หลังจากทายาเสร็จน้ำพริกก็ลงไปอาบน้ำ ดีที่เท้าเธอไม่ได้พลิกจึงทำให้ไม่ได้เจ็บมากเท่ากับคราแรก สามารถเดินเหินเองได้ปกติ พออาบน้ำเสร็จเรียบร้อยก็ลงไปกินข้าว ก่อนจะขึ้นไปบนห้อง นอนคุยกับแม่ของเธออยู่ภายใต้ความมืดสลัว ที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเท่านั้น
ไม่นานสองแม่ลูกก็ค่อย ๆ หลับไป...
ค่ำคืนมืดมิดไร้แสง ภายในบ้านไม้หลังหนึ่งที่ทำอาชีพเกี่ยวกับเศียรนั้นเงียบสงัด เนื่องจากทุกคนหลับใหลกันหมดแล้ว เช่นเดียวกับร่างอรชรผิวขาวเนียนที่นอนอยู่บนเตียงใหญ่ ไม่นานก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังเจื้อยแจ้วแว่วเข้ามาในหู เปลือกตาสีเนื้อจึงค่อย ๆ ลืมขึ้น
ทำให้พบว่าตอนนี้ตัวเธอไม่ได้นอนอยู่ภายในบ้านไม้เช่นเดิม น้ำพริกมองภาพที่ปรากฏในตอนนี้ด้วยความงุนงง และไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ในขณะที่ความสงสัยยังไม่ได้รับความกระจ่าง ก็ได้ยินเสียงแหลมสูงดังมาจากหน้าห้องใบหน้าสวยจึงหันไปมอง
“เร็ว ๆ เข้าพวกมึง รีบไปซ้อมกันเถอะ”
“รำสวยขนาดนี้ มึงยังจะซ้อมอีกเหรอวะอี ดอกส้ม”
“ซ้อมสิวะ! เดี๋ยวกูไม่ได้เป็นตัวเอกในงานแสดง” น้ำพริกนั่งมองหญิงสาวที่ชื่อดอกส้มยืนกอดอกพูดจีบปากจีบคออยู่หน้าห้อง ก่อนจะเดินผ่านหน้าห้องเธอไป เห็นเช่นนั้นน้ำพริกจึงเตรียมจะลุกเดินตามสองคนนั้นไป เพราะไม่กล้าอยู่ภายในห้องนี้เพียงลำพังคนเดียว
ทว่า...จู่ ๆ ก็รับรู้ถึงสายลมลูกหนึ่งพัดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ ทำเอาผมปลิวสยาย ตามด้วยเสียงพูดคุยดังเจื้อยแจ้วมาจากข้างนอกพร้อมกับเสียงหัวเราะแลดูมีความสุขไม่น้อย เท้าสองข้างจึงหยุดชะงักแล้วเปลี่ยนเส้นทางเดินไปยังหน้าต่างแทน
ภาพที่ปรากฏเมื่อมองลงไปจากริมหน้าต่างบนชั้นสองของตัวบ้าน เห็นผู้คนเต็มไปหมดไม่ว่าจะชายหรือหญิง อีกทั้งยังแต่งตัวเหมือนกันใส่เสื้อสีขาวสวมโจงกระเบนสีแดง คล้ายกับวงนาฏศิลป์ของมหาวิทยาลัย กำลังยืนพูดคุยกันอยู่ใต้ต้นจามจุรีใหญ่ ภายในบ้านเรือนไทยหลังหนึ่งที่มีบริเวณกว้างขวาง ซึ่งคล้ายกับหลังที่เธอเพิ่งไปมาเมื่อเช้า
ขณะกำลังยืนงุนงงกับภาพเบื้องหน้า สายตาก็มองคณะดนตรีของวงปี่พาทย์ที่ยืนรายล้อมกันอยู่ จะแยกย้ายกันไปประจำที่ โดยผู้ชายที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เล่นเครื่องดนตรีก็เดินไปหยิบจับเครื่องดนตรีของตน เพื่อเตรียมพร้อมในการซ้อม ส่วนผู้หญิงก็ไปยืนเรียงกันเพื่อทำหน้าที่ในการร่ายรำ...
ร่างเล็กยืนมองคณะนาฏศิลป์ด้วยความรู้สึกตื่นเต้น หัวใจดวงน้อย ๆ พลันเต้นถี่ยิบ เมื่อภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้ไม่ต่างจากการที่เธอได้เข้าไปนั่งชมการแสดงโขนของวงปี่พาทย์ ภายในงานมหรสพแม้แต่น้อย
ตาคู่สวยลุกแวววาวเป็นประกาย ยิ่งได้ยินเสียงของระนาดเอกค่อย ๆ บรรเลงเพลงไทยเดิมอย่างเพราะพริ้งประสานกับเครื่องดนตรีชนิดอื่นอย่างลงตัว อีกทั้งนางรำยกแขนตั้งวงแล้วจีบนิ้วร่ายรำกันอย่างพร้อมเพรียงสวยงาม
ภาพด้านล่างที่เห็นทำเอาร่างเล็กประทับใจไม่น้อย และไม่อาจละสายตาไปจากความงดงามของการแสดงศิลปะไทยที่มีทั้งความอ่อนช้อยและสง่างามได้...
ขณะกำลังชื่นชมภาพเบื้องหน้า จู่ ๆ บรรยากาศก็แปรเปลี่ยนไป ท้องฟ้าจากที่เคยแจ่มใสก็มืดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ใบหน้าสวยจึงเงยขึ้นมองก้อนเมฆสีดำที่ล่องลอยปกคลุมทั่วท้องฟ้าจนมืดสนิท
บรรยากาศดูอึมครึมเงียบสงัดลงอย่างเห็นได้ชัดเพียงชั่วพริบตา อีกทั้งสายลมเย็น ๆ พัดปลิวมากระทบยังผิวกายจนรู้สึกหนาวเหน็บ ร่างเล็กจึงต้องยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองเพื่อเพิ่มไออุ่นให้กับร่างกาย...
แม้บรรยากาศในตอนนี้จะเปลี่ยนไปแต่เสียงดนตรีไทยยังคงบรรเลงไม่ขาดสาย ทว่าไม่ไพเราะเพราะพริ้งเหมือนก่อนหน้า ฟังดูหดหู่และเศร้าสลดใจ จนร่างเล็กรู้สึกขนลุกชูชัน
ก่อนจะละสายตาจากท้องฟ้ามองไปยังเหล่าคณะนาฏศิลป์ที่อยู่ข้างล่างอีกครั้ง ภาพที่เห็นจากที่เคยมีเหล่านางรำหลายคนกำลังร่ายรำกันอย่างสวยงาม กลับกลายเป็นเหลือผู้หญิงเพียงคนเดียวที่สวมใส่ชุดไทยเต็มยศ มีกรองคอสวมคอทับลงบนเสื้อ พาหุรัดสวมใส่แขน นุ่งภูษาลายไทยสวยงาม ส่วนด้านบนศีรษะมีชฎาสวมอยู่ กำลังร่ายรำอย่างอ่อนช้อยจีบนิ้วขึ้นคลายจีบออก แล้วตวัดข้อมือไปมา ขณะเท้าทั้งสองข้างนั้นย่ำซอยอยู่กับที่...
ในขณะที่ชายคนหนึ่งซึ่งนั่งหันหลังให้เธอกำลังตีระนาดอย่างตั้งใจ ถัดจากชายคนดังกล่าวเป็นชายอีกสองคนซึ่งทำหน้าที่เป่าปี่ในและตีตะโพนให้หญิงสาวคนนั้นรำ
น้ำพริกยืนมองคณะนาฏศิลป์สี่คนกำลังซ้อมดนตรีอยู่ใต้ต้นจามจุรีใหญ่หน้าบ้านด้วยสายตาใคร่รู้
ขณะสายตากำลังทอดมองไปด้านล่างอยู่นั้นจู่ ๆ ก็รับรู้ถึงสายลมเย็นยะเยือกกระทบยังแผ่นหลังขาวเนียน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงรองเท้าหนังส้นหนาสีดำสนิทกระทบลงยังพื้นไม้เสียงดังเป็นจังหวะ...
ตึก ตึก
ทำเอาหัวใจดวงน้อย ๆ ของคนที่ได้ยินเต้นสั่นระรัวกลัวจับจิต ยิ่งเสียงนั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นเท่าใด เหงื่อบนฝ่ามือก็ยิ่งเปียกชุ่ม อยากจะหันกลับไปมองทางด้านหลังแต่ก็ไม่กล้า เพราะกลัวเห็นภาพที่ไม่อยากเห็นเอาแต่ยืนอยู่ท่าเดิม กระทั่งได้ยินน้ำเสียงเย็นเฉียบดังขึ้นข้างหู...
“จำสัญญาที่เคยพูดไว้ได้ไหม...”
“สัญญาว่าจะกลับมาอยู่ด้วยกันไง...”
สิ้นเสียงแผ่วเบาแฝงด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและคับแค้นใจ ระนาดเอกและปี่ในเครื่องดนตรีไทยก็บรรเลงเพลงไทยเดิมอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งนางรำนั้นก็ร่ายรำบิดกายตามจังหวะดนตรีราวกับไม่มีกระดูก อากัปกิริยาผิดแปลกของคณะนาฏศิลป์เหล่านั้น ทำเอาน้ำพริกถึงกับหวาดกลัวจนกลั้นลมหายใจไปชั่วขณะ
กระทั่งได้ยินเสียงตะคอกของชายปริศนาที่ยืนอยู่ทางด้านหลังพูดขึ้นข้างหู...
“จำได้ไหม!”
พร้อมกับนางรำที่สวมใส่ชฎาทำท่าสะพานโค้งหันมามองเธอแล้วชี้นิ้วด้วยใบหน้าโกรธขึ้ง ดวงตานั้นเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลรินออกมา น้ำพริกเห็นเช่นนั้นก็กลัวจนตัวสั่นระริก ตาเบิกกว้างคู่นั้นที่มีน้ำรื้นอยู่ ก็ไหลพรากออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความรู้สึกในตอนนี้สับสนไปหมดเพราะไม่รู้ว่าภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือความจริงหรือความฝันกันแน่
ก่อนที่ตาคู่สวยจะรีบหลับลง...
เฮือก!