บทนำ 1/2

1421 Words
กรุงเทพมหานคร มหานครที่ใครหลายคนให้คำนิยามว่าเป็น ‘เมืองฟ้า’ ต่างถวิลหาอยากมาเยือนยังถิ่นดินแดนนี้ หากแต่อีกมุมหนึ่งของความศิวิไลซ์ที่เต็มไปด้วยแสงสี ไฟประดับประดาสวยงามมากมาย ตึกรูปร่างสวยสูงเสียดฟ้านั้น ยังคงมีชุมชนแออัดเล็กๆ หรือที่ถูกเรียกจนติดปากว่า ‘สลัม’ กระจัดกระจายอยู่ทั่วเมืองหลวง หญิงสาวรูปร่างผอมเพรียว กะทัดรัด ตามแบบฉบับสาวเอเชียอย่างกนกขวัญเองเป็นอีกหนึ่งคนที่เกิดและเติบโตมาในย่านสลัมใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้เช่นกัน “วันนี้ขายหมดแต่หัววันเลยนะขิม” เสียงเจ้าของร้านของชำเล็กๆ หน้าชุมชนเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร “จ้ะป้า วันนี้ที่ตลาดคนเยอะ ขิมเลยขายหมดเร็ว” หญิงสาวที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีหม่นกับกางเกงยีนขาดเข่าตัวเก่ง สวมรองเท้าผ้าใบเก่าๆ คู่ใจ หยุดรถเข็นขายข้าวแกงคันเก่าของตัวเอง หันมาเอ่ยทักหญิงวัยกลางคนด้วยรอยยิ้มหวาน “แล้วนี่ยายเอ็งเป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวว่าไม่ค่อยสบาย ช่วงนี้ข้าก็ยุ่งๆ ไม่มีเวลาไปเยี่ยมแกเลย” “เมื่อเช้าเห็นว่าหน้ามืดน่ะจ้ะ วันนี้ขิมขายของหมดเร็วเลยว่าจะพายายไปหาหมอที่โรงพยาบาล” ใบหน้าหวานดูเศร้าและหนักใจอยู่ไม่น้อย เมื่อนึกถึงอาการของผู้เป็นยายวัยในใกล้เจ็ดสิบที่มีอาการเจ็บออดๆ แอดๆ ทุกวัน “งั้นก็รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะมืดค่ำเอาเสียก่อน” “ขิมไปก่อนนะจ๊ะ” หญิงสาวพูดจบจึงเข็นรถขายของเข้าไปตามเส้นทางเล็กๆ แคบๆ ที่มีชาวบ้านเดินสวนกันยังยากลำบาก เจ๊ติ๋มมองตามหลังหญิงสาวด้วยความเห็นอกเห็นใจ กระนั้นก็ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้มากมายอะไรนัก ลำพังแค่พยุงครอบครัวของตัวเองให้มีชีวิตรอดไปวันๆ ก็แสนลำบากไม่น้อยเลย กนกขวัญพายายไปหาหมอที่โรงพยาบาลตามสิทธิที่ได้รับรักษาตัวประจำอยู่ หลังจากหาหมอเสร็จก็พากันกลับบ้าน โดยมีลุงเมฆ คนขับรถตุ๊กๆ ที่อยู่บ้านติดกันที่เธอมักจ้างวานให้มาคอยรับส่งเป็นประจำ “เดี๋ยวขิมไปทำข้าวต้มให้นะยาย กินข้าวเสร็จจะได้กินยาหลังอาหารตามที่หมอสั่งด้วย” เมื่อพายายอิ่มเข้ามานั่งบนโซฟาตัวเก่าภายในบ้านเรียบร้อยแล้ว จึงเดินหายเข้าไปในครัวเล็กๆ ซื้ออยู่หลังบ้าน ยายอิ่มมองตามแผ่นหลังบอบบางของหลานสาวเพียงคนเดียวที่หายลับไปแล้วแอบน้ำตาซึม เธอสงสารหลานสาวจับใจที่ต้องพลอยมาตกระกำลำบากไปด้วยกัน คิดมาถึงตรงนี้ก็อดจะโกรธเคืองลูกสาวที่พอคลอดลูกเสร็จ ก็หอบเอามาทิ้งให้นางเลี้ยงไม่ได้ ส่วนตัวเองนั้นหายลับเข้ากลีบเมฆ ไม่เคยกลับมาดูดำดูดีแม่และลูกสาวเลยแม้สักครั้งเดียว เอ็งตายจากโลกนี้ไปหรือยังนะนังจันทรา… นางได้แต่เฝ้าถามลมถามฟ้าหาลูกสาวอยู่ทุกวี่วัน เมื่อไม่สามารถหาคำตอบได้ก็ได้แต่ภาวนาให้ลูกสาวกลับคืนมาหาบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็แล้วแต่บุญแต่กรรมจะนำพาลูกสาวไป หลายวันต่อมา หลังจากกลับมาจากหาหมอ ยายอิ่มอาการเริ่มดีขึ้นมาก จึงตื่นแต่เช้ามืด ลุกขึ้นมาทำขนมเตรียมเอาไว้ให้หลานสาวไปขายในตลาดตอนเช้า เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันพระ ซึ่งโดยปกติแล้วจะขายเพียงแค่ข้าวแกง แต่หากเป็นวันพระก็จะทำขนมมาขายเพิ่มอีกอย่างสองอย่างให้เพื่อพอมีกำไรเพิ่มขึ้นเล็กๆ น้อยๆ ยายอิ่มนั่งเช็ดใบตองเตรียมไว้ห่อขนม ทอดตามองหลานสาวที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการจุดไฟเตาถ่าน “ขิม เอ็งจำไว้นะลูก ถ้ายายเป็นอะไรไป เอ็งจะต้องไปขอพึ่งใบบุญกับคนตระกูลสุทธาเทพเขา” “สุทธาเทพ...” เสียงหวานพึมพำเบาๆ ก่อนหันไปมองใบหน้าเหี่ยวย่นตามอายุขัย อยู่ๆ ยายอิ่มก็เอ่ยบางอย่างขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ใบหน้าสวยหวานแลดูจิ้มลิ้มพริ้มเพราไม่น้อย ดวงตากลมโต นัยน์ตาสีดำเป็นประกายระยิบระยับ มองยายอิ่มด้วยใบหน้าเป็นเชิงตั้งคำถาม “ใครหรือจ๊ะยาย...ตระกูลสุทธาเทพอะไรเนี่ย ขิมไม่เห็นรู้จัก” หญิงสูงวัยมองหลานสาวเพียงคนเดียวด้วยความสะเทือนใจในโชคชะตา นัยน์ตาของไม้แก่ใกล้ฝั่งอ่อนแรงและเหนื่อยล้าเต็มทน ไม่รู้จะอยู่กับหลานสาวไปได้อีกนานแค่ไหน “ให้วันนั้นมาถึง แล้วยายจะบอกเอ็งอีกครั้ง” กนกขวัญพยักหน้ารับช้าๆ อย่างไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่ผู้เป็นยายสื่อถึงเท่าไรนัก ก่อนหันกลับมาตั้งใจจุดไฟต่อ เย็นวันเดียวกัน หลังจากกลับจากขายของเป็นเวลา เกือบจะมืดค่ำแล้ว กนกขวัญรีบเข็นรถเข็นกลับบ้านอย่างความเร่งรีบ ด้วยกลัวว่ายายจะรอกินข้าวเย็นเหมือนทุกครั้ง อีกทั้งวันนี้เธอยังรู้สึกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแปลกๆ จนพานให้อดเป็นห่วงยายที่อยู่บ้านคนเดียวตลอดทั้งวันไม่ได้ สองเท้าเล็กก้าวยาวๆ เข้ามาในเส้นทางคับแคบแสนคุ้นเคย เมื่อเลี้ยวรถเข็นไปยังทิศทางบ้านของตัวเอง ดวงตาคู่สวยหรี่ลงเล็กน้อย เมื่อเห็นผู้คนมากมายเหมือนกำลังยืนมุงดูอะไรอยู่ไกลๆ กระนั้นก็ยังเห็นไม่ชัดว่าผู้คนกำลังมุงดูอะไรกันอยู่ อีกทั้งตรงนั้นยังมีรถกู้ภัยและรถพยาบาลจอดขวางทางบดบังการมองเห็นของเธอด้วย เธอรีบเข็นรถเข็นให้เร็วขึ้นเพื่อไปถึงยังจุดหมาย ทว่าเมื่อยิ่งเข้าไปใกล้ หัวใจดวงน้อยก็เริ่มสั่นสะท้านขึ้นเรื่อยๆ ก่อนตัวจะชาวาบไปทั้งตัวราวกับคนถูกสาปในหยุดนิ่ง สมองพร่าเบลอไปชั่วขณะ สายตาคู่สวยกวาดมองเจ้าหน้าที่มากมายกำลังเดินออกจากบ้าน ‘บ้านของเธอ’อย่างมึนงง น้ำตามากมายไหลทะลักออกมาจากดวงตา เมื่อเห็นว่าเปลที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยหามร่างของใครคนหนึ่งถูกคลุมออกมาด้วยผ้าสีขาว ‘ไม่ใช่หรอก มันต้องไม่ใช่อย่างที่คิด’ กนกขวัญทิ้งรถแล้ววิ่งฝ่าผู้คนเข้าไปใกล้เปลที่เจ้าหน้าที่กำลังจะนำร่างที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าขาวเข้าไปในรถทั้งน้ำตา แต่ก่อนที่จะไปถึงร่างนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งก็เดินมาขวางทางไว้ก่อน “เข้าไปไม่ได้นะครับคุณ เจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติหน้าที่กันอยู่” น้ำตามากมายเอ่อคลอเต็มดวงตาคู่สวย กนกขวัญกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตา ก่อนมองหน้านายตำรวจผ่านม่านน้ำตามากมาย มือบางเย็นเฉียบยกขึ้นเกาะแขนคนตรงหน้าราวกับหาที่ยึดเหนี่ยวร่างโรยแรงของตัวเอง ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหว “ยายของหนู ฮือ...ฮือ...ยายของหนูอยู่ในบ้านค่ะคุณตำรวจ...ฮึก...” นายตำรวจได้ยินน้ำเสียงสั่นเครือของหญิงสาวเอ่ยบอกก็เข้าใจในทันที เขายกมือขึ้นตบหลังมือบางที่เกาะแขนของตนด้วยความสงสารระคนเห็นใจ “น้องเป็นหลานเจ้าของบ้านหลังนี้เหรอ” เธอพยักหน้ารับช้าๆ ในใจภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่คิด “ค่ะ” “เสียใจด้วยนะน้อง ยายของน้องท่านลื่นล้มหัวฟาดกับพื้นทำให้ท่านเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ ตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังนำร่างยายของน้องไปโรงพยาบาล...” จบคำประโยคของนายตำรวจ หูของเธอก็ไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว เสียงทุกอย่างกลายเป็นอื้ออึงไปชั่วขณะ เธอทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง ยกมือปิดหน้าแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนเงยหน้าขึ้นมองนายตำรวจอีกครั้ง พลางส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ ร่างของเธอถูกดึงเข้าไปกอดอย่างปลอบโยนจากใครคนหนึ่ง “ไอ้ขิม ยายอิ่มไปสบายแล้วนะลูก เอ็งต้องเข้มแข็งรู้ไหม ยายเอ็งจะได้ตายตาหลับ” สิ้นคำปลอบของเจ๊ติ๋มสติสัมปชัญญะที่หลงเหลืออยู่อันน้อยนิดก็ค่อยๆ เลือนหายไปและดับสนิทไปในที่สุด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD