หลังจากที่วายุส่งสองสาวเสร็จแล้วเขาก็ไปทำงานต่อ แต่ขณะที่ทำงานอยู่นั้นในหัวก็เอาแต่คิดถึงสัมผัสอันตื่นเต้นที่ได้จากน้องสาวต่างสายเลือด ที่เขาไม่ได้เห็นว่าเธอเป็นน้องสาวอีกต่อไป ยิ่งคิดไปถึงหน้าใส ๆ ขาว ๆ มือนุ่ม ๆ ที่มาจับหลังมือตอนที่เธอพยายามจะแย่งกระเป๋า ใจแกร่งก็เอาแต่เต้นระรัวราวกับเด็กหนุ่มเจอสาวที่ถูกใจเป็นครั้งแรก และยิ่งไปถึงความนุ่มหยุ่นของเต้าทรวงที่ท่อนแขนบังเอิญไปโดน ใจแกร่งยิ่งเต้นโครมครามจนแทบจะกระเด็นกระดอนออกมาเสียให้ได้
"เป็นบ้าอะไรวะเนี่ย!" วายุสบถว่าให้ตัวเองพลางสลัดศีรษะให้หยุดคิดเรื่องอกุศล แต่นั่นก็ทำให้หัวเลิกคิดถึงผิวนุ่มไปได้แค่เสี้ยววินาทีเดียวแล้วก็คิดถึงขึ้นมาใหม่ จนเขาไม่มีสมาธิทำงานจนได้
"ก็แค่ผู้หญิงที่เห็นมาตั้งแต่เด็ก จะคิดถึงอะไรนักวะ!" วายุด่าให้กับความฟุ้งซ่านของตัวเอง
'แต่เด็กมันโตแล้วน่าฟัดนี่หว่า'
ก่อนเสียงแย้งจะดังขึ้นในความคิดหื่นกามของตน
ในเมื่อเอาแต่คิดถึงเด็กคนนั้นจนทำงานไม่ได้ วายุจึงต้องหาทางยุติปัญหานี้ ด้วยการเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูขึ้นมาแล้วกดต่อสายทันที
ตู๊ด.. ตู๊ด..
'ฮัลโหลพี่ยุ'
รอไม่นานคนทางปลายสายก็รับสาย วายุถอนหายใจโล่งอกที่วาวีรับสาย ความหงุดหงิดงุ่นง่านในใจจะได้หายไปเสียที
"เย็นนี้พี่เลี้ยงข้าวนะ ฉลองห้องใหม่" วายุบอกกับน้องสาวด้วยน้ำเสียงเข้มในแบบฉบับของเขา
'ทำไมวันนี้ใจดี'
เสียงวาวีดังมาให้ได้ยิน น้องสาวของเขาคงจะแปลกใจที่จู่ ๆ พี่ชายที่ชอบดุหรือสั่งโน่นสอนนี่เกิดอยากเลี้ยงข้าวน้องสาว แล้วแปลกเหรอที่เมื่อก่อนเขาไม่ได้พาน้องสาวออกไปรับประทานที่ไหน ก็ตอนนั้นเขามักจะกลับไปรับประทานอาหารฝีมือแม่นี่นา
"แล้วไม่ดีหรือไง หรือแกจะไม่กิน" วายุแสร้งดุทั้งที่กลัวน้องจะไม่ตอบตกลงจะแย่ ถ้าวาวีเกิดงอนแล้วไม่ไปขึ้นมา เด็กอีกคนที่เป็นเป้าหมายกับการเสียเงินครั้งนี้ก็จะไม่ได้ไปด้วย
'กิน ๆ สิพี่ นานน้านพี่จะเลี้ยงสักที'
แต่แล้ววายุก็ต้องพ่นลมหายใจยาวอย่างเหนื่อยใจเมื่อได้ยินเสียงวาวีลากเสียงประชด มันน่าเลี้ยงข้าวไหมเนี่ย แต่ห้ามโมโหมันเด็ดขาดเพราะเดี๋ยวจะเสียแผน
"ก็แค่นั้น หกโมงเดี๋ยวพี่ไปรับ แล้วไปบอกแป้งด้วย จะกินอะไรก็คิดกันไว้ด้วยล่ะ" วายุตามใจน้องด้วยการให้วาวีเลือกเมนูเอง พูดจบก็รีบตัดสายเพื่อที่วาวีจะได้ไม่เซ้าซี้ถามเรื่องชวนเด็กคนนั้นไปด้วย
จะว่าเขาคล้ายคนมีชะนักติดหลังก็ไม่ผิดที่กลัวคนมาจับสังเกตได้ แต่มันก็ไม่น่าจะผิดปกติที่จะชวนแป้งร่ำไปด้วย เพราะทั้งคู่เป็นเพื่อนกันและเขาก็สนิทกับเด็กคนนั้นอยู่แล้ว แต่ที่หวาดหวั่นว่าจะโดนจับได้เพราะเขาอยากจะสนิทกับแป้งร่ำไปมากกว่าที่เคยนั่นเอง
หลังจากที่นัดกับวาวีเสร็จ วายุก็นั่งทำงานได้อย่างสบายใจ ไร้อาการงุ่นง่านอย่างตอนแรกลิบลับ รู้อย่างนี้โทรนัดสาว ไม่ใช่สิ โทรนัดน้องสาวตั้งนานแล้ว
ถามว่าวายุมองแป้งร่ำแปลกไปจากเดิมตอนไหน ก็น่าจะช่วงที่เธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
ตั้งแต่วายุแยกออกจากบ้านมาอยู่ตามลำพังเพราะการงาน ทำให้ไม่ค่อยได้กลับไปบ้านสักเท่าไร และนั่นทำให้ไม่ได้เห็นความเจริญเติบโตของเด็กคนนั้น เพราะเธอก็ไม่ได้มาเที่ยวเล่นที่บ้านเขาบ่อย ๆ เหมือนกัน
มีวันหนึ่งที่แม่โทรให้มารับวาวีกลับบ้านเพราะวาวีนั้นอยู่ทำรายงานกลุ่มกับเพื่อนจนเย็นเยือก แม่เลยเป็นห่วงเรื่องการเดินทางจึงให้พี่ชายอย่างเขามารับกลับบ้าน เมื่อมารับวาวีแล้วก็ต้องรับแป้งร่ำกลับด้วยเพราะบ้านอยู่ติดกัน ตอนนั้นเขาเพิ่งได้เห็นสองสาวใส่ชุดนักศึกษาครั้งแรก
กับวาวีนั้นเขาไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงเพราะมองน้องสาวเหมือนเด็กสามขวบมาตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่กับแป้งร่ำนั้น ใจแกร่งเต้นระทึกที่ได้เห็นเธอใส่ชุดนักศึกษาเข้ารูปดูเป็นสาวน้อยน่ารักและน่าฟัดในเวลาเดียวกัน และนั่นทำให้เขารู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปเพราะทรวดทรงดึงดูดเพศตรงข้ามของเธอ นับตั้งแต่วันนั้นความคิดอกุศลที่มีต่อนั้นก็มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนตลอดสองปีมานี้เขาไม่สามารถมองหญิงคนไหนได้อีกต่อไป
ณ เวลา 17.12 น. วายุขับรถมาจอดที่ลานจอดรถของหอพักของสองสาว ทั้งที่เวลานัดคือ 18.00 น. แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรีบมานัก
จอดรถได้วายุก็ต่อสายไปเร่งวาวี เพื่อให้หญิงทั้งสองรู้ว่าเขาได้มาถึงแล้ว จะได้รีบลงมาให้เห็นหน้า
และก็ได้ดั่งใจจริง ๆ เมื่อวาวีเดินหน้ายุ่งออกมาจากตึก ด้านหลังมีแป้งร่ำเดินตามมาติด ๆ
สายตาคมมองเลยน้องสาวไปยังคนด้านหลัง แล้วใจแกร่งก็เต้นผิดจังหวะเมื่อเห็นชุดที่เด็กคนนั้นใส่ เธอใส่เสื้อยืดสีฟ้าครามและกางเกงขายีนสั้นครึ่งขาอ่อน อวดความขาวเนียนของเรียวขาให้คนอื่นได้มอง
'กางเกงที่ยาวกว่านี้ไม่มีหรือไงวะ!' เสียงตำหนิดังขึ้นในหัวของวายุแต่ก็ไม่กล้าพูดออกไป เดี๋ยวเด็กมันจะเกลียดเอา
"อะไรของพี่เนี่ย มาถึงก็โทรไปเร่ง หนูกำลังจัดห้องเพลิน ๆ แถมยังไม่ถึงเวลานัดด้วยอีกต่างหาก" วาวีบ่นทันทีที่ขึ้นมานั่งยังเบาะข้างคนขับ
"ตั้งครึ่งค่อนวันแกทำอะไรอยู่ถึงจัดห้องยังไม่เสร็จ" วายุเถียงน้องกลับโดยที่สายตาเหลือบไปมองผู้หญิงอีกคนที่ขึ้นมานั่งยังที่นั่งตอนหลัง เธอสบตากับเขาเพียงนิดก่อนจะหันไปมองนอกกระจกรถเพื่อที่จะชมบรรยากาศด้านนอก
"หนูก็พักผ่อนบ้างสิพี่"
"พักผ่อนของแกคือเล่นเกมทำฟาร์มสินะ โตจะตายแล้วยังเล่นเกมอยู่อีก"
"พี่ก็เล่นเกมงูไม่ใช่เหรอ อย่ามาว่าหนูนะ"
"พี่ไม่ได้เล่นนานแล้วโว้ย!" วายุตะคอกน้องสาวลั่นรถ ยัยน้องคนนี้ทำให้เขาดูแย่ ก็แค่ตอนนั้นเครียดเรื่องงานก็เลยเล่น ๆ ไปอย่างนั้น แล้ววาวีมาเจอเข้าก็เลยล้อมาจนถึงทุกวันนี้
"ฮิ ๆ " แป้งร่ำทนไม่ไหวเผลอหัวเราะเสียงดังเมื่อเก็บอาการขำขันไม่ไหว ที่สองพี่น้องต่อล้อต่อเถียงเหมือนเด็ก ทั้งที่อายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ กันแล้ว โดยเฉพาะคนพี่ที่ปาเข้าไปสามสิบกว่าแล้ว
แต่แล้วแป้งร่ำก็ต้องรีบหุบยิ้มเมื่อวายุเอี้ยวตัวหันมาหาแล้วส่งสายตาเชือดเฉือนมา เธอส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้แล้วรีบหลบสายตาคมกริบคู่นั้น เสหันหน้ามองไปนอกกระจกทันที ก็คนมันขำนี่นาที่รู้ว่าคนตัวโตอย่างกับยักษ์ปักหลั่นชอบเล่นเกมเด็ก ๆ แบบนั้น
"จะกินอะไรกัน?" วายุกระแทกเสียงถามสองสาวหลังจากคนด้านหลังหลบตาไปแล้ว ส่งสายตาคาดโทษโดยที่เจ้าตัวไม่เห็นแล้วดึงลำตัวบึกบึนกลับมานั่งประจำที่ดังเดิม
"หนูอยากกินหมูกระทะ" วาวีตอบพี่ชาย เห็นเพื่อน ๆ ที่พักอยู่หอพากันไปรับประทานตั้งหลายครั้งแล้ว เธอที่พักอยู่ที่บ้านเลยไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ไป เรียนเสร็จก็ต้องรีบกลับบ้านเพราะบ้านไกล ออกมาอยู่ข้างนอกก็คิดว่าจะหาโอกาสไปบ้าง ดีเลยที่พี่ชายใจดีจะพาไปเลี้ยง
"หมูกระทะเนี่ยนะ" วายุชักสีหน้ายุ่งเมื่อได้ยินเมนูอาหารจากปากน้องสาว เขาไม่ชอบอาหารประเภทนี้เพราะมันทำให้เสียเวลามาก นั่งรับประทานกันทีตั้ง 3-4 ชั่วโมง
"เอ้า ก็พี่ยุบอกให้เลือกว่าจะกินอะไร หนูกับแป้งก็อยากกินหมูกระทะ ใช่ไหมแป้ง" วาวีย้อนพี่ชายแล้วหันไปหาพวก ที่พวกเธอคุยกันแล้วว่าจะเลือกหมูกระทะเป็นอาหารมื้อเย็น
"อื้อ" แป้งร่ำพยักหน้าสนับสนุนคำของวาวี
วายุจึงได้แค่ทำแค่ถอนหายใจหนักใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงได้ออกรถไปยังร้านที่วาวีบอก แต่คิดไปคิดมาไปกินหมูกระทะก็ดีเหมือนกันนะ เขาจะได้มีเวลามองผู้หญิงที่เห็นมาตั้งแต่เด็กนานหน่อยว่าเธอนั้นโตขนาดไหนแล้ว
............................
นี่แค่โดนโนมน้องนิดเดียวถึงขั้นไม่มีสมาธิทำงาน ถ้าได้มากกว่านี้ไม่อยากจะคิด 555555