"เจ้าไม่เป็นอะไรมากนะ"
อี้เฟยวางซูเหยาไว้บนตั่งนั่งที่ศาลาริมน้ำ คราแรกเขาตั้งใจจะพานางไปส่งที่กระโจมของนาง ทว่าซูเหยาขอออกมานั่งสูดอากาศหายใจด้านนอกแทน
"หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะ"
แค่กัดปากตนเองเพื่อให้เขาสงสารและป้ายความผิดให้เจินซู่เท่านั้น นางรู้สึกสะใจเสียมากกว่าเจ็บอีก
"เจ้าไปนำน้ำอุ่นกับผ้ามา"
อี้เฟยหันมาสั่งสาวใช้ของฟ่างเซียนเซียน
"เพคะ"
อาถังน้อมรับคำสั่งก่อนจะเร่งเดินออกจากศาลาตรงนี้
"ข้าไม่คิดว่าเทียนฮูหยินจะกล้าทำร้ายเจ้า"
แม้ฟ่างเซียนเซียนจะเป็นเพียงลูกเลี้ยงของเทียนเจินซู่ แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าเจินซู่จะมีจิตใจโหดร้ายกล้าทำร้ายสายเลือดของเสวียนสวี่ในค่ายทหารแห่งนี้
"จะโทษฮูหยินรองฝ่ายเดียวคงมิได้ เป็นข้าเองที่ทำร้ายพี่รองก่อน"
ซูเหยาเล่าพร้อมใบหน้าที่สลดลง
"เจ้าทำร้ายเจินเม่ยด้วยเหตุใด"
อี้เฟยจ้องสตรีตรงหน้าอย่างใคร่รู้
"พี่รองจะทำร้ายอาถัง หม่อมฉันเลยจำเป็นต้องปกป้องบ่าวข้างกาย"
"เหตุใดเจินเม่ยต้องทำร้ายสาวใช้นางนั้น"
"เพราะเรื่อง..."
ซูเหยาทำท่าทีอึกอัก ทั้งอยากพูดแต่สีหน้ากลับหวาดระแวง
"หากเชื่อใจข้าก็พูดออกมาเถิด"
สายตาของอี้เฟยบ่งบอกว่าเขาจะปกป้องนางเองทำให้วูบหนึ่งหัวใจซูเหยากลับหวั่นไหว แต่เป็นเพียงชั่วเวลาขณะหนึ่งเท่านั้น
"หม่อมฉันแค่เล่าเรื่องที่ถูกโจรดักปล้น แต่พี่รองกลับพูดจาเลือดเย็นอยากให้โจรนั้นฆ่าหม่อมฉันเสีย อาถังเลยพูดปกป้องหม่อมฉันจนเกือบถูกพี่รองสั่งสอน"
ซูเหยาเอ่ยเสียงแผ่ว ใบหน้านางก้มมองแต่พื้นเพราะมิกล้าสู้หน้าอี้เฟย
"ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าในสกุลฟ่างเป็นเช่นไรกันแน่"
อี้เฟยพึมพำออกมาเบา ๆ เขามองสตรีตรงหน้าที่ดูเหมือนอ่อนแอแต่ก็ไม่ทั้งหมด เหมือนนางมีความลับอะไรบางอย่างแอบซุกซ่อนไว้มากกว่า
"น้ำอุ่นมาแล้วเจ้าค่ะ" อาถังยกกะละมังไม้เนื้อดีที่บรรจุน้ำอุ่นพร้อมผ้าผืนเล็กเข้ามา
"เจ้ามีอะไรไปทำก็ไปเถอะ"
ซูเหยาเหลือบตามองอี้เฟยที่สั่งสาวใช้นางเงียบ ๆ
"เพคะ"
แม้จะอยากอยู่ดูแลคุณหนูนาง แต่พอเห็นว่าองค์ชายสามเอ่ยเช่นนั้นนางได้จึงถอยออกห่างศาลาแห่งนี้ไป
"พระองค์มีเรื่องสำคัญจะคุยกับหม่อมฉันหรือเพคะ"
ซูเหยาลอบสังเกตเห็นท่าทางอี้เฟยเหมือนมีความในใจและการที่เขาไล่สาวใช้นางออกไปทำให้ซูเหยามั่นใจว่าอี้เฟยต้องมีเรื่องบางอย่างอยากคุยกับนาง
"หันหน้ามานี่ก่อน"
มือหยาบกร้านที่จับแต่ดาบและสายบังเ**ยนม้าเอื้อมไปหยิบผ้าผืนเล็กจุ่มลงในน้ำอุ่น บิดพอหมาดแล้วเรียกสตรีตรงหน้าให้ทำตามคำสั่งเขา
