กนิษฐาเงยหน้าขึ้นจากเอกสารคนไข้ขยับมือนวดต้นคอเล็กน้อยคลายความเมื่อย วันนี้โชคดีที่ไม่มีเคสเข้าห้องผ่าตัดเธอจึงได้มีเวลามานั่งอ่านวิเคราะห์ข้อมูลของคนไข้ที่นัดไว้ มองดูเวลาเห็นว่าอีกไม่กี่นาทีจะถึงเวลาเลิกงานแล้ว เธอจึงเตรียมตัวเก็บของ
บูธหนังสือมากมายร่วมห้าสิบบูธรวมทั้งร้านหนังสือมือสองและหนังสือหายากก็มาร่วมในงานนี้เช่นกัน กนิษฐาเดินเลือกดูหนังสือหลากหลายแนว คุณหมอสาวเดินเข้าบูธเกี่ยวกับสาขาอาชีพของตัวเองใช้เวลาเลือกซื้อเล่มที่ยังไม่เคยอ่านจนได้หนังสือของอาจารย์หมอระดับประเทศมาสามเล่ม จากนั้นก็เดินวนดูร้านนั้นออกร้านนี้ไปเรื่อย ถุงผ้าที่สะพายบนไหล่บางน้ำหนักเพิ่มขึ้นตามจำนวนเล่มหนังสือที่เจ้าของจับจ่ายมา
หญิงสาวเดินมาจนถึงร้านหนังสือมือสองซึ่งตอนนี้ลูกค้าหลายคนกำลังเลือกซื้อหาหนังสือที่ถูกวางกองกันบนผ้าใบผืนใหญ่หน้าร้าน ภายในร้านมีวางโชว์หนังสือหลากหลายแนวทั้งนวนิยายและการ์ตูนชุด เธอเดินเข้าไปกวาดสายตามองดูคร่าว ๆ และเห็นป้ายกระดาษที่เขียนบอกประเภทหนังสือประวัติศาสตร์เรื่องเล่าจึงเดินเข้าไปดู
หนังสือถูกวางบนผืนผ้าให้สามารถเลือกดูได้ สภาพบางเล่มก็ดูเก่ามาก มีลูกค้ายืนเลือกอยู่ไม่กี่คน
"หนังสือเก่าหนังสือหายากเชิญเลือกได้ตามสบายเลยครับ สนใจแบบไหนสอบถามได้นะครับเผื่อผมช่วยหาให้ได้"
พนักงานประจำจุดที่คอยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้ายืนอธิบายไปด้วย
"พี่ฝากวางกระเป๋าหน่อยนะคะ"
กนิษฐาชี้ไปที่เก้าอี้ว่างอยู่ใกล้ ๆ ชั้นไม้ ปลดถุงผ้าที่หนักพอสมควรออกจากบ่า
"อ๋อ ได้พี่ มาผมช่วย"
"ขอบคุณค่ะ"
กนิษฐาหยุดสายตาอ่านหน้าปกหนังสือแต่ละเล่มที่หลายคนจับมันขึ้นมาวางไว้ด้านบนเพื่อที่จะได้เลือกดูเล่มที่ถูกซ้อนทับด้านล่างได้ เธอนั่งเปิดดูรายละเอียดของหนังสือบางเล่มที่น่าสนใจ
"ขอโทษนะหนู ช่วยหยิบหนังสือเล่มนั้นให้ปู่หน่อย"
น้ำเสียงทุ้มของผู้ชายที่ดังขึ้นใกล้ ๆทำให้คุณหมอหันมามองด้านข้าง ก็เห็นชายสูงวัยกำลังยิ้มให้เธอบาง ๆ แต่ที่สะดุดหูเธอก็คำเรียกตัวเองว่าปู่นั่นแหละ หัวคิ้วคุณหมอขมวดเล็กน้อย
"คุณลุงแทนตัวเองว่าปู่เหรอคะ"
พิรัชต์พยักหน้ายิ้มกับคำถามของหญิงสาว น่าเอ็นดูเชียวเห็นแล้วนึกถึงหลานสาว
"อืม ทำไมล่ะ หรือปู่ดูหนุ่มเกินไปรึ"
คำย้อนกลับมาพร้อมรอยยิ้มทำให้กนิษฐาระบายยิ้มออกมาบ้าง ผมที่มีเส้นหงอกแซมประปรายไม่ได้ทำให้ชายสูงอายุคนนี้ดูแก่จนต้องเรียกปู่สักนิด
"หนูว่าคุณลุงยังดูไม่แก่ขนาดต้องเรียกปู่เลยค่ะ"
หึ ๆ เสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มดูใจดี
"จะดีใจดีมั้ยนี่มีสาวสวยชมว่ายังหนุ่ม ปีนี้ก็เจ็ดสิบห้าแล้วนะหนู"
กนิษฐาเบิกตาขึ้นอย่างแปลกใจ เมื่อได้ยินแบบนั้น
"จริงเหรอคะ ดูคุณลุงยังแข็งแรงมาก ๆ เลย พอ ๆ กับคุณพ่อหนูเลยค่ะ"
พิรัชต์เพียงยิ้มให้กับคำพูดนั้น ไม่ใช่คนแรกหรอกที่เปรยกับเขาเหมือนไม่เชื่อแบบนี้
"ปู่มีเคล็ดลับนิดหน่อยน่ะ ก็เลยอาจจะดูไม่แก่มากเหมือนคนอื่น ว่าแต่หนูสนใจหนังสือแบบนี้ด้วยเหรอ โทษทีนะหนูทำงานอะไร เป็นครูหรือเปล่า"
กนิษฐาส่ายหน้ายิ้มให้คนสูงวัย
"เปล่าค่ะหนูเป็นหมอ"
"หืม เป็นคุณหมอรักษาคนไข้นี่เหรอ"
"ค่ะ หน้าตาหนูดูไม่เหมือนหมอเหรอคะ"
หึ ๆ น้ำเสียงหัวเราะอารมณ์ดีเมื่อได้ฟัง
"นี่เอาตรง ๆ นะ ถ้าบอกว่าหนูเป็นดาราปู่ก็เชื่อ เอ้อ ว่าแต่หนูมีแฟนมาด้วยมั้ยนี่เดี๋ยวมาเจอเราคุยกันจะพาลเข้าใจผิด ว่าปู่มาจีบหนูล่ะซวยเลยนะ"
คราวนี้กนิษฐาหลุดขำออกมาบ้าง นาน ๆ จะเจอผู้ใหญ่อารมณ์ดีแถมท่านก็ยังดูสุภาพ ไม่ได้มีท่าทีหรือสายตาส่อไปในทางชู้สาวเจ้าชู้เลยสักนิด
"ไม่มีหรอกค่ะ หนูมาคนเดียว เมื่อกี้คุณปู่บอกให้หยิบเล่มไหนนะคะ"
"นั่นน่ะ ประวัติเมืองโบราณ"
กนิษฐามองไปตามที่พิรัชต์ชี้ก็เห็นเป็นหนังสือเล่มใหญ่หนาพอสมควรเธอจึงหยิบมาให้ จังหวะนั้นมีลูกค้าเข้ามาเลือกหนังสือข้าง ๆ พิรัชต์ เขาจึงหยิบหนังสือที่เลือกไว้ยกมาวางใกล้กับที่กนิษฐานั่งอยู่ และปกหนังสือเล่มหนึ่งก็สะดุดตาหญิงสาวทันทีที่เห็น
"Fog city ตำนานเมืองหมอก"
"เอ๊ะ! คุณปู่ได้หนังสือเล่มนี้จากร้านไหนคะ"
"หืม เล่มนี้เหรอ จากร้านนี้แหละ ปู่เลือกมาจากมุมนั้นน่ะ หนูรู้จักด้วยเหรอ?"
กนิษฐาพยักหน้าเอ่ยขออนุญาตหยิบมาเปิดดูรายละเอียดคร่าว ๆ ก็เห็นว่ามันเป็นหนังสือเกี่ยวกับเมืองหมอกเมฆาจริง ๆ ด้วย เธอเงยหน้ามองผู้สูงวัยที่กำลังมองเธออยู่เช่นกัน
"คุณปู่รู้เรื่องเมืองนี้เหรอคะ"
"อืม พอรู้นะแต่ว่าปู่ไม่เคยไปหรอก แต่มีพระอาจารย์ที่ปู่นับถือท่านเคยไป แต่ตอนนี้ท่านก็มรณภาพไปหลายปีแล้ว ว่าแต่ทำไมหนูรู้จักล่ะ ปกติถ้าไม่ใช่คนทางเหนือหรือเจ้าหน้าที่รัฐ จะไม่รู้นะว่ามีประเทศเล็ก ๆ นี้อยู่บนโลก"
กนิษฐาอมยิ้มก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ
"หนูรู้จักคนเมืองนี้โดยบังเอิญค่ะ"
"เร๊อะ! นี่หนูทำให้ปู่สนใจอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเลยนะ ที่บ้านปู่มีหนังสือเกี่ยวกับเมืองนี้อยู่สองเล่ม หลวงพ่อท่านให้ปู่มาในนั้นมีเรื่องเล่าหลายเรื่องเลยนะ พอมาเจอเล่มนี้ปู่เลยแปลกใจว่ามันมาได้ยังไงกัน"
"นั่นสิคะ หนังสือแบบนี้ถ้าจะมีใครสักคนเขียนขึ้นมา คน ๆ นั้นน่าจะรู้จักที่นั่นดีพอสมควรนะคะ"
"ใช่ ปู่ก็คิดแบบนั้น ว่าแต่หนูรีบหรือมีธุระต่อหรือเปล่าถ้าปู่จะคุยเรื่องนี้ด้วยน่ะ"
กนิษฐาส่ายหน้ามองดูเวลาบนข้อมือตอนนี้เพิ่งทุ่มสิบนาที เธอเองก็อยากรู้ข้อมูลจากคนสูงวัยเช่นกัน
"ถ้างั้นไปหาที่นั่งคุยดีกว่านะคะ รู้สึกลูกค้าจะเริ่มเข้ามาเยอะแล้วด้วย"
พิรัชต์พยักหน้ายกเอาหนังสือทั้งหมดส่งให้พนักงานคิดเงิน
"ถ้าหนูสนใจเดี๋ยวปู่ให้ยืมไปอ่านก่อน แล้วค่อยเอามาคืนปู่นะ จะได้เอาไปเก็บไว้รวมกับเล่มที่บ้าน"
"ขอบคุณมากค่ะ หนูอยากจะขอซื้อต่อด้วยซ้ำแต่คุณปู่คงเสียดายใช่มั้ยล่ะ"
พิรัชต์หันมามองแล้วหัวเราะเบา ๆ
"ปู่แค่อยากเก็บเอาไว้ให้คนรุ่นหลังที่อยากศึกษาได้มีไว้อ่านน่ะ แต่ถ้าหนูเป็นคนชอบสะสมปู่ยกเล่มนี้ให้ก็ได้นะ แต่แลกกันอ่านดีมั้ย"
คำกล่าวอย่างผู้ใหญ่ใจดีทำให้กนิษฐายิ้มออกมาอย่างขอบคุณ น่าแปลกที่เธอรู้สึกไว้ใจชายสูงวัยท่านนี้ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแท้ ๆ แต่ด้วยบุคลิกที่ภูมิฐานของท่านและคำพูดที่ไม่ได้แสดงออกในทางที่ดูไม่ดี ทำให้เธอกล้าที่จะคุยด้วย
เอกชัยที่นั่งรอผู้เป็นนายอยู่ไม่ไกลจากร้านหนังสือ นึกแปลกใจเมื่อเห็นเจ้านายเดินออกมาพร้อมผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่ง มาซื้อหนังสือแล้วทำไมได้สาวสวยออกมาด้วยล่ะครับนายท่าน
"คุยตั้งนานปู่ยังไม่รู้จักชื่อเลย คุณหมอ"
คนสูงวัยกว่าเอ่ยถามขึ้นมาหลังพากันเดินออกมาจากร้าน
"กนิษฐาค่ะ เรียกเกมส์ก็ได้ ชื่อคุณปู่ละคะ"
"เรียกปู่พิรัชต์แล้วกัน รู้สึกคุ้มค่าที่ได้มาเจอหนูนะนี่ ปู่น่ะสนใจเรื่องราวเมืองหมอกนี่พอสมควร ตอนที่หลวงพ่อท่านยังไม่สิ้นท่านเคยเล่าอะไรให้ฟังหลายเรื่อง บางเรื่องก็น่าเหลือเชื่อเอามาก ๆ แต่ด้วยท่านเป็นพระปู่คิดว่าท่านก็คงไม่มามุสาปั้นเรื่องหลอกเราหรอกมั้ง ว่าแต่หมอเชื่อเรื่องพวกยาอายุวัฒนะหรือเปล่าล่ะ"
"ถ้าอายุวัฒนะหมายถึงชะลอความแก่หรือยาช่วยทำให้เราหายจากโรคบางอย่างด้วยพวกสมุนไพร อันนี้เกมส์ก็เชื่อนะคะ ว่าแต่ถามแบบนี้คุณปู่ทานยาพวกนั้นหรือเปล่าคะถึงได้ดูอ่อนกว่าวัยแบบนี้"
คำถามกึ่งแซวของหญิงสาวเรียกรอยยิ้มจากคนสูงวัยอีกครั้ง
"สมกับเป็นคุณหมอจริง ๆ ไว้ปู่เล่าให้ฟัง ไปนั่งตรงนั้นแล้วกัน นั่นคนขับรถของปู่เอง"
เอกชัยรีบเดินเข้ามารับเอาถุงหนังสือกับเจ้านาย อดเหลือบมองหญิงสาวหน้าตาดีที่ยิ้มเพียงบาง ๆ มาให้เขาแม้จะสงสัยว่าสาวสวยท่านนี้เป็นใครแต่เขาก็มีมารยาทพอ ที่จะไม่เอ่ยอะไรออกมา
"แกจะไปเดินดูอะไรก่อนก็ได้นะ ฉันคุยธุระกับคุณหมอสักพักค่อยกลับ"
"ครับคุณท่าน จะให้ผมเอาหนังสือนี่ไปเก็บในรถก่อนมั้ยครับ"
พิรัชต์ยื่นมือไปหยิบเอาเล่มที่เป็นหัวข้อที่จะคุยออกมา ก่อนส่งที่เหลือให้กับเอกชัยไป
เขาหันมายิ้มอ่อนให้หญิงสาวที่นั่งม้านั่งยาวด้วยกันก่อนจะส่งหนังสือให้ กนิษฐารับมาวางไว้บนตักแล้วเอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้
"คุณปู่ช่วยเล่าเรื่องราว ที่ว่าเหลือเชื่อให้ฟังหน่อยสิคะ"
จากนั้นเรื่องราวที่พิรัชต์เคยได้รับรู้มาจากพระรูปหนึ่งซึ่งเขาได้รู้จักโดยการแนะนำของชาวบ้านทางภาคเหนือ
และสิ่งที่กนิษฐาได้รับรู้มันก็ตรงกับสิ่งที่เธอรู้มาจากเจ้าช่อฟ้าเกี่ยวกับเมืองนั้น ที่สำคัญพิรัชต์เคยได้เห็นใบยาใหญ่ที่มีสรรพคุณทางยาจริง ๆ ด้วย มันทำให้เธอตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย นี่ถ้าไม่ได้รู้อายุเธอก็คิดว่าชายคนนี้คงราว ๆ หกสิบต้น ๆ แค่นั้นแหละ
"ที่ปู่ดูแข็งแรงแบบนี้ส่วนหนึ่งก็คิดว่าสรรพคุณจากยานั่นแหละ เมียปู่ก็กินด้วยกันนะช่วงนั้น เรียกว่าจิบน้ำต้มยาแทนชาเลยทุกเช้า หลวงพ่อท่านเอาทั้งเปลือกทั้งใบมาให้กินกันอยู่เป็นปีได้มั้งกว่าจะหมดฤทธิ์ทางยา นอกจากคนในครอบครัวและก็เพื่อนสนิทอีกสองคนปู่ก็ไม่เคยบอกใครหรอก เดี๋ยวหาว่าบ้าเป็นถึงครูบาอาจารย์แต่มาเชื่อเรื่องแบบนี้"
พิรัชต์เล่าออกมาทั้งยิ้มขำกับเรื่องนี้
"คุณปู่เป็นอาจารย์สอนหนังสือมาก่อนเหรอคะ"
"อืม เป็นมาตั้งแต่เรียนจบป.โทจนอายุหกสิบนั่นแหละ ปู่ถึงออกมาอยู่บ้านให้ลูกเลี้ยง"
"มิน่าเห็นซื้อหนังสือประวัติศาสตร์หลายเล่มเลยค่ะ"
"บางเล่มมันไม่มีขายในร้านหนังสือทั่วไปแล้วนะ ปู่ก็ซื้อไปเก็บสะสมไว้ให้ลูกหลานได้อ่านกันรุ่นสู่รุ่น หนังสือยิ่งหายากมันยิ่งมีคุณค่า หนูก็ซื้อมาเยอะเหมือนกันนี่"
พิรัชต์มองไปที่ถุงผ้าของอีกฝ่าย กนิษฐาเลยหัวเราะออกมาบ้าง
"ส่วนมากก็หนังสือวิชาการด้านการแพทย์ค่ะ ที่บ้านคุณปู่คงมีหนังสือเยอะเลยสิคะ"
"เยอะมากจนคนในบ้านบ่น วันนี้ก็ไม่อยากจะให้มาหรอกเขากลัวจะปวดเข่าปวดขาน่ะ แก่แล้วสังขารมันก็เสื่อมเป็นธรรมดานั่นละนะ แต่ก็ถือว่าโชคดีที่ไม่ได้ป่วยร้ายแรงเหมือนบางคนเขา"
"เป็นข้อเข่าเสื่อมหรือเปล่าคะ"
"อืม ประมาณนั้นล่ะแต่ก็ไม่อะไรมากหรอกนะ นี่ก็ยังเดินเหินได้ปกติอยู่ ลูกเมียเขาก็เป็นห่วงเกินเหตุน่ะ"
"ถ้าหนูเป็นหลานคุณปู่หนูก็คงบ่นนะคะ"
กนิษฐาเอ่ยบอกพลางยิ้มให้อีกฝ่ายขำเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู
"อืม คุยกับหนูก็เหมือนได้คุยกับหลานสาวเลย เออ พูดแล้วจะหาว่าอวด หลานสาวปู่เป็นดารานะ"
กนิษฐาทำสีหน้าประหลาดใจอีกแล้ว
"จริงเหรอคะ แต่หนูไม่ค่อยรู้จักดาราเท่าไหร่นะคะ วัน ๆ ยุ่งแต่กับการรักษาคนไข้"
พิรัชต์ฟังแล้วก็อมยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดออกมาให้คนฟังอึ้งไปนิดหนึ่ง
"ชื่อ พิชญากร ที่แสดงเป็นนางร้ายน่ะ หนูพอจะรู้จักมั้ยล่ะ"
"คุณพายเหรอคะ นี่คุณปู่เป็นปู่ของเธอเหรอคะ"
อะไรจะบังเอิญขนาดนี้นะ จู่ ๆ เธอก็ได้มารู้จักกับปู่ของนางร้ายสาว ที่เมื่อวันก่อนเธอเพิ่งจะโดนหมอรุ่นน้องแซวเรื่องพรหมลิขิตอยู่เลย กนิษฐาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อผู้ใหญ่ยื่นบางสิ่งมาตรงหน้าเธอ บัตรประชาชน เธอหยิบมาอ่าน (นายพิรัชต์ วัชรตระกูล) นามสกุลนี่ก็คุ้น ๆ ด้วย นึกไม่นานเธอก็หลุดยิ้มออกมาเมื่อจำได้ว่าเป็นของพีรวัฒน์ พี่ชายของนางร้ายคนสวยนั่นเอง
"นามสกุลนี้หนูจำได้แล้วค่ะ คุณพีรวัฒน์พี่ชายคุณพายเคยเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาล บังเอิญหนูเป็นเจ้าของไข้พอดี"
"อ้าวเหรอ แหม บังเอิญจังเลยนะนี่ อืม มิน่าล่ะปู่ได้ยินเจ้าพีทกับเจ้าแพทพูดว่าหมอที่โรงพยาบาลสวย กับข้าวอร่อยด้วยว่างั้นปู่เชื่อแล้วล่ะ"
คำพูดพร้อมรอยยิ้มล้อเลียนก็ทำให้คุณหมออดยิ้มตามไม่ได้
แพรวพิศมองหน้าสามีก่อนจะยิ้มออกมา มือก็ลูบผมนิ่มของลูกสาวที่กอดอ้อนขอในสิ่งที่โดนห้ามมาหลายเดือน
"พ่อแค่เป็นห่วงหนูเท่านั้นเอง อย่างอนสิลูก"
ใบหน้าสวยที่ซบกับอกคนเป็นแม่เหล่สายตามามองบิดาเพียงแวบเดียวแค่นั้น
"พายอายุยี่สิบแปดปีนี้แล้วนะคะคุณพ่อ ถ้ารอแต่ให้พี่พีทพี่แพทไปรับส่งแบบนี้เกิดพี่ติดประชุมด่วนอย่างวันก่อนพายก็ต้องรอแหง็ก อีกอย่างอาทิตย์หน้าต้องไปถ่ายละครที่โรงพยาบาลพายว่าจะไปพักที่คอนโดของเจ เพราะมันอยู่ไม่ไกลจากที่นั่นค่ะ"
ลูกสาวคนสวยพยายามอธิบายให้คนเป็นพ่อเข้าใจ สาเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะสองปีที่แล้วรถที่เธอใช้โดนเฉี่ยวชนโชคดีว่าเธอไม่เป็นอะไรมากได้แผลพกช้ำมาเล็กน้อย แต่สภาพรถด้านที่โดนชนพังยุบบุบเข้าไปเกือบถึงเบาะคนขับที่เธอนั่ง ใคร ๆ ก็พูด ว่าเธอมีของดีคุ้มครองถึงไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก เพราะจากแรงกระแทกนั้นมากพอที่จะทำให้ร่างกายสาหัสได้เลย
และนั่นทำให้ครอบครัวเกิดวิตกกังวลกับการใช้รถของเธอ ทั้งที่อุบัติเหตุคราวนั้นเธอไม่ได้ผิดหรือประมาทซักหน่อย คู่กรณีที่เมาแล้วขับมาชนรถเธอที่จอดรอกลับรถต่างหากที่ผิด จากเหตุการณ์ครั้งนั้นพ่อกับพี่ชายขอให้หยุดใช้รถไปนานด้วยการคอยไปรับส่งเวลาทำงาน และก็ไหว้วานผู้จัดการอย่างทิวาและกระต๊อบเพื่อนสนิทคอยดูแลบ้าง มันเลยทำให้เธอรู้สึกเป็นภาระจะไปไหนทีต้องคอยต้องรอตลอด เข้าใจว่าทุกคนเป็นห่วงนั่นแหละแต่จะห้ามไม่ให้เธอขับรถเองเลยนี่มันก็คงไม่ใช่ ในเมื่อแต่ละคนต่างก็มีงานของตัวเองไม่ได้ว่างมากพอจะมาคอยรับส่งเธอได้ทุกเวลาสักหน่อย
ภาสกรถอนหายใจออกมาห่วงก็ห่วง แต่ก็พอเข้าใจว่าลูกสาวก็ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นแล้ว
"ใครทำอะไรขัดใจหลานสาวปู่อีกล่ะเนี่ยหืม หน้ามุ่ยเชียวลูก"
น้ำเสียงประมุขของบ้านดังขึ้นก่อนที่พิรัชต์จะเดินเข้ามานั่งในห้องนั่งเล่นของบ้าน ตามด้วยภาสินีกับหลานชายทั้งสองคนที่อาสาพาออกไปตรวจสุขภาพ ซึ่งในชุมชนจะมีหน่วยงานจากโรงพยาบาลในพื้นที่ มาคอยตรวจสุขภาพเบื้องต้นอย่างเช่นวัดความดัน ตรวจเลือด สุขภาพในช่องปาก เป็นบริการฟรีที่จะมีทุกเดือน
"คุณปู่คุณย่า ผลตรวจเป็นไงบ้างคะ"
พิชญากรลุกขึ้นมาจากท่ากอดซบมารดา แล้วก็ย้ายมานั่งข้างคนเป็นปู่ พิรัชต์ยกมือลูบหัวหลานสาวพลางยิ้ม
"ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก ผลตรวจเลือดคราวก่อนก็ปกติดีไม่มีเบาหวาน ย่าเราก็แข็งแรงดีความดันยังอยู่ในเกณฑ์ แล้วคุยอะไรกันอยู่ล่ะ งอนพ่อเขาอีกละสิ หึ"
คนที่ทำอะไรขัดใจลูกสาวก็คงไม่พ้นพ่อ ที่ห่วงหวงลูกจนเกินเหตุนี่แหละ
"พายแค่ขอเอารถมาใช้เหมือนเดิมเองค่ะ เป็นแบบนี้พายลำบากนะคะเหมือนตัวเองเป็นภาระยังไงไม่รู้ ช่วงนี้ทั้งพี่ทิวากับกระต๊อบก็ยุ่งงานตัวเองไหนจะต้องดูแลพวกน้อง ๆ นักแสดงใหม่ พายควรจะช่วยเหลือตัวเองได้แล้วนะคะ"
"อืม ถ้ามันจำเป็นก็เอาไปใช้เถอะ ใบขับขี่หนูสอบมานี่ใช่มั้ย ไม่ได้ไปซื้อมา"
"ใช่ค่ะ แถมสอบได้คะแนนเต็มด้วย"
น้ำเสียงตอบกับรอยยิ้มแสดงความภูมิใจก็สร้างรอยยิ้มเอ็นดูให้คนสูงวัย
"พี่ไปรับช้าแค่นี้น้องถึงกับงอแงจะขับรถเองเลยนะครับ"
พัชรวิชญ์เอ่ยเย้าคนเป็นน้องที่ทำปากบู้ยู่หน้ามาให้
"ให้พายขับเองดีแล้วค่ะ พี่ ๆ จะได้มีเวลาไปเทคแคร์ดูแลสาวบ้าง"
พี่ชายทั้งสองมองหน้ากันทั้งส่ายหน้าขำ
"บอกแต่พี่เขาไปดูแลสาว แล้วเมื่อไหร่หลานสาวปู่จะมีคนมาดูแลบ้างล่ะ หืม"
พิรัชต์เอ่ยเย้าออกไปบ้าง ถึงจะรักมากห่วงมากเพราะเป็นหลานสาวเพียงคนเดียว แต่ก็ไม่ได้มากไปกว่าภาสกรหรอก
"คุณพ่ออย่าชี้ทางสิครับ ไม่มีก็ดีแล้วลูกสาวคนเดียวผมเลี้ยงได้สบาย"
ภาสกรขัดขึ้นมาให้แต่ละคนยิ้มขำกับความหวงลูก
"นี่ไอ้ภาสแกไม่ได้อยู่ค้ำฟ้าเป็นอมตะนะ จะได้มาดูแลลูกไปได้ตลอดกาลน่ะ ทีแกยังอยากมีคนรักสร้างครอบครัว แล้วจะให้ลูกอยู่เป็นโสดไปคนเดียวได้ยังไง หรือหนูอยากอยู่คนเดียวลูก"