บทที่ 2

2443 Words
บรืนนน! เสียงรถหรูขับเคลื่อนไปบนท้องถนน ก่อนจะหยุดลงในสถานที่แห่งหนึ่ง ที่หญิงสาวมองไม่เห็น ได้แต่เดินไปตามเส้นทางของเหล่าชายฉกรรจ์ ที่ออกแรงผลักดัน จากด้านหลัง ทว่าเธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความหรูหรา และความกึ่งก้องของเสียง ในสถานที่ที่ใหญ่มากๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเปิดประตูเหล็ก ตามด้วยแรงผลักจากด้านหลัง ให้เธอเดินลงบันไดไปยังอีกที่หนึ่ง ซึ่งกลิ่นมันค่อนข้างแตกต่าง มีความเย็นยะเยือกของปูน เหมือนเป็นชั้นใต้ดิน และมีกลิ่นอับบางอย่าง ซึ่งเธอไม่รู้จุดประสงค์ของคนกลุ่มนี้ ว่าต้องการอะไร รู้เพียงแค่ว่า เธอถูกรถหรูขับตามมาตั้งแต่หกปีที่แล้ว จนกระทั่งวันนี้ ที่มีเหล่าชายฉกรรจ์นับสิบมารุมจับ เธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าพวกมันต้องการอะไรจากเธอกันแน่? ผลัก! “โอ๊ย!” คนตัวเล็กถึงกับร้องเสียงหลง เมื่อถูกแรงมหาศาล ผลักให้ล้มลงไปนอนคว่ำอยู่บนพื้นปูนเย็นเฉียบ แผลบริเวณหน้าท้องที่ยังไม่สมานดี ตอนนี้เธอรู้สึกว่ามันจะเริ่มฉีกแล้วละ “พวกมึงต้องการอะไรจากกู!?” น้ำเสียงห้าวหาญ ตะโกนถามอย่างเหลืออด เธอไม่สนเรื่องพูดคำหยาบคาย เพราะสังคมที่เธออยู่ มันไม่ต่างจากสลัม ที่พวกผู้หญิงไม่ขายตัวกิน ก็ต้องไปเป็นกระสอบทรายในสนามมวยเถื่อน ซึ่งเธอเลือกเป็นอย่างที่สอง เพราะมันแค่เจ็บตัว แต่ไม่ถึงกับเสียศักดิ์ศรี แถมยังมีน้อยคนที่จะทำงานนี้ “หึ! กล้าถามในสิ่งที่ตัวเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ” โทนเสียงทุ้มเข้ม ถูกเค้นผ่านคมเขี้ยวของเจ้าต้ว เป็นเสียงที่ค่อนข้างน่ากลัว และมีความแค้นฝังใจจนเธอสัมผัสได้ “ใช้ชีวิตใหม่บนความตายของคนอื่น รู้สึกยังไงบ้าง รู้สึกสมเพชตัวเอง เหมือนที่กูสมเพชในตัวมึงหรือเปล่า?” คำถามนั้น ทำเอาหญิงสาวหยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะชันตัวนั่งคุกเข่าเพื่อยืนขึ้น แต่ยังไม่ทันไร ก็มีของเหลวเหนียวข้น เทลงมาชโลมบนศีรษะ จนเปียกชุ่มไปทั่วทั้งตัว และมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วห้อง ก่อนที่บุคคลนั้น จะระเบิดเสียงหัวเราะเหมือนพวกบ้าคลั่งปนสะใจที่ได้เห็นเธออยู่ในสภาพนี้ เธอได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเอง ว่านี้มันเกิดเรื่องบ้าห่าเหวอะไรขึ้น แต่พอนึกถึงสิ่งเลวร้ายที่ผ่านมา เรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะเบากว่า เพียงแค่เธอเจอคนโรคจิต สติไม่ดีเท่านั้นเอง (มั้ง) “สะใจพอหรือยัง ถ้าพอแล้วก็ปล่อยซะ กูยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำอีกหลายอย่าง ไม่มีเวลามาเล่นกับพวกโรคจิตหรอกนะ” หญิงสาวเค้นคำพูด อย่างไม่เกรงกลัวคนตรงหน้า ทั้งที่ตอนนี้ เรือนร่างผอมบาง ชโลมไปด้วยเลือดสีแดงสดทั่วทั้งตัว “พวกโรคจิตงั้นเหรอ…” เสียงเข้มพูดขึ้น ก่อนที่เจ้าของเสียงนั้น จะย่างกรายมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า แล้วใช้ฝ่ามือหยาบใหญ่ดึงผมหางม้าชุ่มเลือด ให้ดวงหน้าอ่อนเยาว์เงยขึ้นจนคอแทบหัก ทว่าผ้าที่ปิดตาอยู่ในตอนนี้ ทำให้เธอไม่เห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร แต่มันกำลังใช้ความรุนแรง เพื่อระบายความโกรธแค้นภายในใจ “สิ่งที่มึงโดน ยังไม่เท่ากับสิ่งที่กูกำลังจะทำให้มึงตกนรกทั้งเป็น” เสียงเย็นยะเยือก เค้นผ่านไรฟันอย่างเคียดแค้น ก่อนที่ฝ่ามือหยาบหนาจะยกขึ้นมาบีบรัดลำคอที่มีรอยคมมีด “อึก!” ผลจากแรงบีบแน่นขนัด ทำให้หญิงสาวเริ่มหายใจไม่ออก ความเจ็บจากบาดแผลสดใหม่ ยังไม่เทียบเท่ากับลมหายใจที่ใกล้จะหมดลง แต่พอถึงจุดที่ไม่ไหวฝ่ามือก็เริ่มคลาย แค่ก แค่ก แค่ก! “ตายตอนนี้ยังเร็วเกินไป” “อะ ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต เพียะ!” ดวงหน้าเปื้อนเลือด หันไปตามแรงตบ จนผ้าที่ปิดตาร่นลงมาอยู่บริเวณปลายจมูกจิ้มลิ้ม เธอรู้สึกได้ถึงความชาที่แก้มขวา และมีรสชาติของคาวเลือด แตกพร่าอยู่ในโพรงปาก โดนผู้ชายตบ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่มันเป็นครั้งแรก ที่หัวใจรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล และดูเหมือนจะเจ็บกว่าตอนที่เป็นโรคร้ายจนทำให้น้ำตาไหลพราก “ร้องไห้งั้นเหรอ…” นัยน์ตาสีดำนิล ที่เอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำสีใส เบือนมองเจ้าของฝ่ามือนั้น เมื่อได้เห็นรูปร่างหน้าตาของเขาชัดๆ หัวใจมันกลับเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมเหมือนกำลังจะแหลกสลาย “หึ! น่าสมเพชชะมัด” คำด่าทอ ออกมาจากริมฝีปากหยักได้รูป ก่อนที่เจ้าตัวจะเหยียดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเกือบสองเมตร แล้วแสยะยิ้มมุมปาก จ้องมองมาด้วยสายตาเกลียดชังเข้ากระดูก เธอไม่รู้ว่าบุคลิกภายนอกที่ดูดีราวกับเทพบุตรนั้น จะทำให้หัวใจดวงนี้เจ็บแปลบได้ยังไง แต่การแสดงออกถึงความเกลียดชัง มันทำให้ความรู้สึกนั้นทวีคูณ และนอกเหนือจากความรู้สึกแหลกสลาย เธอยังรู้สึกคิดถึงผู้ชายคนนี้อย่างไม่มีเหตุผล อยากสัมผัสอยากกอด ทั้งที่เขาเพิ่งตบเธอจนหน้าหัน “ขังมันเอาไว้ในนี้ และห้ามให้มันหนีไปไหนเด็ดขาด!” เสียงคำรามดุดัน ออกคำสั่งกับชายฉกรรจ์ด้านหลัง ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกไปจากห้อง แล้วทิ้งให้หญิงสาวที่ถูกจับมา นั่งอยู่บนกองเลือด ด้วยความรู้สึกสับสน และเจ็บปวด ซ่าาา! ก๊อกน้ำสูงระดับเอวบริเวณมุมห้อง ถูกเปิดชโลมเรือนร่างเล็ก เพื่อชำระล้างคราบเลือดที่ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง เมื่อดึงสติออกมาจากความรู้สึกแปลกประหลาดได้ หญิงสาวจึงพยายามแก้มัดเชือกที่มือ รวมถึงผ้าปิดตาที่ยังไม่ถูกถอดออก “เฮ้อ…” เธอถอนหายใจ พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร จึงถอดเสื้อยืดตัวนอกออกมากดแผลบริเวณหน้าท้องแบนราบ ซึ่งตอนนี้เธอยังมีเสื้อกล้าม และบราเซียเป็นชุดซับใน แม้ว่าจะเปียกชุ่มไปด้วยน้ำเย็นเฉียบ แต่ก็ยังดีกว่าต้องแก้ผ้าในห้องที่มีแต่พวกโรคจิตเฝ้าอยู่ เวลาเริ่มผ่านพ้นไป โดยที่เธอไม่รู้ว่าคนพวกนั้น จะขังเธอไปจนถึงเมื่อไหร่ แต่พอถึงช่วงเวลาหนึ่ง ก็จะมีชายฉกรรจ์สองคน เดินเข้ามาพร้อมถือถาดอาหาร ที่เหมือนกับของสุนัข ฟังไม่ผิด พวกมันทำข้าวขยำเศษไก่ ใส่ถาดข้าวหมา แถมยังไม่มีช้อนมาให้ตักกิน แบบนี้เขาเรียกว่าโรคจิตขั้นสุด ขนาดคนจิตหลอนในสลัม ยังไม่มีความคิดวิตถารถึงขั้นนี้เลย “จะให้กินแบบนี้จริงดิ?” หญิงสาวเอ่ยถาม ด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากจะเชื่อ “ถ้ากินไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน!” หนึ่งในสองตอกกลับ ด้วยโทนเสียงแข็งกร้าว ราวกับว่าเธอเคยไปเผาบ้านคนพวกนี้ยังไงอย่างงั้น ดวงตากลมกลึงเหมือนลูกแก้วสีดำนิล ทำได้เพียงจ้องมองอาหารในถาดข้าวสุนัข แล้วกรอกตามองบนอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะไม่เข้าใจ ว่าถูกจับขังเรื่องอะไร ที่สำคัญ เธอยังไม่รู้จักคนพวกนี้มาก่อน “นี่! อย่างน้อยก็ขอเข็มเย็บแผลหน่อยได้ไหม!?” ก่อนที่ชายฉกรรจ์สองคนจะเดินออกไปจากห้อง เธอก็รีบตะโกนขอในสิ่งที่ต้องการ เพราะแผลที่ไอ้ยักษ์เย็บเอาไว้ ตอนนี้มันปริออกจากกัน จนเลือดไหลไม่หยุด หากไม่ได้เย็บแผลใหม่ เลือดเธออาจจะไหลหมดตัว ก่อนจะผ่านพ้นวันนี้ไป “มึงไปถามเฮียก่อน ว่าจะให้ของอีนังนี่หรือเปล่า” ชายหน้าตาเหี้ยมเกรียมหันหน้าปรึกษากัน ก่อนที่หนึ่งในสองจะเดินออกจากห้อง เพื่อไปถามไอ้โรคจิตที่ตบเธอ ไม่กี่นาทีต่อมา ชุดเย็บแผลก็ถูกส่งมาให้ และแน่นอนว่าไม่มียาชา มีเพียงเข็มกับด้ายเย็บผ้า และเหล้าขาว ที่จะให้ใช้แทนแอลกอฮอล์ เหอะ! แม่งบ้าและจิตสุดๆ ไปเลย ว่าไหม ความหงุดหงิดถูกแสดงออกผ่านสีหน้าของสาวหมวย ก่อนที่มือเล็กกระทัดรัด จะเปิดเสื้อชุ่มเลือดดูบาดแผลบริเวณหน้าท้อง ซึ่งตอนนี้ยังมีของเหลวไหลซึมไม่หยุด หากไม่รีบทำความสะอาดแล้วเย็บแผลนี้ซะ เธออาจจะต้องตายจริงๆ ก็ได้ “จะทำให้ตกนรกทั้งเป็นงั้นเหรอ หึ! ที่ผ่านมา มันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว” หญิงสาวพูดกับตัวเอง ก่อนจะหยิบขวดเหล้าขาวขึ้นมาเปิดฝาด้วยฟัน เพียงกรึบเดียว ฝาขวดก็ถูกงัดออก ก่อนที่ของเหลวกลิ่นแรง จะถูกราดลงบนแผลสดๆ ความแสบสันที่แล่นปราดไปทั่วทั้งเรือนร่าง ไม่ทำให้รู้สึกสะทกสะท้านเท่าไหร่นัก ทว่าสองมือที่สั่นเทิ้ม คงเป็นการตอบสนองของร่างกาย ที่ยังไม่ชินชากับความเจ็บปวดเหล่านี้ “เย็บเองมันก็ไม่ได้แย่” พูดจบ มือเล็กก็เอื้อมไปหยิบเข็มในกล่อง ขึ้นมาล้างทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ ก่อนจะสอดด้ายสีขาว เตรียมเย็บลงไปในเนื้อสด เพียงแค่กลั้นหายใจเสี้ยววิ คมเข็มก็สามารถทิ่มทะลุผ่านผนังเนื้อชุ่มเลือดเข้าไปได้ แต่อาจจะต้องแลก ด้วยความทรมานที่ไม่อาจเลี่ยง ทว่ามันจะต้องดีขึ้น ทางด้านยักษ์ - ใจ๋ “ยะ ยักษ์ หมวยถูกคนกลุ่มหนึ่งจับตัวไป พวกเราต้องรีบไปช่วยหมวย!” แฟนสาววิ่งหน้าตาตื่น มาบอกแฟนหนุ่มที่ทำงานในอู่ซ่อมรถเก่าๆ ฝ่ายชายเมื่อได้ยินว่าเพื่อนถูกจับตัวไป จึงรีบทิ้งอุปกรณ์ซ่อมรถในมือ แล้วจับแขนฝ่ายหญิงเอาไว้ “คนพวกนั้นเป็นใคร ใจ๋เห็นหน้าพวกมันหรือเปล่า!?” “หะ เห็น พวกมันเป็นเจ้าของรถยี่ห้อแพงๆ ที่ขับตามหมวยมาตลอดหกปี แต่พวกมันมีกันหลายคน แต่ละคนหน้าตาโหดเหี้ยมทั้งนั้นเลยยักษ์ พะ พวกเราจะทำยังไงดีอะ!” “ใจ๋ใจเย็นแล้วตั้งสติก่อนนะ ยักษ์รู้ว่ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย และอันตรายต่อชีวิตหมวย แต่พวกเราต้องมีสติ ไม่อย่างนั้น พวกเราช่วยหมวยไม่ได้” ฝ่ายชายพูดทั้งที่ตนเองก็เริ่มใจสั่นรัวๆ เพราะเป็นห่วงเพื่อนสนิทที่ถูกจับตัวไป “โอเค ใจ๋จะตั้งสติ แล้วเราควรจะไปแจ้งตำรวจไหม?” “ควร เพราะเราไม่รู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร แต่ใจ๋ก็รู้ใช่ไหม ว่าพวกตำรวจช่วยอะไรเราไม่ได้มาก ยิ่งถ้าคนพวกนั้น เป็นพวกมีอิทธิพล ตำรวจอาจจะทำอะไรไม่ได้เลย ฉะนั้น เราต้องหาทางช่วยหมวยในแบบของเราด้วย” คำพูดของแฟนหนุ่ม ทำให้แฟนสาวผงกหัวรับอย่างเข้าใจ ก่อนที่ทั้งสองจะรีบวิ่งไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์คันเก่า เพื่อไปแจ้งความเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และแผนต่อจากนั้น ทั้งสองคงจะต้องไปหาคนที่พอจะพึ่งพาและช่วยในเรื่องนี้ได้แม้จะไม่ถูกกันก็ตาม ณ.