หวังโสว่เหรินเห็นว่าเรื่องบานปลายไปกันใหญ่แล้ว เขาจึงรีบวิ่งมาดักหน้าเถียนซูหลิน และกางแขนห้ามไม่ให้นางเดินจากไป ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะสนุกอย่างนี้แม้ความสนุกจะทำให้ตนเองเป็นตัวตลกของบ่าวไพร่ แล้วจู่ๆ ความสนุกนั้นจะมลายหายไปได้อย่างไร
"เจ้าต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เจ้าทำกับข้าก่อนสิ เจ้ารับปากจะช่วยข้า เพียงแค่มารดาข้าไล่เจ้า เจ้าก็จะทิ้งข้าแล้วงั้นหรือ" เขาพูดออกมารวดเดียว ไม่ใช่คำพูดนี้ที่เขาหมายจะต่อว่าเถียนซูหลินแต่ยังต้องการให้มารดาเขารู้ด้วยว่า มารดาไม่มีสิทธิ์ที่จะไล่สหายของเขาไป งานยังไม่สำเร็จก็คิดจะละทิ้ง
"แต่มารดาเจ้า..."
"ข้าไม่สนยังไม่ถึงชั่วยาม และเรื่องที่เจ้าให้บ่าวของข้าไปเตรียมก็ยังไม่ได้ลงมือเลย เจ้าจะให้ข้าคิดอย่างไร หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นสุนัขหรือของเล่นของเจ้าจริงๆ เหมือนที่มารดาข้ากล่าวกันแน่"
"ไม่ใช่อยู่แล้ว!"
"เช่นนั้นเจ้าก็ทำให้ผมข้ามีสีดำสิ หรือว่าเจ้านึกกลัวขึ้นมา"
"ชิ! ใครกลัวกัน" นางถูกชายอายุน้อยกว่าท้าทายจึงเดินกลับมาหาหวังฮูหยิน "ข้าทำสิ่งใดไม่ค่อยใช้ความคิดสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะข้าอยากจะชวนเขาออกไปเดินเล่นนอกจวนบ้าง จึงคิดว่าหากเขาต้องสวมหมวกตลอดเวลา คงไม่สนุก จึงคิดจะหาวิธีเปลี่ยนสีผมของเขาสักครั้ง แม้จะไม่คงทนแต่ชั่วคราวก็ยังดีเจ้าค่ะ"
หวังฮูหยินที่ยังเดือดดาลเห็นบุตรชายไปห้ามสตรีผู้นั้น ทั้งโน้มน้าวไม่ให้นางไป แสดงว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นบุตรชายของตนเห็นพ้องกับความคิดบ้าๆ นั้น นางจึงยอมเปิดปากเมื่อเถียนซูหลินเดินเข้ามาอธิบายกับตนอีกครั้ง "เจ้าคิดว่าได้ผลเช่นนั้นหรือ? ข้าลองให้หมอมาตรวจ ให้เขาดื่มยายังไม่ได้ผล"เสียงเย็นเอ่ยตอบอย่างไม่ไว้หน้านัก ทำให้เถียนซูหลินหลุบตาต่ำตอบขึ้นมา
"ข้าไม่รู้เจ้าค่ะว่าความคิดของข้าจะสำเร็จหรือไม่ แต่อาจจะต้องลอง ส่วนเรื่องหมอกับเรื่องยา เขาได้บอกกับข้าแล้ว หากลองขับพิษในร่างไม่ได้ก็ลองแก้จากภายนอกที่ผู้คนมองเห็นได้นี่เจ้าคะ" คำพูดนี้กระตุ้นความคิดของหวังฮูหยินทันที ใช่! ทำไมนางคิดไม่ออกกัน ผ้ายังย้อมได้และทำไมเส้นผมถึงย้อมไม่ได้
“เจ้าเอาความคิดมาจากไหน อย่าบอกว่าเจ้าฝัน?” เถียนซูหลินเม้มปากและพยักหน้า “ข้าเคยเห็นในความฝันจริงๆ นะเจ้าคะ ข้าไม่ได้โป้ปดมดเท็จจริงๆ ขนาดผมสีดำยังทำเป็นสีอื่นได้ และในความฝันของข้ายังมั่นใจได้ว่าบุรุษและสตรีส่วนใหญ่ไม่นิยมชมชอบผมสีดำกันสักเท่าไหร่ พวกเขาพยายามเปลี่ยนสีผม ข้าเองยังรู้สึกชอบเลยเจ้าค่ะ” ยิ่งนางเอ่ยออกมา น้ำเสียงยิ่งดูสดใสราวกับความฝันที่นางเล่าเป็นเรื่องที่นางเห็นมากลับตาทั้งยังตื่นตาตื่นใจยิ่ง
"แล้วเจ้าจะทำอย่างไร" น้ำเสียงของหวังฮูหยินอ่อนลงเมื่อเห็นอีกฝ่ายมั่นใจกับสิ่งที่นางกำลังทำ เถียนซูหลินยิ้มในน้ำเสียงกล่าวออกมา
"ครั้งนี้ข้าลองใช้น้ำชาที่ชงแก่ๆ มาหมักผมของเขาก่อน เผื่อจะได้ผลเพราะตอนที่ข้าเคยทำน้ำชาหกลงผ้า สีของชายังติดผ้านอกจากล้างออก แต่หากไม่ได้ยังมีเปลือกของผลเหอเถาที่เอามาบดจนละเอียด เอาไปต้มแล้วมาหมัก ข้ายังคิดไปถึงครามมาผสมกับสมอ และวิธีสุดท้ายที่ข้าคิดออก นำต้นแปะเฮาะเล่งจือ [1] กับใบฟานลี่จื่อ [2] มาย้อมให้เขา"
"เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจะได้ผล" นางส่ายหน้าและเอ่ยขึ้น "อย่างที่บอกว่าข้าไม่รู้แต่ทดลองดู ฮูหยินจะให้ข้าลองได้ไหมเจ้าคะ"
หวังฮูหยินรู้สึกสับสนว่าจะตอบอย่างไรดี อนุญาตหรือปฏิเสธ
"ท่านแม่!" สายตาวิงวอนของบุตรชายทำให้ผู้เป็นแม่อ่อนลง แม้ในใจจะย้อนแย้ง
"อืม! ในเมื่อเจ้าคิดจะทำเพื่อลูกชายข้า นั่นก็เชิญเจ้าตามสบายเถอะ" หลังจากเรื่องราวคลี่คลายมีสาวใช้ผู้หนึ่งเดินมารายงานว่าสาวใช้ของเถียนซูหลินนั่งรออยู่หน้าประตูจวนนานแล้ว
"สาวใช้ของเจ้ามารออยู่หน้าจวนน่ะ จะไปไหนมาไหน ควรพาบ่าวไพร่มาด้วย หากเกิดเหตุใดจะได้มีคนช่วยได้" หวังฮูหยินไม่ลืมเอ่ยตักเตือนและสั่งให้สาวใช้พาอาม่านเข้ามา เถียนซูหลินได้แต่ยิ้มหน้าเจื่อนและกลับมาจัดการกับผมของหวังโสว่เหรินอีกครั้ง
การไปมาหาสู่ระหว่างเถียนซูหลินกับสกุลหวังกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว เพราะทุกวันเถียนซูหลินจะมาทดลองเปลี่ยนสีผมให้กับหวังโสว่เหรินติดๆกัน จนล่วงเลยมาเข้าสู่วันที่เจ็ด ผมของหวังโสว่เหรินก็เริ่มมีสีดำติดดีขึ้น เพียงแต่ไม่คงทนถาวร แค่นี้คนสกุลหวังก็เริ่มมองเถียนซูหลินดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
"ได้แค่นี้ก็นับว่าดีแล้ว สีผมเจ้าก็คล้ายกับคนแก่ที่มีผมสีเทาเลา ย้อมไปสีก็ย่อมติดง่าย เพียงแต่ไม่คงทน ว่างๆ เจ้าก็ให้บ่าวเอาใบพวกนี้ไปตำให้ละเอียดและก็หมักไว้ หากเจ้าทำบ่อยๆข้าว่ามันคงจะติดนานกว่าเดิม ส่วนน้ำซาวข้าวที่หมักเปลือกส้มกับดอกชาเจ้าก็เอามาสระผม เข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่" นางพูดพร้อมรอยยิ้ม เขาเห็นลักยิ้มนางรู้สึกตาพร่าแต่ไม่ลืมเอ่ยตอบ
"อืม...ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเก่งขนาดนี้" เขาเอ่ยปากชมไม่ได้ เขารู้สึกใจเต้นไม่เป็นสับเห็นนางยิ้มแก้มปริขึ้นมาอีกครั้ง
"แน่นอน ข้าเก่งอยู่แล้ว" นางยอมรับคำชมนี้อย่างสง่าผ่าเผยเพียงแต่อดสงสัยไม่ได้ว่าตนเองรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ความฝันแปลกๆล้วนนำเรื่องที่นางไม่เคยรู้มาถ่ายทอดให้ตนเองรู้ทั้งสิ้น นั่นจึงทำให้นางยอมรับถึงการมีจริงของภพหน้าอย่างไม่มีข้อกังขา
"เราไปเดินเล่นด้านนอกกันไหม?" เถียนซูหลินเชื้อเชิญหวังโสว่เหรินให้ออกไปเที่ยวนอกจวนทำให้เขาได้สติกลับมา เขายังรู้สึกประหม่าและยังคงไม่กล้าออกไป
"ผมของเจ้าก็ไม่ได้ขาวจนน่ากล้วแล้วสักหน่อย แค่ไม่ได้ดำเหมือนข้าจะกลัวอะไรอีกเล่า" เขาไม่ตอบได้แต่ก้มหน้า นางโมโหจึงใช้มือฟาดไปที่หัวไหล่
"เจ้าเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า กลัวในเรื่องเล็กน้อย หากเจ้าเจออันตรายที่น่ากลัวกว่าการสบตาคนเจ้าจะอดทนได้หรือ"
"ข้า...ข้า" เขายังไม่กล้าพอที่จะออกไปเดินเปิดเผยตัวให้ผู้อื่นเห็น หากไปคงแต่เก็บตัวในรถม้าเท่านั้น
"ข้าเข้ออะไรอีก เจ้าชื่อหัวตานใช่ไหม ไปรายงานหวังฮูหยินว่าข้ากับคุณชายของเจ้าจะไปเที่ยวข้างนอกจวนสักหนึ่งชั่วยามก็จะกลับ อ๋อ...ขอเงินหวังฮูหยินด้วยเพราะเขาจะเลี้ยงข้าวข้า"
"เอ่อ...ขอรับ" หัวตานบ่าวรับใช้คนหนึ่งที่เคยมีเรื่องกับ
เถียนซูหลินรีบวิ่งไปรายงาน เขายกนิ้วให้กับเถียนซูหลินว่าร้ายกาจและไม่ได้มีความเกรงใจใดๆ ขนาดเงินในกระเป๋าหวังฮูหยิน นางยังกล้าให้เขาเอ่ยขออย่างไม่อาย ช่างน่าเห็นใจฮูหยินกับคุณชายจริงๆ
[1] แปะเฮาะเล่งจือ คือ ทองพันชั่ง
[2] ฟานลี่จือ***คือ น้อยหน่า