"พ่อคะ แม่คะ น้องซีนไปเรียนแล้วนะ" เสียงแหลมสดใส ร้องดังมาแต่ไกลจากบนบ้านชั้นสอง
"เบา ๆ ลูก" ผู้เป็นพ่อร้องทักขึ้นเมื่อลูกสาวสุดที่รัก ทั้งหวงทั้งแหนปานดวงใจนั้นวิ่งลงบันไดอย่างไม่นึกกลัวเกิดอันตราย
"ฟอด หื้ม...อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณพ่อสุดหล่อ" เด็กสาววัยยี่สิบ วิ่งลงบันไดแล้วโฉบกอดผู้เป็นพ่ออย่างที่เคยทำประจำ แม้เวลาจะผ่านไปกว่าสิบสี่ปีแต่ก็ยังมีความหล่อและยังดูดี แถมยังหวงลูกสาวที่แสนจะพูดมากคนนี้ จนผู้ชายไม่กล้าเข้าหา วิ่งป่าราบหากผู้เป็นพ่อนั้นเห็น
"น้องซีนหนูโตเป็นสาวแล้วนะลูก...ยังจะออเซาะคุณพ่ออีก" คุณแม่หนูดาที่เดินมาจากห้องครัวพร้อมแก้วนมของลูกสาวและแก้วกาแฟของสามีเอ่ยทัก แม้การกระทำเช่นนี้เธอจะเห็นประจำ แต่ตอนนี้ลูกสาวคนโตนั้นไม่ใช่เด็กเหมือนแต่ก่อนแล้ว
"โธ่ คุณแม่ขาก็น้องซีนรักคุณพ่อ รักมาก ๆๆๆๆ เลยค่ะ จุ๊บ ๆๆๆ" เด็กสาวที่ช่างพูดประจบและจุ๊บลงแก้มผู้เป็นพ่อซ้ำๆ
"ช่างพูดจริงลูกสาวพ่อ" คุณพ่อแซมลูบหัวและโอบกอดลูกสาวที่แสนรัก หอมลงกลางหัวอย่างรักใคร่ กอดกันกลมท่ามกลางสายตาคุณแม่หนูดาที่ยืนเบะปากและอมยิ้มกับภาพที่เห็น ทั้งหมั่นไส้สามีและลูกสาวที่ช่างออเซาะ
"ช่างพูดหรือพูดมากค่ะพี่แซม" คุณแม่หนูดาเอ่ยแซวลูกสาว
((ฮ่าฮ่าฮ่า))
"พูดมากครับแม่" แซนน้องชายที่แสนจะกวนประสาทได้ทุกครั้ง และชอบแกล้งพี่สาวได้ทุกครา เดินลงบันไดมาพร้อมพูดแทรกบทสนทนาที่ได้ยิน ความน่ารัก การหยอกล้อ พูดแซว ที่พี่น้องคู่นี้มีมันคือเสน่ห์ แม้จะขัดแย้งและกัดกัน แต่เมื่ออยู่ข้างนอกแซนจะปกป้องพี่สาวเท่าชีวิต เสมือนผู้ปกป้องพี่สาวให้ปลอดภัยแม้ตัวเองจะต้องเจ็บตัว
"หุบปากไปเลยแซน" เมื่อโตขึ้นการเรียกขานและสรรพนามย่อมเปลี่ยนไป พี่สาวที่กำลังกกกอดผู้เป็นพ่อทำหน้ายู่เง้างอนเมื่อน้องชายนั้นแกล้ง
"พอแล้วทั้งสองคน ไปเรียนได้แล้วลูกเดี๋ยวสาย" และผู้เป็นแม่ก็มักจะเป็นคนสงบศึกฝีปากพี่กับน้องทุกครา
"ค่ะ/ครับ" สองพี่น้องตอบรับพร้อมกัน แล้วยกมือไหว้พ่อแซมและแม่หนูดาก่อนจะเดินออกจากบ้านเพื่อทำหน้าที่ของแต่ละคน
*****
ศาลาริมน้ำในสวนดอกไม้ ที่มีบรรยากาศสวยงามเพราะถูกตกแต่งด้วยไม้ดอกนานาพรรณ นิตยสารการศึกษา แหล่งรวมสถาบันการศึกษามากมาย ถูกเปิดทีละหน้า ทีละหน้า อย่างช้า ๆ สายตาคมดุที่ถอดแบบมาจากบิดา แต่เค้าโครงใบหน้านั้นได้มาซึ่งเสมือนมารดายิ่งกว่าฝาแฝด จ้องมองและอ่านประวัติของสถานศึกษาระดับปริญญาตรีอย่างให้ความสนใจ เพราะตอนนี้ชายหนุ่มวัยสิบเก้าปีต้องเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยแล้ว
"ดรูฟ ของแม่กำลังทำอะไรเอ่ย" เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยถาม พร้อมวางมือลงบนไหล่กว้างของบุตรชาย ที่กำลังเติบใหญ่ขึ้นทุกวัน
"ท่านแม่" เด็กหนุ่มเงยหน้ามองพร้อมเอ่ยเรียกแผ่วเบา "ลูกกำลังดูว่าจะเรียนต่อที่ไหนดี" เขาบอกถึงสิ่งที่กำลังกระทำให้มารดารับทราบ
"แล้วได้หรือยัง" ผู้เป็นแม่เดินมานั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยถามขึ้น เพราะเรื่องสถานศึกษาแม้ผู้เป็นพ่อคิดวางแผนไว้แล้ว แต่ก็ย่อมรอบุตรชายนั้นตัดสินใจเพราะเขาจะไม่บังคับ
"ลูกมีที่อยากไปแต่ไม่รู้ท่านพ่อจะอนุญาตไหม?" เด็กหนุ่มพูดขึ้นและเอ่ยถึงผู้เป็นบิดา
"ที่ไหนล่ะ ที่ลูกชายของแม่อยากไป"
"ประเทศไทยครับ"
"หืม..."
"ลูกอยากไปเรียนต่อที่นี่" เด็กหนุ่มยื่นนิตยสารให้ผู้เป็นแม่ดู ประเทศไทยบ้านเกิดเมืองนอนที่เธอนั้นจากมานาน ตั้งแต่แต่งงานกับ เชคฮ บราฮิม และยังไม่มีโอกาสได้กลับไปสักครั้ง เมื่อครั้งล่าสุดที่ไปก็เมื่อบุตรชายนั้นอายุได้ห้าขวบ เพื่อจัดการต่อเติมและซ่อมแซมกับบ้านเพียงหลังเดียวที่ม่านฟ้านั้นมีเป็นสมบัติชิ้นเดียวของยายที่ทิ้งไว้ให้เธอ
"ได้ไหมครับท่านแม่" เด็กหนุ่มเอ่ยถามอีกครั้ง
"แล้วดรูฟคิดว่าจะไปอยู่ได้ไหมล่ะลูก"
"ลูกคิดว่าไม่น่ามีปัญหา เรื่องภาษาไทยลูกก็พูดได้เพราะท่านแม่ก็สอนประจำ" เด็กหนุ่มเน้นย้ำอย่างมั่นใจ
"แต่แม่เป็นห่วงและคงจะคิดถึงดรูฟมากแน่ ๆ" มือของแม่ยื่นจับมือบุตรชายมั่นพร้อมสายตาที่อาทรเมื่อนึกถึงความที่ต้องห่างไกลกัน
"ลูกโตแล้ว ท่านแม่อย่าห่วงเลยครับ" บุตรชายเพียงคนเดียวที่ไม่เคยห่างกาย เดินเข้ามากอดผู้เป็นแม่จากทางด้านหลัง นิสัยและพฤติกรรมที่เขานั้นแสดงออกกับคนในครอบครัว แตกต่างคนละขั้วกับการแสดงตัวกับคนนอก....เมื่อหลุดจากพื้นที่อาศัยพฤติกรรมและคำพูดจะเปลี่ยนไปทันทีอย่างกับคนละคน
"สองแม่ลูกกำลังคุยอะไรกัน ดูเครียดเชียว" เชคฮ บราฮิม ที่ได้ขึ้นเป็นผู้นำรัฐแห่งชาร์จาห์ เดินมายังศาลาเมื่อเห็นภรรยาและบุตรชายกำลังนั่งคุยกันอย่างออกรส
"ท่านพ่อครับลูกมีอะไรจะขอ" เด็กหนุ่มไม่รีรอหรือแสดงความกระอักกระอ่วนกับการที่จะร้องขอในสิ่งที่ต้องการ
"อะไรล่ะ" ผู้เป็นพ่อย้อนถาม และเดินมานั่งขนาบข้างภรรยาที่พ่วงตำแหน่งเชคฮคาแห่งรัฐชาร์จาห์
"ลูกอยากไปเรียนต่อที่ประเทศไทยบ้านเกิดของท่านแม่" เด็กหนุ่มบอกถึงสิ่งที่ต้องการ
"....ทำไม" ผู้เป็นพ่อเงียบชั่วครู่และเอ่ยถามเพียงสั้น ๆ
"อยากไป" บุตรชายก็เช่นกันไม่รู้จะประหยัดคำพูดไปถึงไหนเมื่อพูดกับผู้เป็นพ่อ
"ถ้าแม่ของลูกเห็นควร...พ่อก็ไม่ห้าม" ผู้เป็นพ่อมองหน้าภรรยาก่อนจะตอบบุตรชาย สายตาที่มองลึกเข้าไปในดวงตากลมสีนิลของภรรยา ท่านผู้นำรัฐอย่างเขาที่แสนจะรู้ใจภรรยาเป็นที่สุดมีหรือจะเดาไม่ออกว่าเธอคิดอะไร...เพราะสายตาที่มองเขานั้นมันคือการขอร้องให้ตามใจ
"ท่านแม่ครับ" เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกด้วยความดีใจ จากตอนแรกที่คิดไว้ว่าบิดาต้องไม่ยอมเป็นแน่
"จัดการเรื่องบ้านที่เมืองไทยให้ลูกด้วยนะคะท่านผู้นำรัฐ" เชคฮคาม่านฟ้าหันไปพูดกับสามีด้วยรอยยิ้ม
"ได้สิ จะให้ราชิตจัดการให้"
"ขอบคุณครับท่านพ่อ ท่านแม่" เด็กหนุ่มแทรกกลางระหว่างบิดาและมารดาโอบกอดคนทั้งสองด้วยความดีใจ สิ่งที่หวังนั้นไม่ถูกคัดค้าน เมืองไทยที่เขานั้นอยากไปแต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปอีกเลยตั้งแต่อายุห้าขวบ...และตั้งมั่นว่าหากโตขึ้นและวุฒิภาวะตนนั้นมีมากพอเขาจะกลับไปอีกครั้ง