ไร่พ่อเลี้ยงสิงห์
"แม่นาย... เป็นอย่างไรบ้างเจ้า เห็นคำนางบอกว่าแม่นายลื่นล้มจนเจ็บขา" 'ป้าจันทร์ผา'แม่บ้านเก่าแก่คนสนิทของคุณลักษมีเดินเข้ามาประคองเจ้านายลงจากรถพร้อมกับไถ่ถามด้วยความห่วงใย
"ดีขึ้นแล้ว แค่กล้ามเนื้อฉีกขาดนิดเดียว เดินคล่องปรื๋อเลยเห็นมะ" ถึงอย่างนั้นแม่นายกลับยังแกล้งเดินขากะเผลกเพื่อความแนบเนียนตบตาบุตรชาย
"เดี๋ยวป้าจันทร์ผาช่วยดูแลคุณแม่ด้วยนะครับ ผมมีเรื่องจะคุยกับรสาหน่อย" สิงห์พูดเท่านั้นแล้วจึงรั้งข้อมือเล็กของรสาให้เดินตามตนขึ้นไปยังห้องนอน หญิงสาวไม่อยากขัดสามีต่อหน้าคุณลักษมีจึงยอมเดินตามเขาไปอย่างว่าง่ายราวเด็กน้อย
"ปล่อยมือรสาได้แล้วค่ะ" รสาพยายามปัดปฏิเสธมือหนาออกห่างจากการสัมผัสแนบเนื้อ แต่ทว่าการเกาะกุมนั้นกลับแน่นหนักยิ่งขึ้น สิงห์เอื้อมมือไปเปิดประตูพลันคิดเจ้าเล่ห์โอบรั้งร่างบอบบางเข้าไปในห้องนอน จากนั้นตนจึงแทรกกายตามเข้าไปหมายกลั่นแกล้งอีกฝ่ายโดยการปิดประตูเสียงดังปึงปัง
"ตกลงเธอกับไอ้กรรู้จักกันหรอ?"
"ใช่ค่ะ แต่เราไม่ได้ติดต่อกันสองปีแล้ว" รสาตอบเสียงเบาคล้ายไม่อยากเสวนา เธอหรือจะอยากพูดถึงเรื่องราวในอดีตของตนให้กับสามีกำมะลอผู้ไร้ความน่าเชื่อถือเช่นเขาฟัง หากรู้ความจริงไปก็คงจะหัวร่อเธอเสียเปล่า
"แล้วคนที่ชื่อขันเงินล่ะ เขาเป็นใครหรอ?" รสาตวัดหางตามองพ่อเลี้ยงหนุ่มจอมซักไซ้เล็กน้อย เธอหลบสายตาของเขาด้วยอารมณ์เหนื่อยหน่าย
"ฉันไม่สะดวกจะเล่าเรื่องส่วนตัวให้คุณฟังค่ะ"
"ที่ไม่อยากเล่าให้ฉันฟังเพราะคนที่ชื่อขันเงินคงจะมีความสำคัญกับเธอมากสินะ หรือว่ามันเป็นแฟนของเธอ?" คิ้วเข้มเลิกขึ้นถามเชิงประชด
"..." รสาเงียบเป็นเป่าสาก
"หึ! แล้วเขารู้หรือเปล่าว่าแฟนตัวเองหนีมาแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นเพื่อเงิน?" สิงห์เหยียดยิ้มมุมปากถามคาดคั้น เขายกมือขึ้นมากอดอกและจ้องตาภรรยาถมึงทึง
"นี่คุณ! อย่ามาพูดจาแบบนี้นะคะ ที่ฉันแต่งงานก็เพราะชดใช้หนี้สินให้ครอบครัว ฉันไม่ได้เงินเลยสักบาท อีกอย่างหนี้สินนั้นฉันก็ไม่ได้เป็นคนก่อ"
"แต่ตอนนี้เธอก็ตกถังข้าวสารแล้วนี่ เป็นเมียพ่อเลี้ยงสิงห์ เป็นนายหญิงของไร่ที่สามารถชี้นิ้วสั่งใครก็ได้ เงินทองจะใช้เท่าไหร่ก็ได้ เธอจะบอกว่าเธอไม่ได้อะไรเลยได้ยังไง?"
"ฉันไม่เคยคาดหวังอะไรแบบนั้นจากคุณ พ่อเลี้ยงสิงห์กรุณาอย่าพูดจาดูถูกฉันแบบนี้อีกนะคะ" รสาจ้องมองพ่อเลี้ยงหนุ่มแววตาหมองเศร้าเคล้าผิดหวัง เธอเหนื่อยหน่ายจะถกเถียงกับคนมีอคติจึงละสายตาจากใบหน้าคมคาย ร่างบางหมุนกายหมายจะเดินออกไปยังประตูห้องนอน แต่ทว่ามือหนาที่เริ่มคุ้นเคยฉุดรั้งข้อมือเล็กไว้เสียก่อน
"เธอจะไปไหน?"
"ฉันจะไปทำอาหารเย็นไงคะ" ใบหน้าสวยแกล้งเมินและยังสะบัดมือหนาออกจากผิวบางของตน
"หึ! เลิกทำอาหารซะที ไม่งั้นฉันจะไม่กิน" รสาหัวร่อในลำคอเมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนั้น ใบหน้าสวยหวานหันกลับมาจ้องอีกฝ่ายไม่เกรงกลัว
"คุณสิงห์ไม่ทานมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของฉันค่ะ อย่าลืมสิว่าคุณเลือกที่จะไม่ทานเอง" รสาเหนื่อยจะเถียงจึงตั้งท่าเดินออกไปอีกครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้กลับถูกมือหนาโอบรั้งเอวบางเข้าหากายกำยำจนแผ่นหลังเล็กชนเข้ากับแผงอกแกร่งแนบชิด
"อ๊ะ! ปล่อยนะคะ" สิงห์ถือวิสาสะจรดปลายจมูกโด่งลงบนเส้นผมสลวยด้วยอารมณ์เคลิบเคลิ้มหวามไหว กลิ่นหอมละมุนละไมราวดอกไม้หลากหลายชนิดผสมผสานพรมอยู่ทั่วกายงดงามของภรรยาสาว มันช่างปลุกปั่นอารมณ์วูบไหวใคร่ครวญหาให้กับพ่อเลี้ยงหนุ่มได้เป็นอย่างดี
"คุณสิงห์ปล่อยนะคะ"
"เธอจงใจที่จะทรมานฉันโดยการทำให้ฉันไม่ต้องกินข้าวจนตายไปเลยอย่างนั้นหรอ?" เขากดเสียงต่ำถาม
"คุณเลือกที่จะไม่ทานเองนะคะ คุณรังเกียจฉันถึงขั้นทานอาหารฝีมือของฉันไม่ได้เลยหรือคะ?" สิงห์ชะงักอึ้งไปกับคำถามแสนร้ายกาจของภรรยาสาว อารมณ์สั่นไหวกับคำถามเมื่อครู่ทำให้เขายอมคลายอ้อมแขนเล็กน้อย ร่างเล็กกะทัดรัดจึงได้ทีหมุนกายหันกลับมาเลิกคิ้วถาม
"หึ! ไม่กิน ฉันไม่มีทางกินอาหารฝีมือเธอเด็ดขาด" คนท่ามากทำเมินและยอมปล่อยมือออกจากเอวบาง จากนั้นเขาจึงเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาท่าทางเมินเฉย รสาส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วจึงเดินออกจากห้องนอนไปเพื่อเตรียมมื้อค่ำ
เขมขับรถมาส่งรสรินในช่วงบ่ายแก่หลังจากงานการที่ไร่เสร็จสิ้นลง ร่างบางเปิดประตูก้าวลงจากรถจึงเห็นว่ารถของสิงห์จอดอยู่หน้าบ้านแล้ว
"สงสัยพี่สิงห์ไปรับน้องเอมมาแล้ว"
"คุณรสครับ..." เขมเดินตรงมาหาเจ้านายสาวพร้อมกับจ้องมองใบหน้างาม เขาคลี่ยิ้มบางเบาน่าค้นหา
"คะ คุณเขมมองรสแบบนี้ทำไมคะ?" หญิงสาวเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มอาย ผู้จัดการไร่หนุ่มหล่ออารมณ์ดียังคงยืนจ้องมองคนงามอยู่เช่นนั้น
"เอ่อ..."
"อย่านะคะคุณเขม... อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้นะคะ รสยังไม่พร้อมค่ะ" ใบหน้าสวยยิ้มเอียงอายและยังหลบสายตาชายหนุ่มท่าทางอ้อนแอ้น
"เอ่อ...คุณรสพูดเรื่องอะไรครับ ผมแค่จะขอเสื้อคืนครับ" หญิงสาวยิ้มเจื่อนลงเมื่อโดนอีกฝ่ายเหยียบเบรครถหัวคะมำจนเกือบตกหน้าผาชัน
"เสื้อ เอ่อ..." รสรินก้มหน้าลงมองตนเองพร้อมกับถอดเสื้อคืนผู้จัดการไร่หนุ่มท่าทางเอียงอายกับความคิดฟุ้งซ่านของตนเองเมื่อครู่
"หวงจังเลยนะคะเสื้อตัวนี้ ไม่รู้ว่ามีความสำคัญอะไรกับคุณเขมหรือเปล่า" รสรินแกล้งถามประชดแก้เก้อเมื่อเข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายกำลังสารภาพความในใจ
"มีความหมายมากครับ วันนี้เสื้อตัวนี้คงจะหอมมาก ผมจะเอาไปนอนกอดทั้งคืนเลย" หญิงสาวจ้องมองผู้จัดการไร่หนุ่มด้วยแววตาเป็นประกาย หัวใจดวงน้อยพองโตกับคำพูดหยอกล้อที่ฟังดูไม่จริงจังของอีกฝ่าย
"จะว่าไปแล้ววันนี้คุณเขมไม่อยู่ทานมื้อเย็นด้วยกันก่อนหรือคะ ฝีมือการทำอาหารของรสาอร่อยมากเลยนะ"
"จะดีหรือครับ ผมไม่ได้บอกพ่อเลี้ยงไว้"
"พี่สิงห์เขาไม่ทานมื้อเย็นเพราะเป็นฝีมือของรสาค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงว่าพี่สิงห์จะอยู่ร่วมโต๊ะด้วย"
"แล้วพ่อเลี้ยงเขาจะกินอะไรครับ?"
"เขาก็คงให้แม่บ้านทำให้ใหม่นั่นแหละ"
"งั้น...ผมว่าไว้ให้อะไรหลายๆอย่างมันลงตัวกว่านี้ก่อนนะครับ ผมค่อยจะมาทานข้าวด้วย เห็นพ่อเลี้ยงกับคุณรสาแล้วท่าทางจะไม่ลงรอยกันง่ายๆ" เขมเกรงอกเกรงใจพ่อเลี้ยงหนุ่มจึงเลือกปฏิเสธออกไปก่อน
"ก็ได้ค่ะ งั้นขับรถดีๆนะคะ" รสรินยิ้มหวานให้ผู้จัดการไร่หนุ่มแล้วจึงหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้าน
อาหารมื้อเย็น
"ตักข้าวให้ผมด้วยครับ" ทุกคนต่างหันไปมองพ่อเลี้ยงสิงห์ที่เดินลงมาจากชั้นสอง รวมถึงแม่บ้านที่แสดงสีหน้างวยงงออกมาเพราะสิงห์ประกาศชัดเจนว่าจะไม่ทานอาหารที่ภรรยาสาวเป็นคนทำ
"อ้าว! ไหนพ่อเลี้ยงบอกแม่ว่าจะไม่ทานข้าวฝีมือหนูรสาไงจ๊ะ?" ผู้เป็นมารดาเอ่ยประชดประชันบุตรชายน้ำเสียงหยอกล้อ
"นั่นน่ะสิคะ พี่ถ่มน้ำลายขึ้นฟ้าแล้วก็รดหน้าตัวเอง แบบนี้ได้หรือคะ?" น้องสาวจอมแสบไม่ยอมแพ้มารดา
"หุบปากไปเลยยัยรส คุณแม่ก็เหมือนกันครับ ถ้าผมไม่กินฝีมือรสาก็แปลว่าผมยอมแพ้เขาสิครับ" สิงห์พูดพลางทิ้งตัวนั่งลงข้างภรรยาสาว
"แล้วคุณจะติดใจอาหารฝีมือของรสาค่ะ" หญิงสาวพูดกับสามีหนุ่มด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล สร้างความรู้สึกสบายใจสบายตาให้กับคุณลักษมี
"อย่าสำคัญตัวเองสิ ฝีมือการทำอาหารคนกรุงเทพฯอย่างเธอจะสู้ฝีมืออาหารคุณแม่ได้หรอ?" สิงห์พูดพลางตักอาหารเข้าปาก ปลายลิ้นรับรสสัมผัสอาหารแล้วจึงนิ่งไปครู่ใหญ่ รสชาติอาหารแสนอร่อยละมุนราวกับใบหน้าสวยหวานของรสาทำให้สิงห์แอบตีเนียนเคี้ยวหมุบหมับแต่ทว่ายังคงแกล้งตีสีหน้าเรียบเฉย
"อร่อยมั้ยคะ?" รสรินฉีกยิ้มถามและเริ่มลงมือทานอาหาร สิงห์ไม่ตอบและยังตักอาหารเข้าปากอีกครั้งแล้วครั้งเล่าเสียจนทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างอมยิ้มให้กับท่าทางขี้เก๊กของพ่อเลี้ยงหนุ่ม