โกมินทร์ยกมือยอมแพ้ “ฉันก็แค่....”
“ชู่ว์...จะทำงานไม่ใช่หรือคะ เอาสิ ทำเลย ไม่ต้องสนลุลี” บอกเขาแล้วลากเอากระเป๋าเสื้อผ้าเข้าไปในห้องเล็กอีกห้องที่มีประตูเชื่อมถึงกัน ห้องนี้ไม่ใหญ่เท่าห้องเขา มีโซฟาเรียบหรูตั้งอยู่ตัวหนึ่งติดผนังด้านในสุดของห้อง มีตู้เสื้อผ้าสามหลังใหญ่ๆ แล้วก็ชั้นวางสูงเท่าสะเอวที่ทำจากกระจก แลเห็นเข็มขัด เนกไทอะไรต่อมิอะไรอัดแน่นอยู่ในนั้นเต็มไปหมด
มาลุลีมองข้าวของเครื่องใช้แล้วได้แต่ย้ำกับตัวเอง ในวินาทีที่ยืนอยู่ตรงนี้ ของพวกนี้คือของของสามีเธอ เธอมีสามีแล้วนะ มีสามีแล้วจริงๆ
“เฮ้อ...ทำไมรู้สึกแปลกประหลาดได้ขนาดนี้นะ ก็แค่มีคนมานอนเบียดบนเตียงเพิ่มเท่านั้นเอง” บอกตัวเองแล้วขนข้าวของเข้าตู้เข้าชั้น หวังว่าวันนี้จะเป็นอีกวันที่ราบรื่นด้วยดี เธอคิดมาตลอดว่าถ้าหากถึงวันนี้ เธอจะทำอย่างไรกับชีวิต และเชื่อไหม จนถึงวินาทีที่เสื้อของเธอขึ้นไปแขวนบนราวเดียวกับเสื้อของสามี เธอ...ก็ยังคิดภาพอนาคตไม่ออกเลย
“ลุลี...เสร็จหรือยัง มานี่ซิ” โกมินทร์เรียกภรรยาอยู่หน้าประตู
มาลุลีแขวนเสื้อตัวสุดท้ายบนราวแล้วรีบออกมา พอแลเห็นเตียงแล้วอยากจะปีนขึ้นไปบนนั้นแล้วหลับสักตื่นเหลือเกิน
โกมินทร์ยื่นบางอย่างให้มาลุลี เป็นกระเป๋ากว้างยาวสักสองฝ่ามือ หญิงสาวเปิดดู ในนั้นมีเงินสดสองปึกใหญ่ๆ พร้อมกับกุญแจพวงเล็กๆ
“อะไรคะ”
“กุญแจห้องข้างๆ นี่แหละ มีตู้เซฟ มีของมีค่าอยู่น่ะ ส่วนนั่นก็เงินค่าใช้จ่าย พวกค่าอาหาร เงินเดือนคนรับใช้ ค่าอาหารน้าแรมจะมาเบิกเป็นอาทิตย์”
“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”
ดวงตาสองดวงสานสบกันชั่วครู่ มาลุลีแก้มร้อนผ่าว สัมผัสจากฝ่ามือเขาที่ปัดป่ายไปทั่วร่าง เธอยังจำได้ดี
“ลุลี”
“คะ?”
“ความรักน่ะ ไม่จำเป็นสำหรับเราใช่ไหม”
คนถูกถามกลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ กระบอกตาเริ่มร้อนผ่าว แต่ไม่ เธอจะไม่มีวันร้องไห้กับเรื่องไร้สาระนี่เด็ดขาด
“แน่นอนค่ะ เราก็แค่...คนสองคนที่แชร์เตียงกันนอน” มาลุลีตอบพร้อมรอยยิ้มอันปั้นแต่ง หัวใจเธอปวดหนึบ การหลอกตัวเองนี่ทรมานสิ้นดี
“ถ้าคิดได้แบบนั้นก็ดี ฉันจะได้สบายใจ ฉันอยากให้การแต่งงานของเราเป็นไปอย่างราบรื่น ความรักจะเป็นอุปสรรค โดยเฉพาะเมื่อตอนที่เราไม่อยากผูกมัดกันแล้ว”
“ไม่ต้องอธิบายหรอกค่ะ ลุลีเข้าใจ เราต่างก็มีเหตุผลของกันและกัน”
“อืม...เธอก็คุยง่ายดีนะ ทำไมคืนนั้นถึงได้เถียงฉันไม่หยุดก็ไม่รู้”
ดวงตาคมของมาลุลีค้อนให้สามีไปทีหนึ่ง
“ก็บอกให้หยุดแล้วคุณเก้าไม่หยุดนี่คะ”
“หึๆๆ แม่คนซื่อ ลองมาเป็นฉันสิ เธอจะหยุดได้เหรอ”
“คะ?”
“ไม่มีอะไร อ่า...ถ้าง่วงก็นอนนะ เธอคงเพลีย” เขาชี้ลงที่หมอนหนุน
มาลุลีวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะเอนกายลงนอน ใช่...เธออยากนอนจริงๆ นั่นแหละ ถ้าได้หลับสักงีบคงดี แต่ว่าเขาล่ะ ไม่นอนหรือ ลงจากเตียงทำไม
หมับ!
มือน้อยดึงชายเสื้อสามีได้ทัน เขามองลงมาอย่างงงๆ
“จะไปไหนคะ”
“ลงไปข้างล่าง ไปดูหนูเกลหน่อย”
คิ้วสวยของหญิงสาวขมวดมุ่น “ไปดูทำไมคะ แม่ของแกก็อยู่”
เขาเอียงหน้ามองลงมาคล้ายอยากเอ่ยคำถาม แต่ไม่ได้พูดอะไร
“หรืออยากไปรื้อฟื้นความรักครั้งเก่า”
“ลุลี...”
สามีลากเสียงปรามภรรยา มาลุลีปล่อยมือจากชายเสื้อ
“ไม่ได้หึงนะคะ บอกแล้วไงว่าเป็นพวกหวงของ ที่อยู่ที่กิน ที่นอนก็จัดแจงไว้ให้หมดแล้ว อย่าเพิ่งประคบประหงมกันนักเลย ให้เวลาเด็กได้ปรับตัว ให้เวลาลุลีด้วย ถ้าคุณเก้าต้องดูแลหนูเกลเพราะเธอเพิ่งมาอยู่ที่นี่ คุณเก้าก็ต้องดูแลลุลีเหมือนกัน เพราะลุลีก็เพิ่งมา”
เธอท้วงถึงสิ่งที่ควรได้ ตอนนี้ที่ห้องของหนูเกลไม่ได้มีแต่หนูเกล ผู้หญิงคนนั้นก็อยู่ อะไรระวังได้ก็ควรระวังไม่ใช่หรือ ผู้หญิงอย่างแพรดาว เธอไม่ประมาทหรอกนะ ถึงจะมีทะเบียนสมรสค้ำคอ แต่มันก็เป็นแค่กระดาษแผ่นบางๆ ที่ฉีกทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ เธอ...ไม่ไว้ใจ!
“เป็นเธอที่อายุสิบขวบ ไม่ใช่หนูเกล” เขาประชดแล้วลุกหนี เพิ่งตกลงกันได้ไม่ถึงนาที มาลุลีก่อสงครามประสาทกับเขาอีกแล้ว
“คนใจร้าย” บ่นเขาแล้วดึงผ้านวมมาคลุมโปง
โกมินทร์ยกยิ้มที่มุมปาก หันซ้ายแลขวา เดินไปที่ประตูแต่ก็เดินย้อนกลับมา ก่อนจะหยิบเอาโน้ตบุ๊กเครื่องบางไปวางไว้ที่โต๊ะตัวใหญ่มุมห้อง ไม่ได้ออกไปไหน ไม่ได้ลงไปข้างล่าง แต่เปิดโน้ตบุ๊กเพื่อสะสางงานที่ควรทำ