สนามมวยเถื่อน ฟู่~ ควันบุหรี่สีเทาหม่น ถูกพ่นจากริมฝีปากแห้งพราก ลอยละล่องไปบนอากาศที่มีแต่มลพิษทำลายปอดของคนสูบ “เท่าที่กูฟัง มันไม่เห็นจะเกี่ยวข้องอะไรกับกูเลย” เจ้าของใบหน้าคมเข้ม พูดพลางพ่นควันโขมงเต็มห้อง “ไอ้ไฟ อย่างน้อยมึงก็ช่วยเหลือมันหน่อยได้ไหมวะ!?” “แล้วทำไมกูต้องช่วยมันด้วย มันไม่ใช่เมียกูสักหน่อย” “แต่มันทำเงินให้สนามมึง” “เฮ้ย! ไอ้ยักษ์ นี่มันสนามมวยนะเว้ย ไอ้หมวยมันมาที่นี่ เพราะต้องการเงินไปใช้หนี้ กูก็เลยใจดี ให้มันมาลงสนาม ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องบุญคุณ ต้องเป็นกูปะ ที่ทำให้มันหมดหนี้” คำพูดของอีกฝ่าย เป็นสิ่งที่ถูก หากตัดเรื่องสัจธรรมของมนุษย์ออกไป ก็ถือว่าไอ้ไฟเป็นส่วนช่วยทำให้หนี้ก้อนโตหมดไป ทว่าก็ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด ของผู้ถูกกระทำ “แต่เงินที่มึงให้ มันไม่คุ้มค่า ไอ้หมวยต้องทนโดนมึงซ้อมทุกวัน เป็นเวลานานกว่าหกปี กว่าจะใช้หนี้หมด และตอนนี้มันก็กำลังแย่ มึงไปช่วยหน่อยไม่ได้เหรอวะ!?” น้ำเสียงแข็งกระด้าง พูดกับอีกฝ่าย เพราะโกรธแค้นในสิ่งที่มันทำ แต่สิ่งเหล่านั้น ดันเป็นความสมัครใจของเพื่อนที่ตนไปห้ามไม่ได้ “หึ! เรื่องนี้มึงจะโทษกูไม่ได้นะ ไอ้ยักษ์ กูเคยเสนอให้อีหมวยมาเป็นอีตัวบนเตียง และเสนอเงินที่มากกว่าการลงสนาม แต่มันดันปฏิเสธเพราะรักในศักดิ์ศรี ที่กูมองไม่เห็นตั้งแต่แรก มันเลยต้องกลายเป็นคู่ซ้อมเพื่อแลกเศษเงินของกู” “ไอ้เหี้ยไฟ!” คำพูดที่แสดงถึงการเหยียดหยาม ทำให้เพื่อนสนิทเหลืออดที่จะฟัง แต่ก็ทำได้เพียงง้างหมัด เพราะรอบข้างยังมีลูกน้องของอีกฝ่ายยืนกันในระยะประชิด แถมมีอาวุธครบมือ “โธ่! ไอ้ยักษ์ สวะอย่างมึงจะทำอะไรคนอย่างกูได้วะ” “กูทำได้แน่ ถ้ากูคิดจะทำ!” “เหรอวะ! เมื่อไหร่ละ หรือต้องรอให้อีหมวยตายก่อน” “ไอ้ห่าไฟ ไอ้เวรตะไลเอ๊ย!” ร่างใหญ่ดิ้นสุดกำลัง เพื่อจะปล่อยหมัดใส่คู่สนทนา ทว่าลูกน้องเกือบสิบคน ที่ล็อกแขนขาเอาไว้ รั้งไม่ให้ทำสิ่งนั้น ผลัวะ! สิ่งที่เกิดขึ้นดันตรงกันข้าม ตรงที่ฝ่ายปล่อยมัด เป็นฝ่ายที่เหนือกว่า และมันดูเหมือนจะสนุกกับการทำร้ายคนอื่น “ถ้ามึงอยากให้กูช่วยอีหมวย มึงก็ต้องกราบตีนกู” “…..” เงียบ ขณะที่แก้มขวาขึ้นสีแดงช้ำ และมีเลือดกบปาก “กราบ ไม่อย่างนั้น มึงจะได้เป็นเจ้าภาพงานศพแทน” “…..” “กูรู้ ว่าคนที่ตามอีหมวยเป็นใคร ฉะนั้น มึงต้องกราบ” พอได้ยินประโยคนั้น สิ่งที่เพื่อนจะทำก็คือ ยอมกราบตีน ไม่แน่ นี่อาจจะเป็นทางเดียว ที่จะทำให้เพื่อนรักปลอดภัย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD