“เรื่องความรักใครจะไปกำหนดได้ละคะ คนเราน่ะ อยู่ด้วยกันทุกวัน นอนเตียงเดียวกันทุกคืน คนนอก จะไปรู้อะไรคะ อ้อ...”
มาลุลีเว้นวรรคแล้วล้วงเอาของสองสิ่งออกมาจากกระเป๋ากระโปรง เธอยื่น ลิปสติก ให้ก่อน
“อะไร?” อีกฝ่ายงุนงง
“ลิปสติกไงคะ ยี่ห้อนี้จูบยังไงสีก็ไม่หลุด ไม่มีติดเสื้อแน่ๆ อย่าประเจิดประเจ้อนักเลย ลูกเต้าก็อยู่ใกล้ๆ ไม่รู้จะโผล่มาเมื่อไหร่ จะทำอะไรคิดถึงเด็กบ้าง เด็กมันจะงงเอานะคะ ว่าใครกันแน่ที่เป็นเมียของพ่อ” บอกกล่าวแล้วยิ้มเชือดเฉือน “แล้วก็...แถมอันนี้ให้ด้วยค่ะ ร้านเขาให้มา ฟรี”
มือสั่นๆ ของแพรดาวรับขวดที่มาลุลียื่นให้อย่างงงๆ อยากจะกรี๊ดดังๆ ใส่หน้าแม่ตัวร้ายของโกมินทร์นัก
“คาลาไมน์ค่ะ ขาแพลงคงเจ็บน่าดู พอดีไม่มียานวดยาถูมาให้ เอาคาลาไมน์ไปแทนก็แล้วกัน แต่เอ...คาลาไมน์มันทาแก้คันนี่นา ลุลีก็ลืมไป ขอโทษทีนะคะ แต่ไหนๆ ก็เอามาแล้ว รับไว้หน่อยก็แล้วกัน เผื่อวันไหน คัน ขึ้นมา จะได้มียาไว้ทาถู...ทาถู”
“นี่แก!”
“ชู่ว์...เก็บอาการหน่อยค่ะ อย่ากรี๊ดนะคะ กรี๊ดปุ๊บมงลงนะ มงกุฎนางร้ายน่ะ หึๆๆ”
มือสองข้างแพรดาวกำของสองสิ่งในมือจนข้อนิ้วซีดขาว ประมาทไม่ได้แล้ว ประมาทไม่ได้จริงๆ ยัยเด็กบ้านสวนไม่ใช่ขนมที่เธอจะเคี้ยวได้ง่ายๆ ยัยเด็กนี่มันร้าย! คอยดูเถอะ ฉันจะแย่งเขาคืนมาให้ได้ คอยดูก็แล้วกันมาลุลี!
มาลุลีก้าวขึ้นบนชั้นสองอย่างผู้ชนะ รอยยิ้มสะใจยังระบายอยู่บนวงหน้า กระทั่งมั่นใจว่ารอดพ้นจากสายตาของแพรดาว รอยยิ้มอย่างผู้ชนะก็เลือนหายไป ความหนักอกหนักใจเคลื่อนเข้ามาแทนที่ นี่เธอต้องเป็นนางมารร้ายอย่างนี้ไปตลอดใช่ไหม เธอไม่ได้อยากร้ายกาจ เธออยากเป็นเมียผู้น่าเอ็นดูที่สามีพร้อมจะรักใคร่ แต่คงทำอย่างนั้นไม่ได้ หากอ่อนแอลงเมื่อไร นางมารร้ายตัวจริงคงได้เชือดเธอให้ตายทั้งเป็น
ปลายเท้าของเจ้าสาวหมาดๆ สะดุดกึกที่บันไดขั้นสูงสุด เธอก้าวผ่านมันไป เพื่อเผชิญหน้ากับคนที่ยืนอยู่ ไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คงนานพอจนรู้ว่าเธอคุยอะไรกับแพรดาวบ้าง
“เธอพูดแรงไป”
“คะ?” เธอขานรับด้วยไม่อยากเชื่อในสิ่งที่หูได้ยิน
“การที่แพรดาวต้องเลี้ยงหนูเกลมาโดยที่ฉันไม่รู้เรื่องเกือบสิบปี มันทำให้ฉันรู้สึกผิด และพยายามทำทุกอย่างเพื่อชดเชยสิ่งที่ฉันละเลยไป ฉันไม่อยากให้เธอใจร้ายกับแพรดาวมากนัก”
ปากน้อยๆ ของมาลุลีอ้าค้างในตอนนั้น
“แพรดาวทิ้งคนที่รักเธอที่สุดไปแต่งงานกับคนอื่น ซึ่งคุณเก้าไม่ได้ผิดสักนิด”
“ฉันรู้ แต่สองปีที่ผ่านมา ฉันรู้เรื่องหนูเกลแล้ว แต่ฉันกลับทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งเสียเงินทอง คนที่เป็นพ่อน่ะ ทำได้แค่นั้นหรือลุลี วันนี้อะไรๆ กำลังจะลงตัวแล้ว ฉันไม่อยากให้เด็กคนหนึ่งต้องมาลำบากใจกับเรื่องของผู้ใหญ่ อะไรที่พอจะมองข้ามไปได้ ก็ช่วยมองข้ามมันไปเถอะ ขอร้องล่ะ”
กำปั้นของมาลุลีกำแน่นจนสั่น ต้องให้เธอยอมทุกอย่าง ยอมให้ผู้หญิงคนนั้นทำตามอำเภอใจเพื่อทำลายการแต่งงานครั้งนี้หรือ ไม่มีทางหรอก ตราบใดที่คุณท่านยังมีลมหายใจ จะไม่มีการหย่าเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด!
“ไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าการทอดสะพานของเมียเก่าคุณ คุณมองข้ามไปได้ก็เอาสิคะ ลุลีจะรอดูว่าคุณจะใจแข็งไปได้สักแค่ไหน มองตาเดียวก็รู้ว่าผู้หญิงพร้อมจะเข้าหา มีแต่คุณเก้าที่ยังปิดหูปิดตา แล้วหันกลับมาว่าเมียตัวเองอย่างนี้”
“ฉันเปล่าว่า ฉันขอร้องต่างหาก”
“เหมือนกันนั่นแหละ!” มาลุลีตะคอกกลับไป
โกมินทร์ขมวดคิ้วแน่น “เธอแค่ไม่พอใจ หรือว่า...เธอหึง”
คำถามนั้นเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจ ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขาด้วยซ้ำ ตอนนี้เธอเหมือนคนขลาดเขลาที่โง่เง่าที่สุดในชีวิต แล้วเสียงถอนหายใจของโกมินทร์ก็ดังขึ้นประหนึ่งเหลืออดเหลือทน
“เฮ้อ...ลุลี...” เสียงนั้นฟังดูระอาเหลือ สองมือเขาจับไหล่บางทั้งสองข้างของมาลุลี “ฉันนึกว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว แต่เหมือนเธอยังไม่เข้าใจ เธอจะรักฉันไม่ได้นะลุลี”
คิ้วของหญิงสาวขมวดแน่น สะบัดไหล่ออกจากมือเขา
“รักเหรอ ใครรักใครกันล่ะ ไม่ได้พูดสักคำนะว่ารัก คุณเก้าคิดเองเออเอง ลุลีเปล่า”
“คิดได้อย่างนั้นก็ดี อย่ามารักกันเลย ยุ่งยากเปล่าๆ”
เขาระบายออกมา มาลุลีขุ่นเคืองนัก
“คิดว่าตัวเองดีนักเหรอ ผู้หญิงถึงจะมารุมรัก ทั้งตาบอดใจบอดทั้งเห็นแก่ตัว คิดว่าโลกหมุนรอบตัวเองหรือไง เฮอะ!”
“ลุลี!”
“อย่ามาขึ้นเสียงแบบนั้นนะ! ลุลีทำผิดอะไรทำไมต้องมาทำเสียงเอ็ดอึงกันด้วย แค่จะปกป้องตำแหน่งเมียนี่ผิดมากเหรอ ผิดมากใช่ไหม!” ตะคอกถามแล้วเดินหนีเข้าห้อง ตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ ปิดประตูดังปังใหญ่ ก่อนจะทรุดกายลงบนพื้นอันเย็นเฉียบ