บทที่1.ความทรงจำสีเทา...
‘อย่าทิ้งชิดาไป ได้โปรด?!!’
เสียงคร่ำครวญประหนึ่งจะขาดใจ ได้ฟังแล้วชวนให้สงสารเป็นอย่างยิ่ง เด็กสาวร่างเล็กคนหนึ่ง...หล่อนกำลังสะอื้นไห้จนตัวสั่นระริก เธอคร่ำครวญเหมือนกำลังขาดใจตายในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ใบหน้าฉ่ำน้ำตาแหงนเงย ทอดสายตาปวดร้าวมองตามเครื่องบินลำใหญ่...ที่ทะยานขึ้นเหนือน่านฟ้า จนกระทั่ง...มันหายลับหายไปจากสายตา บนเครื่องบินลำนั้น...มีบุคคลที่เธอ ‘รัก’ รักจนยอมมอบสิ่งล้ำค่าของตัวเองให้กับเขา ‘ความสาว’ สิ่งล้ำค่าที่บุพกาลีพยายามสั่งสอนให้จดจำ แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นผิด แต่...ไม่อาจห้ามความปรารถนาที่ก่อเกิดขึ้นในใจได้ วังวนหวามๆ นั่นทำให้เธอลุ่มหลง มันเกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน และวันนี้... ผลของมันนั้นกำลังก่อเกิดในร่างกายเธอ แต่...เขาคนนั้น กลับไม่ได้อยู่ร่วมรับผิดชอบผลงานของตัวเองร่วมกับเธอเสียนี่ และเธอเองก็ปากหนักเกินกว่าจะรั้งเขาเอาไว้ เมื่อเขากำลังไปดี ไปศึกษาหาความรู้ เพื่อกลับมาสานต่อกิจการงานที่บ้านของตัวเอง
ปูชิดา ไวศยปรานนท์ เด็กสาววัย17 ปีเธอเติบโตผลิบานและสวยสมวัยแรกรุ่น แต่ใครจะคิดล่ะว่าเธอกำลังผจญกับเรื่องราวที่หนักเกินตัว เมื่อกำลัง ‘อุ้มท้อง’ โดยที่ไม่มีพ่อของเด็ก
น้ำตาใสใสไหลเป็นทางยาว สองมือยกกอดตัวเองไว้แน่นๆ ริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นตรง แต่ก็ยังมีเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาอยู่ดี ใบหน้านองน้ำตาแหงนมองท้องฟ้ากว้าง น้ำตาร้อนๆ ยังคงไหลกลิ้งหล่นร่วงออกมาจาดวงตาชุ่มน้ำตาไม่หยุด ในนาทีที่เธอทราบข่าวร้าย!! เป็นวันเดียวกันที่อีกเสี้ยวหนึ่งของหัวใจของเธอกำลังออกเดินทาง แล้วแบบนี้เธอจะปริปากบอกเขาได้ยังไง? เพราะยิ่งเท่ากับว่าทำให้คนรอบข้างผิดหวัง ไม่มีพ่อ-แม่ คนไหนจะยินดีปรีดาหรอก หากจะมีผู้หญิงมายืนร้องไห้โยเย บอกกับบุตรชายตัวเองว่า ‘หล่อนกำลังท้อง’ ในขณะที่เขากำลังจะไปมีอนาคตสดใส ได้ศึกษาหาความรู้ที่แดนไกล เพื่อกลับมาสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวตัวเอง...
เด็กสาวสุดอาภัพจึงได้แต่กล้ำกลืนน้ำตา ยิ้มส่งให้ ‘พ่อของลูก’ ไปมีอนาคตที่ดี เธอเลือกที่จะปิดบัง ‘ความลับ’ ไว้ ทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังจะจมน้ำตาย เพราะหากครอบครัว หรือบิดารู้เรื่อง!! เธอคงถูกลงโทษอย่างหนัก เมื่อทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียง ‘ท้องโย้’ คาบ้านแบบไม่มีพ่อ!!
ปูชิดาเดินคอตก ขาเธอก้าวย่างแทบไม่ออก เมื่อเธอใช้เวลาทำใจอยู่นานกว่า3 ชั่วโมง กว่าจะทำใจได้ และข้างกายว่างเปล่าไม่มีคนปลอบ? ไม่มีใครให้คำปรึกษาได้สักคน เมื่อตัวเองเป็นแค่เด็กกำพร้า หลังบิดามีภรรยาใหม่ แทบจะทันทีที่ส่งมารดาเธอสู่เตาเผา หรือท่านอาจจะมีผู้หญิงอีกคนก่อนหน้านั้นแล้วก็ได้ เพราะเด็กผู้หญิงที่บิดาบอกกล่าวกับเธอว่าเป็น ‘น้อง’ อายุแทบไม่ห่างจากเธอเท่าไรเลย
เธอเลยเหมือนตัวคนเดียวในครอบครัวใหม่ของบิดา ปูชิดาถูกกันออกห่างๆ ด้วยสายตากดต่ำของคุณงามตา และบิดาเห็นดีเห็นงามด้วย เพราะท่านคิดว่า เพราะมีเธอ...เลยทำให้ภรรยาของเขาตาย...
ปูชิดามีความสุขตามอัตภาพ!! จนกระทั่งได้รู้จักกับเขา...ผู้ชายที่เป็นพ่อของลูกเธอ ออสติน อัศวิน เทรย์เวอร์ หนุ่มฮอตที่เป็นขวัญใจสาวๆ เขากำลังเรียนวิทยาลัย’ ในขณะที่เธอเรียนมัธยมปลาย...เป็นเหมือนพรหมลิขิตที่ทำให้เธอเจอผู้ชายแสนดี ได้รู้จักความรัก!! ได้เรียนรู้ร่างกายของกันและกัน
มันผิดเธอรู้...แต่จะทำไงได้ ‘เธอรักเค้า!!’
จนวันนี้ความใจง่ายในวันนั้น กำลังทำให้เธอเข้าตาจน...ปูชิดาจะทำอย่างไรดีกับเลือดเนื้อเชื้อไขที่กำลังก่อเกิดในอุทร
นั่นคือความหลังอดีตของเธอเมื่อ5ปีก่อน ขณะนี้... ปูชิดาอายุ22 ปีเต็ม เป็นสาวสะพรั่งและมีลูกสาวน่ารักน่าชัง1คน!!
ใช่ในวันที่เหมือนโลกถล่มทลายลงตรงหน้า เธอยืนกรานที่จะรักษาหนึ่งชีวิตไว้ แลกกับการเดินออกจากบ้านไวศยปรานนท์มาแบบตัวเปล่า...เธอไม่มีอนาคต ไม่มีที่ซุกหัวนอน ไม่มีสตางค์ติดตัวมาสักบาท แต่เธอก็เชิดหน้ากล้ำกลืนน้ำตาเก็บไว้ในอก เพราะตัวเองผิด!! เธอสมควรถูกทำโทษ
โลกไม่ได้โหดร้ายกับเธอนัก...ในวันที่ไม่เหลือใครรักเธอ คนที่เธอไม่เคยคิดถึง กลับเป็นคนรักเธอที่สุด
นมแผ้ว...แม่นมของมารดาที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่นางเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยง จึงยังคงทำงานอยู่ที่บ้านไวศยปรานนท์ นางเดินออกมาจากบ้านไวศยปรานนท์พร้อมกับปูชิดาด้วย สาวใหญ่ร่วมหัวจมท้ายกับหญิงสาวด้วยเงินเก็บก้อนสุดท้ายของนาง เป็นบุญคุณที่ปูชิดาจะไม่มีวันลืม นมแผ้วคือคนที่รักเธอที่สุด!!
รองจากเด็กผู้หญิงวัย4ขวบ เด็กหญิงอัปสรา ไวศยปรานนท์ น้องนางฟ้าลูกรักสุดสวาทบาดจิตของเธอเอง
“ยายจ๋าๆ แม่มาแย้ววว” เสียงแจ้วๆ ของบุตรสาวตะโกนลั่น เมื่อเจ้าตัวเหลือบเห็นเธอ ขณะที่กำลังก้มถอดร้องเท้าอยู่หน้าประตูบ้าน
“ซนหรือเปล่าคนดี กวนคุณยายไหมคะ”
ปลายจมูกโด่งๆ กดลงบนพวงแก้มยุ้ยๆ ของบุตรสาวและปากเปียกๆ ของอัปสราก็ไถลไปตามพวงแก้มหอมหวานของมารดา เป็นการแสดงความรักประสาแม่ลูก ที่ทุกๆ คนเห็นจนชิน
“ม่ายยยเลยค่า นางฟ้าเป็นเด็กดีไม่ดื้อ ไม่ซน”
ใบหน้ากลมป้อมส่ายหวือจนพวงผมที่มัดเป็นหางม้ากระจัดกระจาย เจ้าตัวแสบรีบฉีกยิ้มแป้นเพื่อประจบและยืนยันคำพูดตัวเอง
“ดีแล้วค่ะ คุณยายแก่แล้ว ให้ท่านได้พักบ้าง”
มือเรียวยกลูบผมนิ่มๆ บนศีรษะบุตรสาว พลางสอดสายตามองหานมแผ้ว...
หญิงวัยเกือบใกล้ฝั่งเดินกระย่องกระแย่งออกมาจากด้านหลังบ้าน ในมือของนางมีกระมังใส่ผักสดที่ล้างจนสะอาดหล่อนยิ้มร่าเมื่อมองเห็นบุคคลที่นางรักไม่ต่างจากบุตรในอุทร
“กลับมาแล้วเหรอคะคุณหนู”
ไม่ว่าจะห้ามอย่างไรก็แล้วแต่ นมแผ้วก็ยังเรียกปูชิดาด้วยคำเรียกเดิมๆ นางยกย่องและให้เกียรติบุตรสาวเจ้านายเสมอ ไม่ว่าสถานะจะเปลี่ยนไปเช่นไร
หญิงสาวคลี่ยิ้ม “นมจ๋าทำอะไรทานคะวันนี้?”
หน้าที่ทำงานหาสตางค์คือหน้าที่ของเธอ หลังจากฝืนกล้ำกลืนเรียนจนจบในชั้นอนุปริญญาแบบเลือดตาแทบกระเด็น เมื่อต้องทำงานด้วย เรียนด้วย เลี้ยงลูกด้วย ฝ่าฟันกันมากับนมแผ้วแบบที่ไม่เคยย่อท้อเช่นกัน ไม่ว่าจะทุกข์เข็ญ ลำบากสาหัส ปูชิดาไม่เคยปริปากบ่น ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมของตนเองอย่างภาคภูมิ ในวันที่เธอประสบความสำเร็จ เธอจึงยิ้มได้เต็มหน้า มีนมแผ้วคอยให้กำลังใจอยู่ด้านข้าง
“ยายจ๋าบอกว่าน้ำพริกค่ะ กินแล้วจะได้สวยๆ”
เด็กช่างประจบรีบพูดสอดและตอบแทนหญิงชรา อัปสราเลยได้รับรอยยิ้มหวานของทั้งมารดาและคุณยายเป็นรางวัล
“เก่งค่ะ จำแม่น...ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะค่ะคุณหนู จะได้มาทานข้าวร้อนๆ พร้อมกัน”
นางชมหลานสาวตัวน้อย แล้วจึงหันไปคะยั้นคะยอบุตรสาวเจ้านาย ปูชิดาทำงานหนัก ทำทุกอย่างที่ได้เงิน ไม่เคยมีวันหยุดเมื่อต้องเร่งหาเงินไว้สำหรับบุตรสาว เพราะอายุถึงเกณฑ์ที่จะได้เข้าเรียน
“แม่จ๋าเปลี่ยนเสื้อก่อนนะ นางฟ้าอย่ากวนคุณยายนะจ้ะ”
ปูชิดาเอ่ยกับบุตรสาว เจ้าตัวรับรู้ ก่อนจะวิ่งตื้อตามหลังนมแผ้วไปติดๆ
หญิงสาวจึงเดินไปทางห้องนอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะได้พัก หลังรับประทานมื้อเย็นจนอิ่ม เธอจะต้องออกไปทำงานอีกที่ เวลานอนของเธอคือหลังเที่ยงคืน เต็มที่เลยคือการนอน4-5 ชั่วโมงในหนึ่งวัน เพราะเวลาทั้งหมดเธอทุ่มให้กับการทำงานหาเงิน!! เมื่อจำเป็นต้องสำรองเงินไว้ ในวันที่บุตรสาวเข้าโรงเรียน
“อีกแล้วเหรอคะ นางฟ้าอยากอดแม่จ๋าก่อนหลับอ่า”
ใบหน้าสดชื่นเริ่มสลดลง เมื่อมองเห็นมารดาในชุดทำงาน และกำลังเตรียมตัวออกไปเหมือนทุกๆ วัน
“เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่เหรอคะ แม่จ๋าไปทำงานเพื่อนางฟ้าจะได้มีชุดสวยๆ ใส่ไปโรงเรียน”
หญิงสาวทรุดนั่งพร้อมกับเอ่ยปลอบขวัญบุตรสาว เธอรู้...เด็กๆ ต้องการความอบอุ่น แต่เธอมีภาระที่ต้องทำ ในวันที่เขาโตพอ เขาจะรู้... เงินไม่ใช่สิ่งจำเป็นก็จริง แต่หากไม่มีเงิน นั่นคือความทุกข์ล้วนๆ เพราะทุกสิ่งในโลก ล้วนแล้วแต่ต้องใช่เงิน หากไม่มีเงินละก็... ความทุกข์ยากกำลังเคาะหน้าต่างบ้าน และสรรพันปัญหาจะโถมเข้าใส่
“ถ้านางฟ้าไม่เอาชุดสวยล่ะคะ นางฟ้าจะได้นอนกอดแม่จ๋าไหม?”