วันที่ 31 ธันวาคม 2566 เวลา 23.59 น.
ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง…ปัง ปัง ปัง!
ดอกไม้ไฟหลากสีสัน พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้ความมืดแปรเปลี่ยนเป็นความสว่างไสวสวยงาม ต้อนรับปีใหม่ของใครหลายหลายคนที่อาจจะเป็นปีที่ดีสำหรับพวกเขา
ทว่ากลับมีคนบางคน ต้องมองภาพสวยงามเหล่านี้ ด้วยแววตาว่างเปล่า ไร้ความรู้สึกยินดี มีเพียงสภาพเนื้อตัวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสด จากการถูกทุบตีอย่างหนักหน่วง
“หมวย!”
เสียงตะโกนเรียกดังมาแต่ไกล ก่อนที่ชายวัยรุ่นรูปร่างบึกบึน จะวิ่งหน้าตั้งมาหาหญิงสาว ที่นอนแผ่ร่างอยู่บนพื้นถนน ข้างถังขยะ แววตาส่อถึงคำพูดเชิงตำหนิ จ้องมองฝ่ายหญิง ที่ไม่ยอมขยับตัวไปไหน จนกว่าดอกไม้ไฟจะจางหายไป
“สวัสดีปีใหม่”
เมื่อแสงสว่างเลือนหาย หญิงสาวจึงเริ่มบทสนทนา
“ยังมีหน้ามาสวัสดีปีใหม่อีกนะ ดูสภาพเอ็งดิ๊ อย่างกับแมวถูกรถสิบล้อทับ เฮ้อ! ข้าบอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าไปที่นั่นอีก แล้วทำไมเอ็งถึงไม่ฟังข้าเลยวะหมวย!?” เพื่อนชายต่อว่าอีกฝ่ายอย่างเหลืออด แต่พอไม่ได้รับคำอธิบายเหมือนอย่างเคย จึงทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วโน้มตัวลงไปช่วยพยุงเพื่อนกลับบ้าน เพื่อเยียวยาในส่วนที่พอจะช่วยได้
“เมฆละ?”
เมื่อกลับมาถึงที่พัก ฝ่ายหญิงจึงเอ่ยปากถาม
“ห่วงตัวเองก่อนไหม?”
“….”
“ไอ้เมฆมันอยู่กับไอ้ยาท เอ็งไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก มันโตแล้ว ปีนี้ก็มอสอง น้องเอ็งไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสาแล้ว”
“อืม”
“แล้วนี่เอ็งไปที่นั่นอีกทำไม?”
“ไปหาเงิน”
“หาเงินโดยการเป็นกระสอบทรายเนี่ยนะ?”
หนุ่มหน้าคมถามต่อ ขณะที่มือกำลังจับเข็ม เพื่อเย็บแผลบริเวณหน้าท้องแบนราบ ที่เกิดจากคมมีด ซึ่งไม่ใช่แผลแรกที่เกิดขึ้น ทว่าทั้งร่างกายนี้ กลับมีแต่บาดแผลเต็มไปหมด
“ทำไงได้ ในเมื่อมันเป็นหนทางเดียว ที่จะหาเงินมาใช้หนี้ก้อนสุดท้าย” น้ำเสียงราบเรียบตอบกลับ ก่อนที่เจ้าของนัยน์ตาสีดำนิล ดุจดั่งลูกแก้ว จะมองไปยังรูปถ่ายครอบครัว ที่มีพ่อเป็นเสาหลักของบ้าน แต่ว่าตอนนี้ บุคคลนั้นไม่อยู่แล้ว
“ลุงลีคงเสียใจ ที่เห็นเอ็งเป็นแบบนี้”
“เลิกพูดเถอะ”
“หมวย เรื่องมันผ่านมาหกปีแล้วนะ”
“ถึงได้บอกว่าให้เลิกพูด”
“ข้าจะเลิกพูด ก็ต่อเมื่อเอ็งปล่อยวาง”
“ปล่อยวาง? เรื่องอะไรละ เรื่องที่พ่อไปขับรถชนคนตาย หรือเรื่องที่พ่อถูกฆ่าในคุก?” หญิงสาวสวนกลับ ด้วยโทนเสียงที่เปี่ยมล้นไปด้วยความโกรธ และค้างคาใจ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะปล่อยวาง เพราะมีแต่คำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้เต็มไปหมด แต่พอจะสืบค้น กลับไม่มีความคืบหน้า เพราะพ่อของเธอเป็นเพียงนักโทษ ที่เพิ่งขับรถชนคนตายไปหมาดๆ
“หลังจากหมดหนี้ก้อนนี้ เอ็งกลับมาใช้ชีวิตปกติเถอะ ถือว่าข้าขอร้อง เลิกไปลงสนาม เพราะเอ็งไม่มีทางชนะไอ้ไฟ”
“ที่ไป ไม่ได้ไปเพราะอยากชนะ แต่เพราะอยากได้เงิน”
“ข้ารู้ แต่พอเถอะ มวยเถื่อนมันอาจจะทำให้เอ็งตาย”
“ตายก็ดี”
“เอ็งอย่าพูดแบบนี้สิวะ เอ็งได้ชีวิตใหม่มาแล้วนะ”
“ชีวิตใหม่ที่เหมือนตกนรกทั้งเป็นอ่านะ?”
“หมวย”
เสียงทุ้มเรียกชื่ออีกฝ่าย พลางมองด้วยแววตาห่วงใย
“หัวใจดวงนี้เป็นของใครก็ไม่รู้”
หญิงสาวพูดพร้อมกับยกฝ่ามือเปื้อนเลือดขึ้นแนบอก
“หัวใจมันเป็นของเอ็ง เจ้าของเก่าเขายกให้เอ็งแล้ว...”
“ยกให้งั้นเหรอ?”
น้ำเสียงแผ่วเบาพูดแทรก ก่อนจะแสยะยิ้มให้กับชีวิตใหม่ที่เฮงซวย เพราะหลังจากที่ได้รับบริจาคหัวใจใหม่มาแล้ว สิ่งที่เธอพบเจอก็มีแต่ความฉิบหาย ทั้งเรื่องของพ่อ และเรื่องหนี้สิน ที่พ่อวิ่งไปกู้นอกระบบมารักษาเธอ หลายสิบล้านบาท
และหลังจากพ่อเข้าคุกได้ไม่นานนัก คุณย่าก็เกิดล้มป่วย ทำให้เธอต้องดิ้นรนทุกวิถีทาง เพื่อพยุงชีวิตของทุกคนเอาไว้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว พ่อก็ถูกฆ่าตายในคุก ส่วนคุณย่าก็จากไปหลังจากนั้นหนึ่งเดือน คงไม่ต้องบอก ว่าเธอเคว้งคว้าง และจนปัญญาหัวชนฝาขนาดไหน ที่จะต้องทนแบกรับทุกอย่างเอาไว้เพียงผู้เดียว มันทั้งหนักทั้งเหนื่อย ทั้งท้อกับชีวิตนี้
จนบางทีก็คิด ว่าทำไมเธอไม่ตายไปตั้งแต่ตอนนั้น
ตอนที่รู้ว่าป่วยเป็นโรคร้าย น่าจะตายก่อนได้ชีวิตใหม่
จะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องราว ที่ทำให้เจ็บปวดยิ่งกว่า...
วันที่ 1 มกราคม 2567 เวลา 08.00 น.
พรึบ~
ร่างเล็กกะทัดรัดที่สวมใส่เพียงเสื้อกล้ามสีขาว และกางเกงในตัวจิ๋ว ชันตัวลุกขึ้นจากเตียงนอนสามฟุต ตรงดิ่งไปยังห้องน้ำ ก่อนจะส่องกระจกดูสภาพใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำดำเขียว และมีรอยมีดปาดบริเวณลำคอ ถึงจะไม่ลึก แต่ก็เด่นชัด
“อย่าบอกนะ ว่าเอ็งจะออกไปทำงานสภาพนี้?”
โทนเสียงทุ้มเข้มเอ่ยถามจากทางด้านหลัง ในสภาพที่สวมใส่เพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียว แต่ด้วยความที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก จึงเป็นความเคยชิน จนไม่มีคิดเกินเลยในเชิงชู้สาว
“ต่อให้หมดหนี้ แต่ค่าเทอมก็ยังต้องหามาจ่าย”
หญิงสาวตอบกลับ พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบเสื้อยืดสีขาว ที่ตากอยู่บนไม้แขวนเสื้อมาสวมใส่ ตามด้วยกางเกงยีนขายาว และไม่ลืมที่จะมัดรวมผมสีดำนิล ให้กลายเป็นหางม้า
“วันนี้เอ็งนอนพักเถอะ เดี๋ยวค่าเทอมของไอ้เมฆ ข้าจัดการเอง” หนุ่มหน้าคมเสนอตัวช่วย แต่ฝ่ายหญิงกลับส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะรู้ดี ว่าความเป็นอยู่ของอีกฝ่าย ก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก แถมยังต้องหาเงินมารักษาแม่ที่ป่วยอีก ถ้าเธอไปเบียดเบียน อาจทำให้เราทั้งสองล้มพร้อมกัน จนตั้งหลักไม่ได้
“หมวย…”
“ขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่อย่าลำบากเลย”
หญิงสาวพูดแทรกประโยค ก่อนจะเดินออกไปจากบ้านไม้หลังเก่า เพื่อไปทำงานกะเช้า หาค่าเทอมให้น้องชาย ส่วนตัวเองไม่จำเป็นต้องเรียน แม้ว่าจะมีอายุเพียงยี่สิบก็ตาม
“Happy new…เฮ้ย! ไปโดนใครยำมาอีกแล้วเนี่ย?”
เพื่อนสาวในวัยเดียวกัน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจ
‘ใจ๋’ คือเพื่อนร่วมงาน แถมยังเป็นลูกสาวเจ้าของร้านกาแฟ ส่วน ‘ยักษ์’ คือเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก สองคนนี้เป็นแฟนกัน ทำให้เธอกับยักษ์ ไม่มีความรู้สึกในแบบอื่น
“นึกว่าแฟนแกโทรไปเล่าให้ฟังแล้วเสียอีก”
“หือ!? เมื่อวานก็คุยกันนะ แต่ยักษ์ไม่เห็นเล่าเรื่องนี้”
“อืม งั้นช่างมันเถอะ ฉันไปเปิดร้านก่อนนะ”
“ดะ เดี๋ยวสิ สภาพนี้แกจะทำงานไหวเหรอ?”
“ไหว”
“แต่ฉันว่าไม่ไหว”
“ก็บอกว่าไหวไง”
“ไหนลองกระโดดตบสิบที ถ้าทำได้ ฉันจะให้ทำงาน”
“….”
“แต่ถ้าทำไม่ได้ อันเชิญไปหาหมอบัดเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
คู่สนทนายืนนิ่ง เหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่สุดท้าย ก็เดินเลี่ยงเข้าไปในร้านกาแฟ เพื่อทำการเปิดร้านตามปกติ เพื่อนสาวจึงรีบวิ่งมาดักหน้า แล้วแย่งงานในมือไปทำแทน พอถูกแย่งทุกอย่าง ทั้งคู่เลยหยุดยืนแล้วมองหน้ากัน
“เงินเดือน แม่ฉันจะโอนให้แกเช้านี้ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ขอบใจ แต่ยังไงฉันก็จะอยู่ทำงานช่วยแก”
“หมวย สภาพแกควรไปหาหมอมากกว่านะ”
“มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น”
แค่คิ้วแตก ปากแตก ตาซ้ายฟกช้ำ คอกับท้องโดนมีดปาดเท่านั้นเอง โดนหนักกว่านี้ยังเคยมาแล้ว แค่นี้มันไม่ได้แย่
“มันแย่ค่ะ แกอย่าเอาความเจ็บปวดจนเคยชิน มาตัดสินว่าตัวเองไม่เป็นอะไร แกอย่าลืมนะ ว่าแกยังมีน้องชายอยู่ทั้งคน ถ้าเกิดว่าแกเป็นอะไรขึ้นมา แล้วน้องแกจะอยู่ยังไง”
“…..”
ไม่มีเสียงตอบกลับจากคู่สนทนา
“ฉันอยากให้แกรักตัวเองบ้างนะ”
“อืม”
“อย่าอืมแต่ปาก ต้องทำตามด้วย”
“อืม”
“แกก็เป็นซะอย่างเงี้ย ปะ ปิดร้าน”
“แม่แกจะไม่ว่าเหรอ?”
“ไม่ว่าหรอก ปีใหม่ทั้งที ไปหาหมอ”
“ฮะ?”
“ไม่ต้องฮะ หมออยากพบตัวแกค่ะ”
สิ้นสุดประโยคนั้น เพื่อนสาวก็รีบกอดแขนเป็นปลิง แล้วลากอีกฝ่ายขึ้นรถแท็กซี่ เพื่อไปหาหมอที่โรงพยาบาล แต่ระหว่างทาง กลับมีรถหรูสีดำขับตามมา ซึ่งรถคันนี้ เป็นรถคันเดียวกันกับที่ตามเธอมาตลอดหกปีและปีนี้ก็ยังคงตามติด
“มองอะไรอะ?”
ใจ๋หันไปมองตาม พอเห็นรถหรูคันนั้น ก็ทำตาเบิกโต
“นี่มันยังตามแกไม่เลิกอีกเหรอ!?”
“ก็เห็นตามอย่างเดียว ไม่ทำอะไร”
“หึย! แบบนี้มันโรคจิตชัดๆ เลยอะ”
คนตัวเล็กยักไหล่ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์รุ่นเก่าขึ้นมาเปิดดูแอปธนาคาร ที่ตอนนี้มีเงินเดือนเข้ามาแล้ว จึงต้องรีบโอนไปให้ครูประจำชั้นของน้องชาย เพื่อเคลียร์ค่าเทอมให้จบ
เอี๊ยดดด!
ระหว่างที่กำลังส่งข้อความไปหาน้องชาย รถแท็กซี่ที่นั่งมาก็เกิดการเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน ก่อนจะมีชายฉกรรจ์สิบกว่าคน วิ่งมาล้อมคันรถ แล้วเคาะกระจกให้คนขับเปิดประตู ซึ่งเธอคัดค้านการกระทำนั้น แล้วบอกให้คุณลุงคนขับ ขับต่อไปอย่าจอด เพราะเธอมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีนัก
“มะ มันยังตามมาอยู่เลย!”
ใจ๋ตะโกนบอก เมื่อเห็นว่ารถหรูหลายคันขับตามมา
“ลุงไม่อยากมีปัญหานะหนู!”
คุณลุงคนขับหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหาใหญ่ หากไม่ยอมจอดรถ แต่ถ้าจอดตอนนี้ เธอซวยแน่
“เอาไงแก ไปหาตำรวจก่อนไหม!?”
“ไม่!”
เธอปฏิเสธ เพราะไม่สันทัดการเข้าหาเจ้าหน้าตำรวจ
โครมมม!
“เฮ้ย! มันชนท้ายรถ”
“ลุงจอดแล้วนะหนู!”
คุณลุงคนขับไม่กล้าไปต่อ เพราะถูกชนท้ายเข้าอย่างจัง ทำให้รถถูกจอดเข้าข้างทาง ก่อนที่ชายฉกรรจ์นับสิบ จะพากันเดินมาล้อมตัวรถ แล้วเปิดประตูรับบาทาของหญิงสาว
ผลัก!
คนตัวเล็กไม่รอให้โดนจับได้ เลยกระโดดถีบขาคู่ เพื่อเปิดทางให้เพื่อนสาววิ่งหนีไปก่อน แล้วจึงหันไปปล่อยหมัดใส่ชายร่างใหญ่กำยำน่ากลัว ที่กรู่กันเข้ามา ซึ่งเธอไม่ยอมให้ถูกเนื้อต้องตัว จึงใช้ทักษะแม่ไม้มวยไทยที่พอมี ในการเอาตัวรอด แม้ว่าจะโดนสิบรุมหนึ่ง แต่เธอก็พร้อมสู้ขาดใจ ในตอนนี้
ผลัวะ ผลัก ผลัวะ!
ความว่องไวของกระสอบทราย ที่เคยลงในสนามมวยเถื่อน ทำให้หญิงสาวสามารถตั้งรับการต่อสู้ได้ทุกรูปแบบ แต่ดูเหมือนเหล่าชายฉกรรจ์ ต้องการจะจับตัวเธอให้ได้ มากกว่าต่อสู้ เพราะในมือของแต่ละคน ไม่มีอาวุธเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ทว่าพอเธอขัดขืน ทำให้ต้องใช้กำลังในการบังคับให้เธอขึ้นรถ
“ไม่ขึ้น!”
เธอพยายามยื้อตัวเองสุดชีวิต เพื่อไม่ให้ขึ้นไปบนรถหรู แต่พอโดนชายฉกรรจ์นับสิบ ออกแรงดันให้ขึ้นไป ทำให้เธอหมดหนทางหนี จะใช้กำลังเหมือนตอนแรก ก็ดูเหมือนจะยากขึ้น เพราะถูกดักซ้ายขวา แถมยังถูกมัดมือไม่ให้ออกหมัด
“โธ่เว้ย พวกมึงเป็นใครวะ ต้องการอะไรจากกู!?”
ไม่มีคำตอบ มีเพียงผ้าหนึ่งผืนที่ถูกนำมาปิดตาคู่นี้