"หม่อมฉันทำเองเพคะ"
ซูเหยาไม่สบายใจที่ต้องให้บุรุษเช่นเขามาจับเนื้อต้องตัว แม้ไม่ใช่เนื้อหนังของนางจริง ๆ แต่ตอนนี้นางครอบครองร่างกายนี้อยู่ คนที่รู้สึกถึงสัมผัสจากกายนี้ก็คือนาง
"อย่ารั้น"
เหตุใดแค่ค้านเล็กน้อยก็หาว่านางดื้อรั้นกัน แต่มองจากแววตาบุรุษตรงหน้าแล้ว อี้เฟยคงไม่ยอมถอยง่าย ๆ หากนางไม่ยอมทำตาม
ซูเหยาค่อย ๆ หันใบหน้าข้างที่มุมปากที่ปริแตกให้อี้เฟยได้ทำความสะอาดแผลให้สะดวก ๆ
"ข้าทำเจ้าเจ็บ"
ซูเหยาแสร้งสูดปากแสดงความเจ็บแสบออกมาทำให้มือหนาชะงักเล็กน้อยเพื่อดูอาการของนาง
"เปล่าเพคะ หม่อมฉันแค่ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากบุรุษผู้อื่น"
"ข้าจะเป็นบุรุษอื่นได้เยี่ยงไรในเมื่อตอนนี้เรากำลังเรียนรู้ใจกัน"
อี้เฟยเอ่ยถึงข้อเสนอของซูเหยาก่อนหน้านี้
"นั่นสิเพคะ พระองค์จะเป็นบุรุษอื่นได้เยี่ยงไร" เสียงนางอ่อนหวานดูเคอะเขินขึ้นทันตา
อี้เฟยมองเห็นทางหางตาว่ามีคนอื่นยืนมองพวกเขาอยู่ คนผู้นั้นคือเจินเม่ย
"องค์ชายมียาแก้ฟกช้ำใช่หรือไม่เพคะ"
นางได้กลิ่นสมุนไพรที่คัวอี้เฟย อีกอย่างบุรุษที่ออกสนามรบบ่อยครั้ง ซ่อมกระบี่ยิงธนูบ่อยหนย่อมพกยาเหล่านั้นติดตัวเป็นแน่
อี้เฟยได้ยินคำถามจึงหยิบขวดยาที่พกไว้ในผ้าคาดเอวออกมา
"องค์ชายช่วยทายาให้เซียนเอ๋อร์ได้ไหมเพคะ"
เสียงออดอ้อนดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อจากอาการเขินอาย
อี้เฟยเป็นคนฉลาด เขาจึงเดินตามแผนการนั้นของซูเหยาอย่างไม่ขัดข้อง
มือหนาแตะผงยาสีนวลที่ปากขวดก่อนจะเอามาจรดลงเบา ๆ ที่มุมปากช้ำเลือดของซูเหยา
สายตาสองคู่ประสานกันอย่างไม่รู้ตัว ผ่านไปชั่วขณะทั้งสองจึงได้สติจากเสียงหนึ่งที่ดังขึ้น
"หม่อมฉันคงมาผิดเวลากระมัง"
เสียงเจินเม่ยเหมือนรู้สึกผิด ทว่าแววตาของนางกลับถลึงจนแทบจะถลนออกมายามมองซูเหยาใกล้ชิดบุรุษของนาง
ซูเหยาแสร้งทำตัวสั่นเมื่อด้านหลังนางมีร่างของเจินซู่ปรากฎขึ้น
"ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว"
อี้เฟยโอบกอดร่างเล็กที่แสดงความหวาดกลัวได้แนบเนียนเข้ามาสู่อกอุ่น
สองแม่ลูกแทบจะถลาเข้ามากระชากหนังศีรษะศัตรูหัวใจของบุตรสาวให้หายแค้นใจหากแต่ทำได้แค่เก็บอาการเอาไว้
"หม่อมฉันมาเพื่อดูบาดแผลของเซียนเอ๋อร์"
เจินซู่กล่าวราวสำนึกผิด
"ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก ฮูหยินรองอย่ารู้สึกผิดเลยเจ้าค่ะ"
ซูเหยาตอบนางทั้ง ๆ ที่อยู่ในอ้อมกอดของอี้เฟย