่ยังไม่ได้คิดอะไรเลยจนกระทั่งโดนสะกิดนี่แหละ "นี่พวกเราจะให้พี่ไปจีบดาราดังนี่นะ ไม่ไหวหรอกนะ" เสียงหัวเราะของน้องดังขึ้นอีกครั้ง "ไม่ได้ให้ไปจีบค่ะพี่หมอ เราแค่เปิดประเด็นขึ้นมาเฉย ๆ ถึงถามไงคะว่าพี่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตหรือเปล่า ถ้าคนเราจะคู่กันเดี๋ยวคงมีอะไรนำพามาให้พบเจอค่ะ" กนิษฐาส่ายหน้ายิ้ม ๆ เธอไม่ได้จะอะไรหรอก ก็พอรู้ว่าน้อง ๆ แค่หวังดีอยากให้เธอเปิดใจกับเรื่องความรักแค่นั้น บาดแผลที่ผ่านมาหลายปีถึงวันนี้มันก็ดีขึ้นมาก มากพอที่จะไม่รู้สึกเจ็บปวดเวลาที่นึกถึงมัน    แพรวพิศมองพ่อสามีก่อนหันไปทางแม่สามีที่ยิ้มให้บาง ๆ "คุณพ่อจะไปคนเดียวแน่เหรอคะ รอให้หลานเลิกงานแล้วไปเป็นเพื่อนไม่ดีกว่าเหรอ" "ไปคนเดียวที่ไหนล่ะ นายเอกเขาก็ขับรถไปเป็นเพื่อนพ่อได้ ทำยังกะพ่อดูแลตัวเองไม่ได้นะเรานี่" พิรัชต์พูดกับลูกสะใภ้พลางหัวเราะขำ "ปล่อยเขาเถอะแม่แพรว อยากทำตัวเป็นหนุ่มไปเดินเที่ยว แล้วกลับมาอย่ามาบ่นให้ฟังนะคะว่าปวดเข่าน่ะ" ภาสินีแกล้งบ่นเล็กน้อยให้สามีวัยเจ็ดสิบห้า แม้สภาพโดยรวมแล้วพิรัชต์ก็ยังดูแข็งแรงมากหากไม่บอกอายุก็คิดว่าห้าสิบต้น ๆ นางเองก็เจ็ดสิบแล้วเช่นกันโชคดีว่าไม่มีโรคร้ายรุมเร้าเหมือนเพื่อนบางคน นอกจากความดันบ้างนิดหน่อย "แหมคุณก็ เดินมากมันก็คงมีปวดบ้างแหละ เอาเป็นว่าผมจะไม่รบกวนให้คุณดูแลนวดให้แล้วกัน" แพรวพิศมองทั้งสองท่านก็อดยิ้มไม่ได้ พวกท่านครองรักกันมาร่วมห้าสิบปีแต่ทุกวันนี้ก็ยังเห็นท่านพูดเย้าแหย่กันเล่นอยู่เลย "คงไม่ใช่แค่คุณแม่จะบ่นหรอกค่ะแพรวว่าคุณพ่อจะโดนลูกชายบ่นด้วยน่ะสิ แล้วงานเขาเลิกกี่ทุ่มคะเนี่ย" งานที่ว่าก็คืองานแสดงหนังสือที่หอศิลป์ซึ่งพ่อสามีเธอชอบนักล่ะ จัดที่ไหนก็ไปตลอด ที่บ้านเลยมีห้องหนังสือมากมายร่วมพันเล่ม เพราะท่านชอบอ่านชอบหามาสะสมนี่แหละ "งานเลิกสองทุ่มครึ่งพ่อถึงต้องรีบไปไงล่ะ กว่าเจ้าพวกนั้นจะเลิกงานก็หกโมงแล้วกว่าจะไปถึงงานรถติดจะตาย พ่อคงได้หนังสือดี ๆ มาอ่านหรอก" อธิบายให้ลูกสะใภ้กับภรรยาฟังเสร็จพิรัชต์ก็เรียกคนขับรถประจำตัวเขา "ไปกันได้แล้วไอ้เอก ช้าเดี๋ยวรถติดพอดี" "ดูแลกันดี ๆ นะนายเอก เดี๋ยวไปเข่าทรุดกลางงานระวังเหอะ" เอกชัยมองเจ้านายยิ้ม ๆ ก่อนจะรับคำนายหญิง "ไม่ต้องห่วงครับคุณท่าน"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD