เช้าวันต่อมา
“สวัสดีครับนักเรียนทุกคน สัปดาห์นี้ก็เหนื่อยกับงานสัปดาห์ชมรมกันอีกแล้วนะ ขอให้พยายามกันนะครับ”
ตบท้ายด้วยรอยยิ้มแสนอบอุ่นปานอยู่ในสวนซากุระ อ.นัตสึเมะ ครูประจำชั้นเราเอง
“อ้อ แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง เดี๋ยวจะมีนักเรียนแลกเปลี่ยนเข้ามาเรียนที่ห้องเรา 1 คนนะครับ ปีนี้เขาเข้ามาช้าหน่อย เพราะติดปัญหาส่วนตัว พวกเธอก็ทำตัวดีๆ กับเขาหน่อยนะ เข้ามาได้เลยครับ”
เพื่อนๆ ในห้องต่างตื่นเต้น พวกฉันก็ไม่แตกต่าง ทันทีที่เธอก้าวเข้ามา
ดวงตาชั้นเดียวแต่นัยน์ตาสีดำกลมโต ผมดำยาวสลวยดัดลอนน่ารัก ปากอมชมพูกับผิดขาวแสนผุดผ่อง ฉันว่ายัยแพรขาวแล้ว คนคนนี้ขาวกว่าอีก ขาวชนิดที่ว่าเกิดมาเคยเจอแดดบ้างมั้ย แล้วหน้าอกหน้าใจนั่นอีก คัพE เลยหรือป่าวนั่น
เสียงในห้องเริ่มเอะอะ จน อ.นัตสึเมะต้องรีบเอ่ย
“เอาเงียบๆ กันก่อน ก่อนอื่นให้นักเรียนใหม่แนะนำตัวก่อนนะ”
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ ลี มินอา แม่เป็นคนประเทศนี้ พ่อเป็นคนต่างประเทศค่ะ เกิดและโตที่ต่างประเทศ ฝากตัวด้วยนะคะ”
“ชมพูแพร ในฐานะหัวหน้าห้อง ช่วยดูแลเธอด้วยนะ”
ยัยแพรทำหน้าเลิ่กลั่ก แต่ก็ขัดไม่ได้
เข้าคาบเรียนวิชาช่างที่ต้องเรียนรวม กลุ่มพวกเรา 5 คนก็รวมตัวกันเหมือนเคย ก็กลุ่มประจำนี่เนาะ
“เอ่อ ชมพูแพร ช่วยพา ลีมินอา เข้ากลุ่มด้วยได้มั้ย ตอนนี้เธอยังไม่ค่อยมีเพื่อนอาจจะต้องปรับตัวหน่อย ครูฝากด้วยนะ”
เหมือนจะถามว่าฝากเข้าด้วยได้มั้ย แต่ก็เหมือนแกมบังคับเลย เพราะไม่รอคำตอบจากพวกเราพี่แกก็รีบเดินไปเลย
“ไม่เป็นไรแพร เธอให้ช่วยนั่งอยู่ตรงนั้นก็ได้ ตรงนี้ยังไงฉันก็ทำอยู่คนเดียวมาตลอดอยู่ละ” ฉันพูดแล้วเลื่อนตัวเองกลับไปใต้ท้องรถ
สักพักฉันก็ได้ยินเสียงคุยอย่างสนุกสนาน
“นี่เล่าเรื่องประเทศเธอให้ฟังหน่อยสิ บลาๆๆๆ” ชมพูแพร สนใจ ยัยนี่เข้ากับคนได้ง่ายขึ้นแฮะบางทีอาจจะเลิกเรียกเธอกันว่า ดอกไฮเดรนเยีย ก็ได้ ถ้าเธอมีเพื่อนผู้หญิงคนอื่นนอกจากฉันก็คงดี ฉันคิดในใจพลางทำงานใต้รถไป
“นี่ๆ ชื่อ ลี มินอา นี่ถ้าคนในครอบครัวหรือคนสนิทนี่ต้องเรียก มินอา เฉยๆ ใช่มั้ย ฉันว่าน่ารักดีนะ” สเตฟานพูดขึ้นมาแบบสนิทสนม
“อืม ใช่แล้ว แต่ถ้าพวกเธอจะเรียกฉันว่ามินอา ฉันก็ไม่ว่าอะไรนะ”
“หรองั้นหรอ ได้ใช่มั้ยแบบนั้น คิกๆ” สเตฟานก็เข้ากับคนอื่นได้ง่ายเหมือนเดิมเลยแฮะ ฉันคิดในใจ
“ว่าแต่ นักเรียนแลกเปลี่ยนนี่เขาพักกันที่ไหนหรอ ส่วนใหญ่จะพักอยู่บ้านอาจารย์กันใช่มั้ย” แทนคุณถามนิ่งๆ
“อ๋อ พักอยู่บ้าน อ.นัตสึเมะ น่ะ”
“ห๊า!!!!” ฮารุกะ ตกใจสุดขีด เหมือนจะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนหรอ
ฉันรีบเลื่อนตัวออกมาจากใต้ท้องรถ ภายในใจรู้สึกปั่นป่วนแปลกๆ
“นี่นายไม่รู้หรอ ฮารุ” ฉันถาม
“ก็เห็นว่ามีคนย้ายเข้ามาอยู่เรือนเล็ก แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้”
“นี่นายควรสนใจเรื่องในบ้านมากกว่านี้มั้ย ฮ่าๆๆ เธออย่าไปถือสาหมอนี่เลยนะ หมอนี่ก็เป็นแบบนี้แหละ”
ฉันยิ้มให้ฮารุแบบอ่อนโยน แล้วหันกลับมายิ้มให้ ลี มินอา
……
ฉันคิดไปเองรึเปล่านะ แว๊บแรกที่เห็นหน้าคนคนนั้น ดูเหมือนเธอไม่สบอารมณ์ หรือการที่เราพูดเหมือนรู้จักฮารุดีจะเป็นการเสียมารยาทไป ไม่หรอก ฉันต้องคิดมากไปเองแน่ๆ
เที่ยงนั้นที่โรงอาหาร ฉันมาช้าเพราะมัวแต่เปลี่ยนชุดกับล้างมืออยู่ แต่เมื่อมาถึงโต๊ะประจำของพวกเรา ที่ๆ เคยมีเก้าอี้ 5 ตัวมันก็ไม่ว่างสำหรับฉันอีกต่อไปแล้ว ฉันรู้สึกใจหวิวแปลกๆ แต่ยัยแพรที่โบกมือให้ฉันแบบไม่คิดอะไร ฉันถือถาดข้าวเดินเข้าไปหาพวกเขา แล้วกำลังมองหาเก้าอี้สำรองเพิ่มเติม ทันใดนั้น ลีมินอาก็ทำท่าจะยืนขึ้น
“เอ่อ ฉันมานั่งแทนที่ใช่มั้ยคะ ขอโทษนะคะ เดี๋ยวฉันลุกให้เดี๋ยวนี่เลยค่ะ” ลีมินอาทำท่าเหมือนจะลุกขึ้น
เฮ้ย ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำเลย ปกติยัยมายด์มานั่งด้วยก็ลากเก้าอี้จากที่อื่นมานั่งอยู่แล้ว ฉันคิดในใจว่ายัยนี่ต้องการจะสื่ออะไร เรื่องเล็กแค่นี้เอง ฉันงงอยู่พักหนึ่ง พอตั้งสติได้ก็มีเสียงเรียกที่คุ้นเคย
“อ้าวเซลลี่ ทำไมวันนี้มาทานช้าล่ะ มานั่งทานกับพวกพี่มั้ย”
คิริวเอ่ยชวน ไปแบบนั้นแหละเพราะรู้เพราะรู้ดีว่า ยังไงเซเลน่า ก็ไม่มานั่งทานกับพวกเขาหรอก
“อ้าวพี่ริว ได้ค่ะ ฉันว่าจะคุยเรื่องแผนงานใหม่พอดี” แน่นอนว่าเรื่องงานเป็นแค่ข้ออ้าง
“งั้นฉันไปนั่งกับพวกรุ่นพี่นะ พอดีต้องคุยงานเพลงใหม่น่ะ” ฉันบอกพวกยัยแพร แล้วรับลนลานเดินตามรุ่นพี่ไป
“หืม งานเพลงใหม่อะไร ไหนว่าจะไม่แต่งเพลง จะไปแต่งอีกทีหลังปีใหม่ ไม่ใช่หรอ มีเรื่องอะไรกับเจ้าพวกนั้นหรอ”
หลังจากนั่งลง รุ่นพี่ก็ซักไซ้
ฉันตอบไปแค่ว่า “เปล่าค่ะ”
“ซะ เซเลน่าตัวจริงเสียงจริงมานั่งกินข้าวกับพวกเรา” เพื่อนพี่ริวคนแรกพูดขึ้น
“ทะ ท่านเซเลน่าเมดสุดร้อนแรงมานั่งกินข้าวกับพวกเรา” เพื่อนพี่ริวคนที่สองพูดตาม
“นี่มันวันที่ชีวิตติ่งแบบพวกเราคอมพลีสแล้วสินะ ขอถ่ายรูปได้มั้ยครับ” เพื่อนคนที่สามก็ตบท้าย
“นี่พวกนาย น่าอายเกินไปแล้ว ทำแบบนั้นยัยนี่ลำบากใจนะ” คิริวพูดแบบหน้าแดง 0//0
อะไรวะขี้หวง//โถ่ไอ่ริวไอ่เพื่อนเลว//ใช่ๆ เพื่อนทรยศออกจากกลุ่มเราไปเลย
“ฮ่าๆๆ” ฉันขำขึ้นมาแบบโล่งอก แล้วพูดเอ่ยขึ้นมา ด้วยรอยยิ้มการค้า
“ได้สิคะ นายท่าน แค่ถ่ายรูปเอง หรือจะให้เซลลี่บริการอะไรก็เรียกใช้ได้เลยนะคะ” ฉันยิ้มรอยยิ้มการค้าไปอีก 1 กรุป
โอ้วมายด์ก๊อดท่านเซเลน่าจงเจริญ//ท่านเซเลน่าผู้แสนงดงาม//ขอถ่ายรูปคร้าบบบบ
ความรู้สึกตะขิดตะขวง และหน่วงๆ ในใจ มันเบาบางลง เพราะพวกรุ่นพี่ช่วยชวนคุย แค่ถ่ายรูปด้วยเอง เล็กน้อยมากค่ะ ฉันคิดในใจ
นี่ฉันเป็นอะไรไปนะ ทำไมรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกแย่ง สิ่งสำคัญ ไปเลย หรือฉันแค่คิดมากไปเอง ขอให้แค่คิดมากไปเองที
คาบสุดท้ายในห้องเรียน
“อาา วันศุกร์นี้ก็วัน สัปดาห์งานชมรมแล้ว ฉันจะเป็นผู้ชมที่ดี” สเตฟานพูดพลางเก็บหนังสือลงกระเป๋า
“เอ้า สตีฟไม่ได้อยู่ชมรมถ่ายรูปหรอ ที่ชมรมไม่โชว์หรอ” ฉันถามออกไป
“ไม่อ่ะ ฉันลาออกนานแล้วน่ะ ช่วงนี้ก็ไปขลุกอยู่กับพวกนายที่ชมรมของยัยแพรตลอดอยู่แล้ว”
“อ้าวหรอ ฉันไม่รู้เลยนะเนี่ย แล้วนายละแทน ชมรมบาสมีแสดงโชว์อะไรมั้ย”
“ก็มีนะ พวกรุ่นพี่ให้ฉันขึ้นโชว์ชู๊ตแค่ 1-2 ลูก เขาว่างั้น ฉันก็เลย ตอบตกลงไป”
“ดีเลย ฉันจะไปดูนายแน่นอน ใช่มั้ยฮารุ เราสองคนมันพวกคนไร้ชมรมนี่ เราต้องไปดูนายกับยัยแพรแน่นอน”
“อืมไปสิ” ฮารุกะยิ้มอ่อนโยน
“เซลลี่มาดูฉันสินะ ฉันจะร้องเพลงของพวกเราด้วยนะ พี่ที่ชมรมก็ตกลงด้วยแหละ”
“อย่างงี้นี่เอง งั้นก็พลาดไม่ได้แล้วสินะ” ฉันยิ้มให้ยัยแพร
“แง ฉันก็ไปด้วยสิ เซลลี่ ฉันก็อยากไปดูนะ” สเตฟานงอแง
“แน่นอนสิจ๊ะ สตีฟน้อยของฉัน ไปด้วยกันหมดนี่แหละ คิกๆ”
“งั้นวันนี้ก็แยกย้ายกันกลับก่อน เอ่อ ฮารุต้องไปขึ้นรถหน้าโรงเรียนไปกับพวกเรามั้ย”
“อืม ไปสิ”
“เอ่อ คุณฮารุกะคะ พอดี อ.นัตสึเมะ บอกให้ฉันกลับพร้อมคุณฮารุกะคะ บอกว่าเดี๋ยวจะมีรถมารับที่หน้าโรงเรียน” ลี มินอา มาตอนไหนเนี่ย ไม่ทันได้สังเกต
“งั้นหรอ งั้นก็ไปพร้อมกันสิ” ฮารุตอบไปแบบไม่คิดอะไร แต่ทำไมฉันใจหวิวๆ นะ ช่วงนี้รู้สึกแปลกๆ จัง
เช้าวันต่อมา
ฉันยืนรอเพื่อนๆ ที่หน้าโรงเรียนพร้อมกับยัยแพร เผลอแป๊บเดียวฉันก็ยืนรอเจ้าพวกนี้เหมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้วงั้นหรอเนี่ย ฉันพยายามไม่คิดมากเรื่องสายตาและท่าทางของ ลี มินอา แต่มันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าทำไมถึงเมินแต่ฉันคนเดียวนะ ทั้งที่ก็คุยกับเพื่อนคนอื่นของฉันแบบปกติ นี่ฉันคงไม่ได้ไปเสียมารยาทอะไรใส่เขาใช้มั้ย ฉันได้แต่คิด
และแล้วก็มีรถหรูคันเดิมมาจอดที่ประจำ
“อ้าวฮารุ” ฉันยิ้มให้เพื่อนตอนที่เขากำลังจะก้าวลงมาจากรถ
แต่สายตาของฉันมันดันเหลือบไปเห็นเด็กสาวที่นั่งมากับเขาด้วยนะสิ อาาา เขาอยู่บ้านเดียวกันนี่หน่า คงไม่แปลกอะไรที่นั่งรถมาเรียนด้วยกัน แต่แบบนี้มันรู้สึก หวิวหัวใจแปลกๆ
“เซลลี่ รออยู่หรอ ไปกันเลยมั้ย”
“อุ้ย” เด็กสาวผมลอนดำสะดุดหกล้ม ขณะที่กำลังก้าวลงจากรถ มือฮารุก็รับเธอไว้ได้พอดี
“เป็นไรมั้ย” ฮารุกะถามนิ่งๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ฮารุ”
ยัยแพรกับฉันตะลึงมากที่เธอเรียก ฮารุกะ ว่าฮารุ จริงอยู่ที่ว่าไม่ได้ห้ามเรียกว่าฮารุ แต่ในหมู่พวกเราจะรู้กันดีว่า จะมีแต่พวกเราเท่านั้นที่เรียกได้ และคนอื่นๆ จะไม่มีใครกล้าเรียกแบบนี้เด็ดขาด เพราะการวางตัวของหมอนั่น ทำให้ดูเป็นคนเข้าถึงยาก แต่ถ้ายัยนี่กล้าเรียกแบบนี้ ถ้าไม่เพราะสนิทกันจริง คงเป็นเพราะตั้งใจยั่วโมโหฉันแน่ ฉันคิดในใจ
ฉันไม่ได้คิดไปเองสินะ ท่าทีกวนโมโหที่ตั้งใจจะเมินฉันแค่คนเดียว ลี มินอา หึหึ เธอรู้จักท่านเซเลน่า ลูกรักพระเจ้าคนนี้ดีพอหรือยัง ที่จะมากวนโมโหคนอย่างฉันแบบนี้ ฉันแสยะยิ้มมุมปาก แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปที่ฮารุ ช้อนสายตาไป 1 ที
“อะไรกัน อะไรกัน ผ่านไปแค่วันเดียว สนิทกันขนาดที่ว่าเรียกชื่อกันแบบนั้นแล้วงั้นหรอ แหมฮารุนี่ไวไฟดีจัง งั้นยัยแพร เราปล่อยหนุ่มสาวเขาจู๋จี๋กันไปก่อนเถอะนะ พวกเราเข้าไปกันก่อนเถอะ”
ขณะที่ฉันกำลังจะหันหลังไป ฮารุก็คว้ามือฉันเอาไว้ ฉันคิดในใจว่า เธอจบแล้วแหละ ลี มินอา เธอคิดจะยั่วโมโหคนแบบเซเลน่างั้นหรอ เธอคงดูละครมากไปสินะ แต่ฉันไม่มีทางเป็นอย่างที่เธอหวังแน่ ถึงวิธีนี้จะขี้โกงก็เถอะ แต่ฉันรู้ดีว่าฉันสำคัญกับฮารุมากขนาดไหน
“เซลลี่ นี่เธออย่าบอกนะว่าเธอกำลัง…..” (0//0) ฮารุพูดตะกุกตะกัก
“เซลลี่ เธอกำลังหึงฉันงั้นหรอ” ฮารุหน้าแดงแปร๊ด
ไม่น่าเชื่อว่าเขากำลังพูดเรื่องแบบนี้ออกมา จะบอกว่าไงดีล่ะ หึงหรอ มันจะนิยามคำว่าหึงได้ยังไงในเมื่อฉันไม่เคยหึงใคร และเหนือสิ่งอื่นใดคือฉันกำลังโมโหที่ยัย ลีมินอา มากวนใจฉันมากกว่า ความอยากเอาชนะนั่น มันทำให้ฉันตามืดบอด
ฉันตอบออกไปแบบไม่คิดอะไร ตอนนั้นไม่คิดจริงๆ ว่าคำที่ฉันเอ่ยออกไปจะทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ได้
“ฮารุกะ นายมองหน้าฉันสิ นี่เซเลน่า ฮาร์ฟ นะ นายคิดว่าฉันจำเป็นต้องหึงนายเพื่ออะไรกันละ ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับนายเลยสักนิด”
ฉันยิ้มให้ฮารุแบบผู้กำชัยชนะ ฮารุเดินหลบไปแบบไม่พูดอะไร นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าสีหน้าของฮารุจะเจ็บปวดขนาดนั้น กว่าจะคิดได้ก็สายเกินไปแล้ว ฉันพลาดไปแล้ว ฉันพลาดไปแล้วจริงๆ คิดแค่จะเอาชนะจนลืมคิดถึงความรู้สึกของเขา
พลาดไปแล้ว พลาดไปแล้วจริงๆ เกมนี้คนชนะไม่ใช่ฉันแต่เป็น ลี มินอา ต่างหาก หัวใจฉันเจ็บแปล๊บมากกว่าเดิม
“เอ่อ ฮารุ เมื่อกี้ฉันไม่ได้” ฉันคว้าแขนเขาไว้แต่เขาสะบัดแล้วเดินหนีไป โดยมี ลีมินอา เดินตามไปติดๆ
ใจของฉันเจ็บปวด เหมือนหัวใจกำลังร้องไห้อย่างหนัก แต่มันร้องออกมาไม่ได้ คนอยู่เยอะเกินไป นั่นมันทำให้ฉันยิ่งเก็บกด เหนือสิ่งอื่นใดคือ ฮารุจะเจ็บปวดแค่ไหนกับคำพูดของฉันนะ
ตอนที่นั่งเรียน แม้เราจะนั่งติดกัน แต่ฮารุไม่พูดกับฉันสักคำ พอฉันจะเอ่ยปากถาม เขาก็เปลี่ยนเรื่องไปคุยกับเพื่อนคนอื่น จนฉันไม่มีเวลาได้อธิบายอะไรเลย จนเวลาล่วงเลยไปถึงพักเที่ยง ฮารุรีบเดินออกไปจากห้อง ไม่แม้แต่จะมองหน้าฉัน
“เซลลี่ แน่ใจหรอว่าจะไม่ไปกินข้าวที่โรงอาหาร" ยัยแพรถามแบบห่วงใย
“อืม ช่วงนี้ฉัน ไดเอทน่ะ” แน่นอนว่าแค่ข้ออ้าง “เธอไปเถอะ ฉันจะอยู่อ่านหนังสือนิดหน่อย” นั่นก็ข้ออ้างอีก
หลังจากยัยแพรไปฉันก็ฟุ๊บบนโต๊ะนักเรียน ใจฉันว้าวุ่นมากเลยตอนนี้ แล้วอยู่ดีๆ ก็มีขนมปังไส้ถั่วแดงที่ฉันชอบมาวางไว้ ฉันเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีบลูแซฟฟลายส์ เขานั่งลงข้างๆ ฉันแล้วเอ่ยถาม
“ทะเลาะกับฮารุหรอ” หมอนี่เซนส์ดีที่สุดในบรรดาพวกเราแล้วสินะ
ฉันถอนหายใจใส่เขา โดยไม่ตอบอะไร หยิบขนมปังไส้ถั่วแดงขึ้นมา
“นายรู้ว่าฉันชอบไส้นี้ด้วยสินะ”
“อืม” เขาตอบมานิ่งๆ
“นี่แทน ฉันพูดเรื่องที่ทำร้ายจิตใจฮารุไปจริงๆ ตอนนี้ฉันไม่มีหน้าไปขอโทษเขาด้วยซ้ำ ฉันจะทำยังไงดีแทน”
“หมอนั่นโกรธเธอไม่นานหรอก ค่อยๆ ไปพูดกับเขา เดี๋ยวเขาก็รับฟัง เพราะเธอสำคัญกับเขามากนะ”
“นั่นแหละปัญหา แทน เพราะฉันรู้ว่าฉันสำคัญกับเขามาก ฉันถึงกล้าพูดออกไปแบบนั้น ฉันคิดว่ายังไงฮารุก็ต้องเลือกฉันมากกว่าคนอื่น ฉันทำเหมือนเขาเป็นของตายนั่น เป็นสิ่งที่ผิดพลาดมากเลยแทน มันเหมือนฉันไปดูถูกความรู้สึกของเขาที่มีต่อฉัน ครั้งนี้ฉันผิดมากจริงๆ เพราะแค่ความโกรธ ยัยลีมินอา เลยทำให้ฉันพูดอะไรโง่ๆ ออกไป”
“ฉันเข้าใจ แต่ยังไงพวกเธอก็ต้องไปเคลียร์กัน เพราะเป็นเพื่อนกันไงล่ะ เขาพูดพลางลูบหัวฉัน” ทำให้ฉันใจชื้นขึ้นมาอีกหน่อย
แล้วก็มีคนเดินเข้าห้องมา ด้วยสายตาสีเงินแสนเย็นชาที่ไม่ได้เห็นนาน เขามองมาที่ฉัน เขาชะงักแล้วเดินออกจากห้องไป