นิตรา 5

1940 Words
เมื่อเข้ามาในบ้านสิ่งแรกที่น้ำพริกสัมผัสได้คือกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของน้ำอบไทยซึ่งทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายมาก ตาคู่สวยกวาดมองภายในบ้านที่มีการปรับปรุงใหม่แต่ยังคงโครงสร้างเดิมไว้ น้ำพริกมองสำรวจภายในบ้านด้วยความรู้สึกประทับใจ กระทั่งเห็นคนเป็นแม่กำลังเดินขึ้นไปบนชั้นสองกับอรจึงจะเดินตามขึ้นไป ทว่า...สายตาเหลือบเห็นประตูหลังบ้านเปิดอยู่ ด้วยความอยากรู้ว่าบรรยากาศข้างหลังบ้านจะเป็นอย่างไร เธอจึงเปลี่ยนเส้นทางเดิน ขณะที่เท้าเล็กกำลังจะเดินไปยังประตูหลังบ้าน จู่ ๆ สายตาก็เหลือบเห็นห้อง ห้องหนึ่งที่เปิดไว้อยู่เท้าสองข้างจึงหยุดชะงัก... ใบหน้าสวยหันไปมองภายในห้อง ที่มีผ้าสีขาวปกคลุมวัตถุบางอย่าง สายตาใคร่รู้จึงเพ่งตามองด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าคืออะไร กระทั่งเห็นระนาดเอกโผล่พ้นผ้าสีขาวออกมาข้างนอก เห็นเช่นนั้นก็ตื่นเต้นไม่น้อยและมีความคิดอยากเข้าไปดูข้างในนั้นมาก คิดได้เช่นนั้นจึงหันไปมองทางบันไดเมื่อเห็นว่าอรกับแม่ของเธอยังไม่ลงมา ...จึงถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องเก็บเครื่องดนตรีไทยทันที ขาเรียวเล็กย่างก้าวเข้าไปภายในห้องเก่า ๆ ด้วยท่าทีไม่เร่งรีบ เมื่อเข้ามาด้านในตาคู่สวยก็มองภายในห้องมืดสลัว ที่เต็มไปด้วยเครื่องดนตรีโบราณวางเรียงอยู่ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นไม้เก่า ๆ และกลิ่นหนังอับของตะโพน ทำเอาเธอนึกถึงห้องนาฏศิลป์ในตอนเรียน น้ำพริกกวาดสายตามองสำรวจภายในห้องอย่างถือวิสาสะ แต่ก็ไม่ได้แตะต้องเครื่องดนตรีที่วางอยู่แม้แต่ชิ้นเดียว กระทั่งสายตาสะดุดกับภาพถ่ายรวมเก่า ๆ บานหนึ่งที่ติดอยู่ฝาบ้าน จึงหรี่ตามอง แต่ด้วยความมืดที่จำกัด อีกทั้งภาพถ่ายบานนั้นค่อนข้างเก่ามากทำให้เธอมองเห็นไม่ค่อยถนัด จึงขยับเดินเข้าไปใกล้อีกนิดเพื่อให้มองเห็นชัดขึ้น กระทั่งเห็นใบหน้าของคนที่ปรากฏอยู่ในรูปภาพบานนั้น เธอจึงไล่สายตามองทีละคน ทีละคน กระทั่งหยุดสายตาที่ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งมีใบหน้าสวยงดงามราวกับปั้นแต่ง สวมใส่ชุดนางรำมีชฎาสวมอยู่บนศีรษะ ยืนยิ้มให้กล้องด้วยใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข... ทว่า...ต่างจากเธอที่ยืนมองภาพเบื้องหน้า ด้วยใบหน้าตกตะลึงภายในใจหนักอึ้งเต็มไปด้วยคำถาม... เมื่อผู้หญิงในรูปภาพนั้นหน้าตาเหมือนเธอราวกับ คน คนเดียวกัน... ขณะตกอยู่ในภวังค์ความสงสัยกับสิ่งที่เห็น ก็รับรู้ถึงสายลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านเข้ามาทางประตูกระทบยังแผ่นหลัง อีกทั้งสัมผัสได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังยืนจ้องมองเธออยู่ทางด้านหลังไม่วางตา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงทุ้มแผ่วเบา แฝงด้วยความรู้สึกอันหนักแน่น ดังแววเข้ามาในหูคล้ายกับเรียกชื่อของใครบางคน... ‘นิตรา’ ได้ยินเช่นนั้นน้ำพริกก็สะดุ้งเฮือกหัวใจพลันเต้นถี่ยิบ จากนั้นก็รีบหันกลับไปมองทางด้านหลัง ก่อนจะเห็นแม่ของเธอและอรกำลังยืนมองอยู่หน้าห้องดนตรี จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก พอได้สติก็รีบเดินออกไปข้างนอกอย่างรู้สึกผิด ที่เข้ามาข้างในโดยพลการไม่ขออนุญาตเจ้าของบ้านเสียก่อน... ขณะที่ความสงสัยยังคงไม่จางหาย ว่าเสียงเมื่อครู่ที่ได้ยินคือชื่อของใคร เมื่อหาคำตอบไม่ได้น้ำพริกจึงเลือกเก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ... กระทั่งช่วงเวลาที่จะเดินทางกลับบ้าน จู่ ๆ ฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ อีกทั้งสายลมเย็น ๆ พัดปลิวจนต้นไม้น้อยใหญ่โอนเอียง จนนลินญากลัวจะเป็นอันตรายในคราที่เดินทางกลับ จึงเลือกอยู่ที่นี่อีกสักพักเพื่อรอให้ฝนเบาลงกว่านี้อีกหน่อย จนกินเวลาจวบจนพระอาทิตย์ใกล้จะลับฟ้าถึงได้เดินทางกลับ... รถเก๋งสีขาวแล่นอยู่บนถนนที่สองข้างทางนั้นมืดสลัว เนื่องจากเป็นช่วงเวลาโพล้เพล้พอดี อีกทั้งรอบข้างนั้นไม่ค่อยมีไฟข้างถนนด้วย ทำให้มองไม่ค่อยเห็นเบื้องหน้าเท่าไรจึงไม่สามารถใช้ความเร็วในการแล่นรถได้ ขณะสองแม่ลูกนั่งอยู่บนรถก็พูดคุยกันตลอดทางเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเหงาจนเกินไป นลินญาผู้ซึ่งทำหน้าที่ขับรถพอเห็นถนนด้านหน้าเริ่มไม่ค่อยมีเสาไฟ เนื่องจากไม่ใช่เขตหมู่บ้าน เป็นถนนหลักที่ทอดยาวเชื่อมกับอำเภออื่นเท่านั้น ใจคอก็เริ่มไม่ค่อยดี แถมบรรยากาศในตอนนี้ก็ดูวังเวงชอบกลเกินไป อีกทั้งน้ำพริกที่จู่ ๆ ก็เงียบไป โดยไม่รู้ว่าลูกสาวตั้งใจฟังอยู่หรือหลับไปแล้วกันแน่... นลินญาจึงใช้จังหวะเพียงชั่วครู่ ละสายตาจากถนนเบื้องหน้าหันไปมองคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง แต่พอหันไปภาพที่ปรากฏ ทำเอาเธอตกใจจนขวัญแทบแตกกระเจิงร้องออกมาด้วยความตกใจสุดขีด “ว้าย~” ก่อนจะรีบเหยียบเบรก ขณะหัวใจนั้นหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกทั้งมือไม้สั่นระริก เมื่อเห็นผู้ชายนุ่งโจงกระเบนสวมเสื้อราชปะแตน ที่ศีรษะของเขานั่นเป็นรูใหญ่สามารถมองทะลุได้ นั่งซ้อนทับกับน้ำพริกหันมาจ้องมองเธอเขม็ง ทางด้านน้ำพริกขณะกำลังนั่งเคลิ้มหลับ พอแม่เธอเบรกรถก็รีบใช้มือดันคอนโซลเพื่อไม่ให้ศีรษะกระแทกกับด้านหน้ารถ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำเอาคนตัวเล็กตกใจมาก เมื่อจู่ ๆ แม่เธอก็เบรกรถกะทันหัน แต่พอตั้งสติได้ก็รีบหันไปเอ่ยถามแม่ของเธอด้วยใบหน้าและน้ำเสียงสงสัย “แม่เบรกรถทำไม?” นลินญาที่นั่งตัวสั่นหัวใจวูบหวั่นกับภาพเมื่อครู่ พอได้ยินเสียงน้ำพริกเอ่ยถามก็ได้สติ ก่อนจะค่อย ๆ หันไปมองลูกสาวพอไม่เห็นภาพเมื่อครู่นั้นแล้ว ก็ถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่งอกแม้จะยังหวาดกลัวอยู่ก็ตาม แต่ก็พยายามปลอบใจตัวเองว่าคงตาฝาดไป จากนั้นก็รีบพาลูกสาวเดินทางกลับ เมื่อเห็นบรรยากาศรอบข้างนั้นน่ากลัวเกินไป... อีกฟากฝั่งหนึ่งหลังจากปั้นเศียรเสร็จ ก้องก็ไปหาอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยจากนั้นก็เดินไปหารุ่นน้องและเพื่อนสนิท ที่นั่งดื่มเหล้ากันอยู่เตียงไม้สักหน้าเรือนรับรอง “เมียมึงไปไส?” (เมียมึงไปไหน?) สิ้นคำพูดสี่รามที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็รีบหันมองก้องทันที พอเห็นรุ่นพี่ถอนหายใจออกมาด้วยท่าทีหงุดหงิด อีกทั้งสายตาดุ ๆ มองสี่ไม่ละไปไหน ทำเอาตนหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง เสียวสันหลังวาบแม้จะไม่ได้เป็นคนพูดก็ตาม ส่วนคนที่ถามก็สักแต่พูดโดยไม่มองหน้าเพื่อนในตอนนี้เลยว่ามีสีหน้าเป็นอย่างไร กระทั่งเห็นก้องเอาแต่เงียบไม่ตอบสี่จึงเพิ่งรู้สึกตัว ช้อนตามองเห็นก้องที่จ้องหน้าตนเขม็ง ใบหน้าบ่งบอกถึงความไม่พอใจสี่จึงรีบพูดแก้ตัว “โทษ ๆ กูลืมคาว บ่แม่นเมียมึง ว่าที่เมียมึงไปไสนะ” (โทษ ๆ กูลืมไป ไม่ใช้เมียมึง ว่าที่เมียมึงไปไหนนะ) “บ่ได้ดีกว่าเก่าเลย” (ไม่ได้ดีกว่าเดิมเลย) ก้องพูดพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ สี่เห็นเช่นนั้นจึงพูดต่อ “มึงกะยอมฮับไปโลดมันสิได้แล้ว” (มึงก็ยอมรับไปเถอะมันจะได้จบ) “กะบ่แม่นเมียกู สิให้กูยอมรับจังได๋วะ” (ก็ไม่ใช่เมียกู จะให้กูยอมรับยังไงวะ) “เออ ๆ กูบ่เว้าแล้ว มึงบ่ต้องเฮ็ดหน้ายากปานนั้น” (เออ ๆ กูไม่พูดแล้ว มึงไม่ต้องทำหน้าหงุดหงิดขนาดนั้น) พอก้องได้ยินเช่นนั้นก็เลือกเงียบไม่พูดอะไรกลับไป แล้วนั่งฟังเพื่อนและรุ่นน้องพูดคุยกัน ขณะสายตานั้นมองไปยังหน้าบ้านเป็นพัก ๆ... จนกระทั่งพระอาทิตย์ลับฟ้าจึงแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน หลังจากนั่งมองสี่กับรามขับรถออกจากบ้านแล้ว ร่างสูงก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อตักข้าวที่แม่ทำไว้ไปนั่งกินหน้าห้องครัว ระหว่างนั่งกินข้าวสายตาก็คอยมองไปยังหน้าบ้าน เมื่อเห็นใครบางคนยังไม่กลับทั้งที่ตอนนี้ก็มืดค่ำแล้ว หลังจากกินข้าวอิ่มก้องก็ถือจานไปล้างแล้วคว่ำไว้ให้เรียบร้อย จากนั้นก็เตรียมจะเดินขึ้นบ้าน ทว่าสายตาก็เหลือบเห็นไฟสีส้มของรถเก๋งสาดส่องเข้ามาภายในบ้านเสียก่อน... เท้าหนักจึงหยุดชะงักใบหน้าหล่อเหลาหันมองยังรถดังกล่าวที่ค่อย ๆ แล่นเข้ามาภายในบ้าน ก่อนสายตาจะละจากรถของน้ำพริกมองขึ้นเหนือศีรษะ เมื่อจู่ ๆ ก็เห็นกลุ่มเมฆสีดำล่องลอยปกคลุมท้องฟ้าจนมืดสนิท ตามมาด้วยสายลมเย็น ๆ พัดกระโชกจนต้นไม้น้อยใหญ่โอนเอียงสั่นไหวราวกับถูกพายุลูกใหญ่เล่นงาน อีกทั้งฝูงนกที่เกาะอยู่ตามต้นไม้ส่งเสียงร้องระงมหนาหู ก่อนจะบินแตกรังขึ้นเหนือท้องฟ้า ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่ภายใต้สายตาดำขลับที่มองอยู่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นแต่อย่างใด เมื่อรับรู้ทุกอย่างผิดแปลกไปตั้งแต่รถของน้ำพริกแล่นเข้ามาภายในบ้าน ก้องก็ละสายตาจากท้องฟ้าไปยังหน้าบ้าน... ทำให้สายตาสะดุดกับกลุ่มเงาสีดำทมิฬที่อยู่หน้าบ้าน เนื่องจากเข้ามาข้างในไม่ได้ คิ้วหนาจึงขมวดมุ่น แล้วมองไปยังคนตัวเล็กที่เปิดประตูรถลงมาด้วยสายตาตำหนิ และได้แต่คิดในใจ ว่าเธอไปดื้อที่ไหนมาอีก ทำไมดวงวิญญาณเหล่านั้นถึงตามมาบ้านเช่นนี้... ขณะที่ก้องตกอยู่ในภวังค์ความคิดจู่ ๆ สายฝนก็โหมกระหน่ำลงมาอย่างหนักราวกับฟ้ารั่ว ทำให้เขาได้สติจึงเลือกจะเดินขึ้นบ้านทว่า... “โอ๊ย!” “พริกเป็นไรมากไหมลูก?” ฝีเท้าหนัก ๆ จึงหยุดชะงักแล้วหันไปมองทางหน้าบ้านอีกครั้ง... ทางด้านน้ำพริกขณะกำลังจะวิ่งฝ่าสายฝนที่ตกลงมาไปยังบันได แต่ด้วยความเร่งรีบทำให้ไม่ทันระวังลื่นล้มหงายไปทางด้านหลัง ก้นกระแทกพื้นปวดระบมไปทั้งตัว แม้ตัวเธอจะลุกไม่ขึ้นและเจ็บปวดแค่ไหนแต่ก็ยังเป็นห่วงแม่... “หนูไม่เป็นไร แม่วิ่งไปหลบฝนก่อน เดี๋ยวหนูตามไป” ทางด้านนลินญาแม้จะได้ยินเช่นนั้น แต่ก็ไม่ยอมทำตามที่น้ำพริกบอกด้วยเป็นห่วงลูกสาว แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง จึงมองไปทางบันไดบ้านเห็นก้องยืนมองอยู่ ก็เลยจะวิ่งไปบอกให้เขานั้นมาช่วยลูกสาวของเธอ เมื่อคิดได้เช่นนั้นนลินญาก็รีบวิ่งตรงไปยังบันไดบ้านทันที... เมื่อน้ำพริกเห็นแม่เธอวิ่งไปแล้วก็พยายามดันตัวลุกขึ้นจากพื้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จเมื่อรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้ามาก ราวกับว่าข้อเท้าของเธอหักจึงทิ้งตัวนั่งลงเหมือนเดิม...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD