แม้จะได้รับของมามากมาย แต่ในใจของลี่อินนั้นยังหนาวเหน็บ อายุเท่านี้ส่วนมากต่างก็เข้าเรียนประถมกันแล้ว ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากเรียน แต่ไม่มีโอกาสมากกว่า
ถึงเวลานี้จะเป็นเสาหลักให้น้องชายเพียงคนเดียว แต่ลี่อินก็วาดฝันว่าเธอจะตั้งหน้าตั้งตาทำงานและส่งน้องชายเรียนเท่าที่กำลังเธอมี
เมื่อมาถึงหน้าบ้าน เธอรู้สึกว่าบ้านเงียบเกินไป หรือว่าฉีหลินน้องชายเธอไม่อยู่ ก่อนจะเดินเข้าด้านในและมองหาน้องชายไปทั่ว
“อาฉี อยู่ไหนพี่กลับมาแล้ว” ลี่อินตะโกนเรียกน้องชายไม่หยุด นี่จึงทำให้เธอร้อนใจมาก กลัวว่าน้องชายจะเป็นอะไรไป
“อาฉี น้องอยู่ไหน”
เมื่อเดินหาน้องชายรอบบ้านไม่เจอ ใบหน้าจึงอาบไปด้วยน้ำตาเพราะเป็นห่วงน้องชายจับใจ
ชีวิตนี้เธอมีน้องชายเพียงคนเดียวเท่านั้น หากเกิดอะไรขึ้นกับฉีหลินอีกเธอคงอยู่ไม่ได้เช่นกัน
เมื่อหาในบ้านไม่พบ ลี่อินจึงเดินออกมาหาบริเวณใกล้เคียง
“ป้าคะ เห็นอาฉีผ่านมาแถวนี้บ้างไหมคะ”
“เด็กชายตัวเล็กตาโต ๆ เหมือนเราใช่หรือไม่ ป้าเห็นแบกตะกร้าผ้าเดินไปทางลำธาร คงไปซักผ้านั่นล่ะ”
“ขอบคุณค่ะป้า” พอรู้ว่าน้องชายไปที่ลำธาร ลี่อินจึงรีบเดินไปยังที่แห่งนั้นทันที
ย้อนกลับไปด้านจางฉีหลิน แม้จะอายุเพียงห้าขวบ แต่เด็กน้อยรู้ว่าเขากับพี่สาวถูกบ้านย่าไล่ออกมา พี่สาวที่แก่กว่าเขาไม่กี่ปีกลับต้องทำงานเช่นเดียวกับผู้ใหญ่
สายตาของเด็กน้อยมองรอบ ๆ บ้าน ก่อนจะไปหาผ้าและแบกถังน้ำที่ไม่เข้ากับตัวมาช่วยทำความสะอาด
“ไม่ได้ อาฉีจะอยู่แบบนี้ไม่ได้ ต้องช่วยพี่ใหญ่” ว่าแล้วเด็กน้อยจึงเอาผ้าจุ่มน้ำแล้วบิดหมาด ๆ ถูพื้นบ้านทันที
ฉีหลินใช้เวลาทำความสะอาดบ้านอยู่หลายชั่วโมง เล่นเอาเด็กน้อยนอนแผ่หลาด้วยความเหนื่อยล้า
หลังจากหายเหนื่อย ฉีหลินจึงเดินออกมาหน้าบ้านและจัดการถอนหญ้าบริเวณบ้านด้วยความตั้งใจ
“เฮ้อ...คนพี่ก็ไปทำงานไม่ต่างจากผู้ใหญ่ คนน้องตัวแค่นี้ยังต้องช่วยทำงานบ้าน สงสารในโชคชะตาเหลือเกิน” หัวหน้าหมู่บ้านคอยเดินมาดูสองพี่น้องว่าอยู่ที่นี่ได้ไหม แต่กลับมาเจอเด็กน้อยช่วยงานพี่สาวไม่ต่างจากผู้ใหญ่คนหนึ่ง ภาพนี้เป็นภาพที่ชวนเวทนาต่อผู้พบเห็นยิ่งนัก
“นั่นสิ เมื่อวานฉันไม่คิดว่าบ้านจางจะใจดำกับหลานทั้งสองคนได้ขนาดนี้ เด็กอายุยังไม่ถึงสิบขวบทั้งสองคน นอกจากจะเพิ่งสูญเสียพ่อแม่ไปแล้ว ยังโดนบ้านย่าไล่ออกมาอย่างกับไม่ใช่สายเลือดบ้านจาง ถ้าตาเฒ่าจางอยู่เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น” ชาวบ้านที่เดินมากับหัวหน้าหมู่บ้านถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นมาอย่างที่ตนเองคิด
“นั่นสิ ถึงฉันจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน แต่ก็เป็นคนนอก ไม่สามารถตัดสินอะไรได้หรอก ช่วยได้ตามกำลังเท่านั้น อีกทั้งเด็กทั้งสองต่อให้ชีวิตจะอาภัพแค่ไหน แต่เลือกที่จะใช้ชีวิตเป็นเด็กดี ไม่งอมืองอเท้า เหมือนเด็กกำพร้าคนอื่น ๆ ที่เลือกทางเดินผิด”
ไม่ใช่เพียงลูกหลานบ้านสามจางเท่านั้นที่กำพร้า ยังมีอีกเด็กอีกหลายครอบครัวที่กำพร้าเช่นกัน แต่มักจะเลือกทางผิด คบหาคนจร หรือไม่พวกใต้ดิน อย่างเช่น เด็กในบ่อนพนัน บางทีก็ส่งของผิดกฎหมายจำพวกสารเสพติด
แม้เวลานี้ทางรัฐจะกวาดล้างสารเสพติดจำพวกฝ**นไปไม่น้อยแล้ว แต่ยังมีคนบางจำพวกที่ต้องการและแอบค้าขาย ในเมื่อมีผู้เสพ ผู้ขายย่อมต้องมีเช่นกัน
ทั้งสองยืนมองจางฉีหลินอีกพักใหญ่ ก่อนจะเดินกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง
จางฉีหลินใช้มือเล็ก ๆ ปาดเหงื่อ หากเป็นเด็กทั่วไป อายุเพียงห้าขวบคงเริ่มหัดอ่านและเตรียมตัวจะเข้าเรียนแล้ว เพียงแต่ความคิดของฉีหลินเวลานี้คือช่วยงานพี่สาวให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
จวบจนเวลาผ่านไปอีกหลายชั่วโมง
“เสร็จแล้ว” ใบหน้ามอมแมมเลอะไปด้วยฝุ่นและคราบดินยิ้มอย่างมีความสุข เมื่อจัดการงานตรงหน้าเสร็จแล้ว
หากเป็นผู้ใหญ่ ถอนหญ้าบริเวณบ้านเช่นนี้คงใช้เวลาไม่นาน แต่นี่คือเด็กห้าขวบเท่านั้น
เมื่อมองบนท้องฟ้า เด็กน้อยคิดว่าคงใกล้ถึงเวลาพี่สาวจะกลับมาแล้ว จึงรีบไปล้างตัวในตุ่มหลังบ้านทันที
“เอ๊ะ ! ยังเหลือซักผ้า”
สายตาเด็กน้อยปะทะเข้ากับตะกร้าผ้าที่ใส่แล้ว ที่ทั้งสองคนเอามาจากบ้านจาง
“ไปซักผ้าก่อนดีกว่า” ฉีหลินตั้งใจว่าจะช่วยงานพี่สาวทั้งหมด ดังนั้นงานซักผ้านี้จึงคิดจะจัดการด้วยตัวเอง
คิดได้เช่นนั้นฉีหลินก็แบกตะกร้าผ้าขึ้นหลัง และหยิบอุปกรณ์ซักผ้าเดินไปยังลำธารที่ชาวบ้านใช้ซักผ้าทันที
กลับมาปัจจุบัน...
ทันทีที่ลี่อินรู้ว่าน้องชายไม่ได้หายไปไหน เพียงไปซักผ้าเท่านั้น ใบหน้าเด็กน้อยจึงยิ้มกว้าง และรีบตามไปทันทีเช่นกัน
ฉีหลินเมื่อมาถึงลำธาร เขามองหาที่ซักผ้า เมื่อได้ที่เหมาะสมจึงเดินไปทางนั้นและหยิบอุปกรณ์ซักผ้าออกมา
ภาพเด็กชายกำลังซักผ้าอย่างขะมักเขม้นทำให้ชาวบ้านที่มาซักผ้าต่างก็มองด้วยความเอ็นดูแกมสงสาร
“เจ้าหนู ทำไมมาซักผ้าเองล่ะ”
เรื่องบ้านจางใช่ว่าจะรู้กันทุกคน แม่บ้านกลุ่มนี้จึงไม่รู้เรื่องของฉีหลินเท่าไรนัก
“พี่ใหญ่ไปทำงาน อาฉีอยากช่วยครับ”
การที่ฉีหลินพูดจาดี มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่นั้น ยิ่งสร้างความเอ็นดูให้กับชาวบ้านกลุ่มนี้มาก
“ให้ป้าช่วยซักไหม จะได้สะอาด”
“ไม่เป็นไรครับ อาฉีทำได้ ขอบคุณครับ” เด็กน้อยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แต่แฝงไปด้วยความจริงจัง แม่บ้านกลุ่มนี้จึงยิ้มกลับมา พร้อมกับซักผ้าของตัวเองต่อ
จนเวลาล่วงเลยแม่บ้านกลุ่มนี้ซักเสร็จแล้ว แต่เด็กน้อยอย่างฉีหลินยังซักไม่ถึงไหน จึงเอ่ยถามอีกครั้ง
“ให้พวกป้าช่วยไหมอาฉี”
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มเช่นเดิม
“ไม่เป็นไรครับ ใกล้จะเสร็จแล้ว”
“งั้นพวกป้าไปก่อนนะอาฉี แล้วอย่าเดินลงลำธารล่ะ เดี๋ยวจะจมน้ำ” แม่บ้านกลุ่มนี้เอ่ยด้วยความเป็นห่วง เนื่องจากกลางลำธารน้ำลึกมากสำหรับอาฉี หากเดินลงไปคงมิดหัว และไม่รู้ว่าตัวเท่านี้จะว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า
“ครับ”
หลังจากกลุ่มแม่บ้านเดินไปแล้ว ฉีหลินจึงตั้งหน้าตั้งตาซักผ้าต่อคนเดียว ทว่าไม่นานกลับมีเด็กกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหาเรื่อง
“ฮ่า ๆ ๆ สกปรกหมดแล้ว”
เพราะไม่อยากมีเรื่อง และหัวโจกตรงหน้านี้คือญาติผู้พี่
ฉีหลินเดินมาหยิบผ้าที่โดนเขวี้ยงลงพื้นใส่ตะกร้าอีกครั้ง แต่เพราะเลอะไม่น้อยเลยคิดว่าต้องซักใหม่
ฉีหลินทำทุกอย่างเหมือนเดิมอีกครั้งโดยไม่คิดจะตอบโต้ และรู้ดีว่าต่อให้เขาและพี่สาวแยกบ้านแล้ว หากลูกชายป้าสะใภ้ไปบอกกล่าวกับย่า เขาและพี่ใหญ่ไม่วายโดนตีอีก
“นี่แกเมินฉันหรือไอ้ฉีหลิน” จางมู่สงวัยสิบขวบเอ่ยด้วยความไม่พอใจที่ถูกเมินจากฉีหลิน
“มันคงไม่เห็นนายอยู่ในสายตา หรือว่ามันกลัวนายอาสง ฮ่า ๆ ๆ” สหายของจางมู่สงเอ่ยขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะ นี่จึงทำให้จางมู่สงที่ได้ยินคิดว่าฉีหลินนั้นกลัวตนจริง ๆ
“ว่าไงไอ้กำพร้า บ้านใหม่สบายไหม ไอ้เด็กไม่มีพ่อแม่”