หลังจากหน้าล้างแปรงฟันเสร็จน้ำพริกก็เข้าไปในครัวช่วยกัญญาทำกับข้าว กระทั่งตะวันโผล่พ้นพื้นดินทอแสงสาดส่องเข้ามาทางด้านหน้าต่างไม้
ทางด้านลูกชายเจ้าของบ้านหลังจากกวาดเรือนรับรองเรียบร้อย ก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อกาแฟชงกิน เนื่องจากเมื่อคืนไม่ค่อยได้นอนเท่าไหร่ เพราะมัวแต่ระแวงว่าอีกคนจะเดินละเมอออกไปไหนกลางค่ำกลางคืนอีก
ทำเอาขอบตาดำคล้ำอีกทั้งสมองเบลอไม่ค่อยสดชื่น จึงต้องพึ่งคาเฟอีนช่วยกระตุ้นร่างกาย...
ขณะก้องรอกาต้มน้ำที่อยู่บนเตาถ่านร้อน ตาดำขลับก็เหลือบมองยังคนตัวเล็กที่กำลังนั่งตำพริกด้วยท่าทีทุลักทุเลเป็นพัก ๆ เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่คิดในใจว่าไม่น่ารอดก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ จากนั้นก็เลือกหันไปสนใจกาต้มร้อน...
ทางด้านกัญญาเมื่อเห็นว่าทั้งลูกชายและว่าที่ลูกสะใภ้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา จึงถือโอกาสพูดถึงฤกษ์ยามที่ให้พ่อของก้องไปดูมาเมื่อวาน
“แม่ได้ฤกษ์แต่งงานแล้วเด้อก้อง” ขณะร่างสูงยืนฟังเงียบ ๆ ไม่คิดจะเอ่ยถาม ต่างจากคนตัวเล็กพอได้ยินคำว่าฤกษ์แต่งงาน ก็หูผึ่งแล้วรีบถามกำหนดวันทันที
“วันไหนคะ?”
“อาทิตย์หน้าจ้ะ น้ากับลินคุยกันแล้วว่าจะไม่จัดงานใหญ่เลี้ยงแค่ภายในครอบครัวเท่านั้น ไม่งั้นมันต้องเตรียมงานหลายอย่างและใช้เวลานาน”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูเข้าใจ” แม้แต่งงานทั้งทีก็อยากจัดงานให้ใหญ่โต ชวนเพื่อนตั้งแต่อนุบาลมาร่วมงานก็ตาม แต่ด้วยเวลาที่จำกัดจึงยากที่จะทำแบบนั้นน้ำพริกจึงจำต้องยอม
“เดี๋ยวสาย ๆ แม่ให้ร้านเช่าชุดแต่งงานเอาชุดมาให้ลองนะ”
“ค่ะ”
“มีหยังอีกบ่ ข่อยสิไปหากินกาแฟมันสิเย็นเบิ่ดก่อน” (มีอะไรอีกไหม ฉันจะไปกินกาแฟเดี๋ยวมันจะเย็นหมดก่อน)
“บ่มีแล้ว” (ไม่มีแล้ว) พอได้ยินคำตอบของคนเป็นแม่ก้องก็ถือแก้วกาแฟเดินออกไปข้างนอกทันที โดยมีตาคู่สวยมองเขากระทั่งพ้นสายตา ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ เมื่อนึกภาพหลังงานแต่งที่ต้องพบเจอกับความเย็นชาของอีกคน...
ทางด้านกัญญาที่ชำเลืองอยู่ก็นึกเห็นใจน้ำพริกไม่น้อย ก่อนจะพูดปลอบใจ
“ให้เวลาพี่เขาหน่อยนะลูก คนไม่เคยมีแฟนก็แบบนี้แหละ”
“ค่ะ” พอนึกถึงเรื่องคืนนั้นน้ำพริกก็มีกำลังใจขึ้นมา ก่อนจะเลือกทิ้งความน้อยใจทั้งหมด แต่พอทวนคำพูดของกัญญาที่ได้ยินเมื่อครู่อีกครั้ง จึงเอ่ยถามด้วยใบหน้าสงสัย
“เขาไม่เคยมีแฟนเหรอคะ?”
“น้าไม่เคยเห็นก้องมีแฟนนะ”
“ถึงว่าเห็นหวงเนื้อหวงตัวจัง” ร่างเล็กพูดอุบอิบคนเดียวเมื่อนึกถึงเรื่องที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่ ก่อนใบหน้าสวยจะเอ่อแดงเมื่อในหัวดันคิดเรื่องลามกของเธอกับเขา
หากวันไหนมีอะไรกันขึ้นมา แล้วจะเริ่มยังไงถ้าหากไม่เคยเรื่องอย่างว่ากันทั้งคู่...
ร่างเล็กตกอยู่ในภวังค์ความคิด ขณะปากเล็กกัดเม้มกันแน่น ด้วยความเขินอาย แต่พอได้สติก็รีบสะบัดความคิดนั้นทิ้ง จากนั้นก็รีบช่วยกัญญาทำกับข้าวต่อจนกระทั่งใกล้เวลาเจ็ดโมงที่พระจะมาบิณฑบาต น้ำพริกจึงไปอาบน้ำแล้วถือตะกร้าไปนั่งรอพระสงฆ์ที่หน้าบ้าน...
ซึ่งรอไม่นานพระภิกษุสงฆ์ก็เดินมาหยุดยืนด้านหน้า ร่างเล็กจึงยกข้าวเหนือศีรษะแล้วกล่าวคำใส่บาตรอย่างตั้งใจ แล้วตักข้าวใส่บาตรที่พระภิกษุเปิดรออยู่ด้วยจิตที่บริสุทธิ์ เมื่อเสร็จก็กรวดน้ำที่น้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรที่เธอผูกเวรไว้กับเขาให้คลายความเคียดแค้นลง
ร่างเล็กค่อย ๆ เทน้ำจากขวดสู่แก้วตาอย่างตั้งใจ คู่สวยมองน้ำที่ไหลรินไม่ขาดสาย ขณะเสียงบทสวดให้พรนั้นดังไม่ว่างเว้น...
“ยะถา วาริวหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปาจันโท ปัญณะระโส ยะถา มะณิ โชติระโส ยะถา สัพพีติโย วิวัชฌันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ มา เต ภะวัตวันตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภะวะ อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมาวัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พลัง”
ทางด้านก้องที่นั่งกินกาแฟอยู่เตียงไม้สักหน้าเรือนรับรอง ดวงตามองยังร่างเล็กที่กำลังกรวดน้ำอยู่ จู่ ๆ ก็ได้ยินน้ำเสียงรื่นหูดังขึ้น
“ดูแลน้องแหน่เด้อลูกหลูโตนน้อง บ่ฮู้เวรกรรมอีหยังให้มาพบพ้อเรื่องจังซี่” (ดูแลน้องหน่อยนะลูกสงสารน้อง ไม่รู้เวรกรรมอะไรให้มาพบเจอเรื่องแบบนี้)
“...” ก้องนั่งฟังเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร ขณะสายตามองน้ำพริกไม่วางตา
ฝั่งน้ำพริกเมื่อสิ้นเสียงให้พรของพระภิกษุสงฆ์ ก็ประนมมือไหว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อจิตใจผ่องใส พอพระสงฆ์เดินไปแล้วก็หยิบแก้วน้ำที่เพิ่งกรวดเมื่อครู่ เตรียมไปเทรดต้นไม้ทว่า...
เคร้ง!
“ว๊าย!” เหตุไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อแก้วน้ำที่เธอตั้งใจไปเทเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมเวรถูกนายใบ้คนสติไม่ดี ที่ติดตามพระภิกษุมาบิณฑบาตปัดทิ้ง จนแก้วน้ำแตกกระจายลงตรงหน้า น้ำพริกเห็นเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย
ก่อนจะเงยหน้ามองใบ้ที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ยืนจ้องมองเธอเขม็งแล้วเตรียมจะเดินเข้ามาหา ด้วยความหวาดกลัวจึงรีบถอยกรูดไปทางด้านหลัง ทำให้ไม่ทันระวังเกือบหงายหลังก้นกระแทกพื้น หากแต่ว่ามือหนาของคนที่อยู่ด้านหน้าจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้ก่อน
ก่อนจะเอาตัวเองมายืนบังเธอไว้ แล้วจ้องมองหน้านายใบ้เขม็ง...
พอใบ้ได้สติก็วิ่งรีบไปหาพระภิกษุและสามเณร ที่ยืนมองเหตุการณ์ด้วยสายตางุนงง ส่วนก้องมองเลยนายใบ้ไปยังพระสมพงษ์ที่สบตาตนอยู่ ก่อนที่ท่านจะเบี่ยงสายตาไปยังน้ำพริกครู่หนึ่ง แล้วหันหลังเดินกลับวัดทันที ซึ่งก้องก็พอรู้ว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นแต่เขาเลือกไม่พูดอะไร...
เมื่อเหตุการณ์กลับมาเป็นปกติ ร่างสูงก็มองยังคนตัวเล็กที่ยืนกอดแขนเขาพร้อมกับซบใบหน้ายังแขนกำยำ ตาคู่สวยคลอไปด้วยน้ำสีใสคล้ายจะร้องไห้ออกมาเต็มแก่ ยืนตัวสั่นเหมือนยังหวาดกลัวกับเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่ ก้องเห็นเช่นนั้นจึงเลื่อนมือไปลูบศีรษะเล็กเบา ๆ คล้ายปลอบขวัญเธอ ก่อนจะเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก
“เข้าไปในบ้านได้แล้ว”
“หนูยังไม่ได้กรวดน้ำเลย” ตาคู่สวยมองแก้วน้ำที่แตกกระจายอยู่บนพื้นขณะดวงตาร้อนผ่าว เพราะเธอตั้งใจตื่นมาทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร แต่พอพบเจอเหตุการณ์แบบนี้จิตใจก็ห่อเหี่ยวลงกว่าเดิม
“พรุ่งนี้ค่อยมาใส่ใหม่ก็ได้”
“แต่วันนี้หนูตั้งใจมาก ๆ เลยนะ” ตอบออกไปด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ก่อนที่น้ำสีใสที่เอ่ออยู่รอมร่อจะไหลพรากอย่างห้ามไม่อยู่ จนคนที่มองอยู่ทำอะไรไม่ถูก อยากจะเลื่อนนิ้วไปเกลี่ยออกจากพวงแก้มขาวเนียนให้ แต่ก็ไม่กล้า จึงเลือกเบือนหน้าไปทางอื่น เมื่อทนเห็นแววตาโศกเศร้าของเธอไม่ได้
แล้วพูดกำชับเพื่อให้เธอได้สติ...
“รีบไปเตรียมตัวได้แล้ว เดี๋ยวร้านเช่าชุด จะเอาชุดมาให้ลอง” เมื่อน้ำพริกได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าตอบกลับไปอย่างว่าง่าย ก่อนจะเตรียมเดินไปหยิบตะกร้าใส่บาตร ทว่าถูกมือหนาของอีกคนจับมือไว้ก่อน ใบหน้าสวยจึงหันไปมองพร้อมกับสองคิ้วขมวดมุ่นในการกระทำของเขา
แต่พอเขาพูดขึ้นจึงหายสงสัย...
“แก้ว!” สิ้นเสียงดุ ๆ ก็มองคนตัวเล็กด้านหน้าด้วยสายตาตำหนิที่เธอไม่รู้จักระวังตัว แม้จะสวมใส่รองเท้าก็ตาม แต่ถ้าหากบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไง...
ส่วนน้ำพริกไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นอกจากเดินอ้อมไปทางอื่นแล้วหยิบตะกร้าเดินเข้าไปในบ้าน เมื่อน้ำพริกเดินเข้าไปในบ้านแล้ว ก้องก็หันไปมองนายใบ้อีกครั้ง จากนั้นก็เดินตามน้ำพริกเข้าไปข้างในทันที...
หลังจากกินข้าวเช้าอิ่มน้ำพริกก็ขึ้นไปนั่งรอร้านเช่าชุดแต่งงานบนบ้านกับกัญญา ซึ่งรอไม่นานทางร้านก็เดินทางมาถึง เธอจึงเข้าไปลองชุดแต่งงานในห้อง ซึ่งชุดในพิธีแต่งงานก็เป็นแบบเรียบง่าย เนื่องจากแต่งตามประเพณีของทางบ้านเจ้าบ่าว จึงไม่ต้องตัดชุดให้ยุ่งยาก เพราะมีแบบสำเร็จมาให้เรียบร้อย
หลังจากสวมใส่ชุดแต่งงานเรียบร้อย ร่างเล็กก็เดินออกจากห้องนอน
“เป็นจังได๋ หลวมบ่จ้า” (เป็นยังไง หลวมไหมจ๊ะ)
“หลวมค่ะ เอาเข้าอีกได้ไหมคะ”
“ได้จ้า” เพลงเอ่ยตอบน้ำพริกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะเดินเข้าไปดูชุดให้น้ำพริก ขณะร่างเล็กกำลังยืนให้เพลงแก้ขนาดชุดให้ ตาคู่สวยก็เหลือบเห็นเจ้าบ่าวของเธอเดินขึ้นมาบนบ้านพอดี...
ทางด้านก้องเมื่อเห็นน้ำพริกอยู่ในชุดแต่งงานที่เป็นเสื้อโทเรสีขาวมีสไบขิดทับไหล่ กับผ้าซิ่นไหมก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เพราะไม่เคยเห็นเธอสวมใส่ชุดเรียบร้อยแบบนี้มาก่อน ซึ่งก็ทำเอาแปลกตาไม่น้อย
แต่ก็น่ารักน่าเอ็นดูมากเช่นกัน...
ขณะร่างสูงตกอยู่ในภวังค์กับร่างเล็กด้านหน้า พอได้สติก็รีบเบี่ยงสายตาไปทางอื่น จากนั้นก็เดินไปหาแม่ตนที่ยื่นเสื้อโทเรผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดมาให้ลอง
ซึ่งก้องก็รับมาสวมใส่ด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง...
“หล่อแท้น้อลูกแม่” (หล่อจังเลยลูกแม่)
“หล่อจริง ๆ ค่ะ หล่อมาก ๆ เลย” คราแรกคนเป็นแม่พูดชมก็ไม่ได้คิดจะสนใจ แต่พอได้ยินเสียงเล็กดังมาด้านข้างจึงช้อนตาขึ้นมอง ทำให้สบตากับเจ้าของใบหน้าสวยที่มองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
จึงมองเธอครู่หนึ่ง ขณะใบหน้าพยายามกลั้นยิ้มกับคำเอ่ยชมของเธอเมื่อครู่ แต่พอได้สติก็รีบละสายตาจากเธอ แล้วหันไปยังคนเป็นแม่พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง...
“ถอดได้ไป๋” (ถอดได้หรือยัง)
“มันแน่น มันหลวมบ่ล่ะ” (มันแน่น มันหลวมไหมล่ะ)
“บ่” (ไม่) พอรับรู้ว่าใส่ได้พอดี ไม่แน่นไม่หลวมไป ร่างสูงก็รีบถอดเสื้อออกเพราะเริ่มอึดอัด จากนั้นก็ยื่นเสื้อส่งคืนให้กับคนเป็นแม่แล้วถามด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเช่นเคย
“แล้วไป๋ ข่อยสิได้ไปหาเฮ็ดงานต่อ” (เสร็จหรือยัง ฉันจะได้ไปทำงานต่อ)
“แล้ว แล้ว” (เสร็จแล้ว) ได้ยินคำตอบก้องก็เตรียมเดินไปยังบันไดเพื่อไปทำงานต่อ ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองยังร่างเล็กอีกครั้ง แต่พอเห็นเธอยังมองเขาอยู่จึงรีบหันหน้ากลับทางเดิม แล้วก้าวเดินลงบันไดไปยังข้างล่างทันที...
โดยมีน้ำพริกมองเขาจนสุดสายตา...