บทที่ 6 ความหวังสุดท้าย

1597 Words
“ไม่ต้องหรอก อาฉีกลับไปดูพี่สาวเถอะ ถ้าอาฉีมาทำงานแล้วลี่อินเกิดตื่นขึ้นมาไม่เจอใครจะตกใจเอาเปล่า ๆ เชื่อน้าเถอะนะ” หัวหน้าตู้เอ่ยเตือน เด็กน้อยตัวแค่นี้จะทำงานอย่างผู้ใหญ่ได้อย่างไรกัน แค่ลี่อินเขาก็อนุโลมให้แล้ว เพราะรู้ว่ากำลังของเด็กมันไม่เหมือนผู้ใหญ่ สู้กลับไปดูแลพี่สาวดีกว่า ฉีหลินครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า เรื่องนี้เขาเห็นด้วยเพราะถ้าพี่ใหญ่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นเขา จะตกใจหนักเข้าไปอีก เขาไม่ต้องการให้พี่ต้องลำบากหรือป่วยไข้เพราะเขาอีกแล้ว จากนั้นเด็กน้อยจึงเอ่ยขอบคุณและรีบกลับบ้านของตนเองเพื่อไปดูแลพี่สาวอย่างลี่อิน ลี่อินป่วยเข้าสู่วันที่สาม นางต้วนหรือป้าต้วนของเด็ก ๆ มาช่วยหุงหาอาหารและคิดว่าควรแวะเวียนมาดูตลอดเวลาที่เธอว่าง เพราะสงสารในโชคชะตาของทั้งสองคน “ลี่อิน ไปหาหมอดีกว่าไหม เอาเงินของป้าไปก่อน” “ไม่เป็นไรค่ะป้า ลี่อินยังไหว พรุ่งนี้คิดว่าคงกลับไปทำงานได้แล้ว อาฉีเองไปขอยาที่คอมมูนมาให้กินแล้วค่ะ” ลี่อินไม่อยากรบกวนคนอื่น แค่นี้ก็รบกวนมากพอแล้ว จึงฝืนทนต่ออาการป่วยของตนเอง และคิดว่าตนเองนั้นหายป่วยแล้ว “อย่าฝืนตัวเองเลยนะลูก ไม่ไหวก็พัก ชาวบ้านไม่ไร้น้ำใจเสียทุกคน เปลี่ยนกลับไปทำงานเก็บผักให้วัวไหม แม้จะได้แต้มน้อย แต่ดีกว่าต้องมาทำงานแบบนี้” นางต้วนเอ่ยขึ้น เธอมองว่าร่างกายของลี่อินไม่เหมาะที่จะทำงานเฉกเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ร่างกายและอายุของลี่อินเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น การไปเก็บผักให้วัวจะเป็นเรื่องดีมากกว่าที่ต้องดำนาเหมือนผู้ใหญ่ “ลี่อินยังไหวค่ะป้า ลี่อินยังมีน้อง ลี่อินต้องสู้” “เอาเถอะ ป้าไม่บังคับ แต่ทำเท่าที่ร่างกายไหวนะ ป้าไปทำงานก่อน เดี๋ยวเที่ยงป้าจะแวะมาดูอีกครั้ง ถ้ายังไม่หายดีต้องไปโรงพยาบาลนะรู้ไหม” นางต้วนไม่อยากบังคับ ภาระหน้าที่ที่เด็กน้อยคนนี้มีมันมากนัก ฉีหลินก็ยังเด็ก หากขาดพี่สาวไปอีกคนเด็กน้อยจะอยู่อย่างไร พรุ่งนี้ถ้ายังไม่ไหว คงต้องบังคับให้ไปหาหมอกันแล้ว หลังจากหุงหาอาหารและพูดคุยเสร็จแล้ว นางต้วนจึงขอตัวไปทำงานและตั้งใจว่าเที่ยงจะเข้ามาดูอีกครั้ง ฉีหลินพอเห็นว่าป้าต้วนไปแล้วจึงรีบเข้าไปหาพี่สาวพร้อมถ้วยข้าวต้มที่ป้าต้วนทำไว้ให้ “พี่ใหญ่ อาฉีมาแล้ว เป็นยังไงบ้าง ป้าต้วนบอกว่าพี่กินได้แต่ข้าวต้ม เพราะอาการป่วยยังไม่หาย” “อาฉีเหนื่อยไหมที่ต้องดูแลพี่ อาฉีออกไปเที่ยวเล่นได้นะ แต่อย่าไปแถวลำธาร และเล่นบริเวณบ้าน ไม่ต้องดูแลพี่ตลอดหรอก” น้ำเสียงอิดโรยพูดกับน้องชาย ลี่อินไม่รู้ว่าตัวเองจะหายป่วยไหมและจะหายป่วยเมื่อไร ไม่ใช่เธอไม่เหนื่อย แต่เธอเหนื่อยสายตัวแทบขาดตอนทำงาน เธอเองก็อยากมีชีวิตวัยเด็ก แต่ทว่าเธอกลับทำไม่ได้ เธอต้องเป็นเสาหลักให้กับน้องชาย เธอจึงไม่สามารถเที่ยวเล่นหรือใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปได้ “ไม่ครับ อาฉีไม่เหนื่อย อาฉีอยากดูแลพี่ใหญ่ อาฉีทำได้” ฉีหลินตอบด้วยท่าทีหนักแน่น การดูแลพี่สาวแค่นี้ไม่เหนื่อยเลย พี่ใหญ่ดูแลเขาเหนื่อยกว่านี้เยอะมาก “อาฉีเด็กดี พี่รักอาฉีนะ” ลี่อินมองน้องชายด้วยแววตาอ่อนโยน และคิดว่าสวรรค์คงไม่เล่นตลกกับเธอและน้องชายโดยการพรากชีวิตเธอไปอีก เหมือนกับที่พรากชีวิตพ่อกับแม่ไป “อาฉีก็รักพี่ใหญ่” สองพี่น้องโอบกอดกันด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน คนหนึ่งกลัวว่าจะไม่สามารถอยู่ดูแลน้องชายได้อีกแล้ว ส่วนอีกคนหวังว่าพี่สาวจะหายในเร็ววัน เที่ยงวันนี้นางต้วนยังคงเวียนมาดูสองพี่น้องอย่างที่รับปากไว้ ลี่อินซึ้งใจมากไม่คิดว่าคนเพิ่งจะรู้จักกลับดูแลและห่วงหาอาทรเธอกับน้องชายยิ่งกว่าคนเป็นญาติเสียอีก “อาฉีกินข้าวหรือยัง” “กินแล้วครับป้าต้วน ป้าทำงานเหนื่อยไหม เดี๋ยวอาฉีเอาน้ำมาให้” ฉีหลินยิ้มตาหยี ก่อนจะวิ่งไปเอาน้ำใส่แก้วมาให้นางต้วนกิน นางต้วนมองตามหลังด้วยความเอ็นดู “ป้าคะ ลี่อินขอฝากอาฉีด้วยได้ไหม ถ้าเกิด...” ลี่อินพูดยังไม่ทันจบประโยคกลับโดนนางต้วนเอ่ยขัดเสียก่อน “ลี่อิน อย่าพูดเหมือนสั่งเสียแบบนั้น ต่อให้เราจะไม่ใช่ญาติกัน แต่ป้าก็เอ็นดูลี่อินกับอาฉีนะลูก ลี่อินไปหาหมอไหมลูก ป้าจ่ายให้เอง หรือถ้าลี่อินเกรงใจค่อยมาคืนป้าตอนมี” นางต้วนไม่ต้องการให้ลี่อินพูดเหมือนสั่งเสีย ถ้าเกิดเด็กคนนี้เป็นอะไรไปจริง ๆ ฉีหลินจะทำอย่างไร ต่อให้เธอรับปากว่าจะดูแลให้ แต่ฉีหลินคงโทษตนเองตลอดชีวิตกับการจากไปของพี่สาว ว่าตนเองนั้นเป็นสาเหตุของการป่วยครั้งนี้ “พรุ่งนี้ดีกว่าค่ะป้า ถ้ายังไม่ดีขึ้นลี่อินจะยอมไปโรงพยาบาลตามที่ป้าเสนอมา ดีไหมคะ” จางลี่อินเกรงใจที่ป้าต้วนจะต้องมาเสียค่ารักษาให้เธอ ครอบครัวป้าต้วนแม้จะไม่ลำบาก แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย เงินนี้เป็นเงินที่ลูก ๆ ของป้าส่งมาให้พ่อกับแม่ จะให้เธอไปเบียดเบียนได้อย่างไรกัน จึงเอ่ยคำสัญญาว่าพรุ่งนี้ถ้าไม่ดีขึ้นเธอจะยอมไปหาหมอ เพราะคิดว่าตนเองคงสามารถไปทำงานได้แล้วในวันพรุ่งนี้ “เอาเถอะป้าไม่อยากบังคับ พักผ่อนนะ เย็น ๆ ป้าจะเข้ามาดูอีกครั้ง” นางต้วนไม่อยากบังคับลี่อินมากนัก และนางรู้สาเหตุที่เด็กน้อยไม่ยอมไปหาหมอ ก่อนจะบอกลาและเดินกลับบ้านไปกินมื้อเที่ยงกับสามี เย็นวันนี้นางต้วนยังคงมาหาตามคำสัญญา และช่วยหุงหาอาหารให้เหมือนเดิม เธอไม่คิดว่าการที่ช่วยเด็กทั้งสองจะเป็นภาระหรือลำบากอะไร แต่เธอทำให้ด้วยใจเพราะสงสารชะตาของเด็กทั้งสองคน หลังจากที่กินมื้อเย็นเสร็จแล้ว ฉีหลินยังคงช่วยพี่สาวเช็ดตัวเช่นเดิม ก่อนเด็กน้อยจะเข้ามานอนอยู่ข้าง ๆ พี่สาวด้วยความอ่อนเพลีย โดยไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้ ลี่อินจะจากไปอย่างไม่อาจหวนกลับ ร่างโปร่งแสงของลี่อินนั่งร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด ไม่คิดว่าตนเองจะจบชีวิตเช่นกัน “ทำไมสวรรค์ถึงเล่นตลกกับลี่อินคะ ลี่อินตายแล้ว อาฉีจะอยู่ยังไง น้องยังเล็กนัก ฮือ ๆ” ลี่อินนั่งโทษตัวเอง ไม่คิดว่าสวรรค์จะเล่นตลกกับชีวิตเธอและครอบครัว พ่อแม่ก็จากไปแล้ว เธอยังมาด่วนจากไปอีก แล้วน้องชายเพียงคนเดียวของเธอต่อจากนี้จะทำอย่างไร จะอยู่อย่างไร “อย่าเสียใจไปเลย โชคชะตามักจะเล่นตลกกับเราเสมอ” ชายชราปรากฏร่างตรงหน้าและกล่าวอย่างอ่อนโยน “ตาเป็นใครคะ ตาเห็นลี่อินหรือ” ลี่อินถามกลับด้วยความงุนงง “เห็นสิ ทำไมจะไม่เห็นล่ะ ชะตาชีวิตไม่มีใครลิขิตได้หรอก แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องของน้องชาย แม้ว่าดวงจิตของเราส่วนนี้จะหมดเวลา แต่ร่างกายยังไม่หมด” “หมายความว่ายังไงคะ” ลี่อินไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิม ในเมื่อวิญญาณเธอออกจากร่างแล้ว ทำไมท่านตาคนนี้ถึงบอกว่าร่างเธอยังไม่ตายล่ะ “ตาตอบมากไม่ได้ มันเป็นความผิดพลาด... แต่ตาต้องไปตามหาดวงจิตอีกเสี้ยวหนึ่งก่อน หากช้ากว่านี้จะกลายเป็นว่าลี่อินตายจริง ๆ สัญญาได้ไหม หลบให้ดี อย่าให้ใครพาวิญญาณของลี่อินไปได้ จนกว่าตาจะกลับมา” ชายชราไม่บอกเหตุผลว่าทำไม หากหาดวงจิตอีกเสี้ยวหนึ่งพบ และดวงจิตสองดวงหลอมรวมกัน ลี่อินจะไม่ตายและกลับไปใช้ชีวิตได้อีก จนกว่าจะหมดอายุขัยจริง ๆ “ค่ะตา ลี่อินจะไม่ยอมจากไปไหน แม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่ตาพูด เมื่อมีความหวังลี่อินจะสู้ค่ะ” ลี่อินยิ้มอย่างมีความหวัง และรับปากอย่างหนักแน่นว่าจะไม่ยอมไปไหน ไม่ยอมให้ใครมาจับเธอไป และจะเฝ้าร่างตนเองให้ดี รอการกลับมาของท่านตาคนนี้แม้ว่าจะไม่รู้จักก็ตาม แต่เธอกลับเชื่อโดยไม่ลังเล เมื่อได้รับคำยืนยันและแววตาอันมีความหวัง ชายชราจึงหายวับเพื่อไปรับดวงจิตอีกเสี้ยวหนึ่งของลี่อิน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD